เรียนรู้กลุ่มดาว กลุ่มดาววัว (Taurus)
ตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์

ฉบับ 167 ปีที่ 14 เดือนมกราคม 2542

เรียนรู้กลุ่มดาว กลุ่มดาววัว (Taurus)

ภาพถ่ายบริเวณกลุ่มดาววัวจากท้องฟ้าจริงกับภาพจินตนาการ จากภาพจะเห็นสัญลักษณ์ตัว V บริเวณมุมด้านบนซ้ายของภาพซึ่งเป็นบริเวณหน้าวัว ดาวสีส้มตรงปลายข้างหนึ่งของตัว V คือดาวอัลเดบา มุมบนด้านซ้ายของภาพคือกระจุกดาวลูกไก่ (Pleiades) บริเวณมุมขวาล่างของภาพคือกลุ่มดาวนายพราน (Orion) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 เป็นต้นมา นักดาราศาสตร์ได้ตกลงที่จะแบ่งพื้นที่บนท้องฟ้าออกเป็น 88 ส่วน โดยแต่ละส่วนก็คืออาณาบริเวณของกลุ่มดาวแต่ละกลุ่มในแผนที่ดาว เส้นแบ่งอาณาเขตของกลุ่มดาวจะเขียนเป็นเส้นปะในแนวเหนือ – ใต้ ตะวันออก – ตะวันตก มองดูคล้ายกับเส้นแบ่งแยกรัฐต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกาการแบ่งท้องฟ้าออกเป็นอาณาบริเวณที่ชัดเจนนั้นมีประโยชน์ในการอ้างอิงชื่อและตำแหน่งของวัตถุต่าง ๆ เพราะวัตถุบนท้องฟ้าจะมีตำแหน่งที่มันปรากฏอยู่ในกลุ่มดาวเดียวเสมอ แต่สำหรับนักดูดาวทั่วไปการเรียนรู้กลุ่มดาวมักจะใช้วิธีจดจำเส้นสายที่เชื่อมต่อดวงดาวดวงหลัก ๆ หรือจินตนาการกลุ่มดาวแต่ละกลุ่มให้เห็นเป็นรูปร่างหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ เพื่อง่ายแก่การจดจำ

ในบรรดากลุ่มดาว 88 กลุ่มนั้น มีกลุ่มดาวเก่าแก่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมาเป็นพัน ๆ ปีมาแล้วอยู่ 48 กลุ่ม เท่าที่มีการบันทึกกันมา กลุ่มดาวเก่าแก่ที่สุดเริ่มต้นในยุคเมโสโปเตเมีย ซึ่งก็คือแถวตะวันออกกลางในปัจจุบัน เมื่อกว่า 5,000 ปีมาแล้ว กลุ่มดาวบางกลุ่มยังถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิลด้วย ผู้ที่บันทึกและรักษากลุ่มดาวเก่าแก่นี้ไว้ให้อยู่มาถึงปัจจุบันนี้คือ คลอดิอัส ปโตเลมี (Claudius Ptoleme) ชาวอเล็กซานเดรีย ในศตวรรษที่ 2 หลังจากวันนั้นก็ไม่มีการคิดค้นกลุ่มดาวใหม่ ๆ อีกเลยจนกระทั่งถึงยุคเรอเนสซองช์ นักดาราศาสตร์ชื่อ โจฮันน์ เบเยอร์ (Johann Bayer) ได้สร้างแผนที่ดวงดาวขึ้นมีชื่อว่า Uranometria และเริ่มรวบรวมกลุ่มดาวกลุ่มใหม่ ๆ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ซึ่งแต่เดิมไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก เข้ามาไว้ในแผนที่ดาว รวมทั้งคิดค้นวิธีการตั้งชื่อดาวโดยใช้ภาษากรีกเป็นคนแรก

ภาพขยายบริเวณส่วนหัวของวัว จะเห็นกลุ่มดาวเรียงเป็นอักษรตัว V บริเวณมุมซ้ายล่าง บริเวณตัว V นี้ที่จริงแล้วคือกระจุกดาวที่อยู่ใกล้กับโลกราว 130 ปีแสง ชื่อว่ากระจุกดาวไฮอาเดส (Hyades) แต่ดาวอัลเดบาแรน (ดวงสีส้ม) ไม่ได้อยู่ในกระจุกดาวนี้ ส่วนมุมขวาของภาพคือกระจุกดาวลูกไก่

ภาพขยายบริเวณส่วนหัวของวัว จะเห็นกลุ่มดาวเรียงเป็นอักษรตัว V บริเวณมุมซ้ายล่าง บริเวณตัว V นี้ที่จริงแล้วคือกระจุกดาวที่อยู่ใกล้กับโลกราว 130 ปีแสง ชื่อว่ากระจุกดาวไฮอาเดส (Hyades) แต่ดาวอัลเดบาแรน (ดวงสีส้ม) ไม่ได้อยู่ในกระจุกดาวนี้ ส่วนมุมขวาของภาพคือกระจุกดาวลูกไก่

กลุ่มดาววัว หรือ ทอรัส (Taurus) เป็นกลุ่มดาวที่เก่าแก่มากกลุ่มหนึ่ง เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนคริสตกาลแล้ว กลุ่มดาววัวเป็นกลุ่มดาวสำคัญเนื่องจากมันคือหนึ่งในกลุ่มดาวจักรราศี (Zodiac) ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 12 กลุ่ม กลุ่มดาววัวก็คือราศีพฤษภ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำหรับเดือนพฤษภาคม ในสมัยนั้นดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่จากท้องฟ้าด้านเหนือ และตัดผ่านเส้นศูนย์สูตรท้องฟ้าหรือตำแหน่ง Vernal Equinox ในกลุ่มดาววัว (ปัจจุบัน Vernal Equinox อยู่ในกลุ่มดาวปลาหรือราศีมีน) กลุ่มดาววัวจึงถือเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นฤดูกาลเพราะปลูกของคนสมัยโบราณ ในสมัยอียิปต์โบราณเราจะเห็นรูปสลักวัวอยู่ในวิหารและที่ฝังพระศพของฟาโรห์อยู่เสมอ ๆ เช่นที่เมืองเดนเดราห์ (Denderah) หลุมฝังพระศพฟาโรห์เซติที่ 1 เป็นต้น หรือแม้กระทั้งสมบัติชิ้นหนึ่งในสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน (Tutankhamen) มีเก้าอี้ไม้แกะสลักอยู่ตัวหนึ่งตรงกลางเป็นรูปเทพเจ้าองค์หนึ่งส่วนด้านข้างเป็นรูปแกะสลักวัวสองตัวอยู่เคียงข้าง วัวจึงมีความสำคัญกับอียิปตืโบราณมากเนื่องจากมันเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าที่มีตัวเป็นคนหัวเป็นวัว ชื่อว่าเทพเจ้า Apis

ในยุคสมัยของชาวกรีกโบราณ วัวก็คือเทพเจ้าซีอุส (Zeus) ซึ่งเกิดหลงรักเทพธิดายูโรปา (Europa) จึงหาทางเข้าใกล้โดยการแปลงร่างเป็นวัวสีขาวสะอาดประดุจหิมะ และปะปนเข้าไปในฝูงวัวของพระบิดาของยูโรปา อยู่มาวันหนึ่งยูโรปาออกมาเดินเล่นแถวชายหาดและเห็นวัวที่งดงามจึงสนพระทัยมาก เมื่อยูโรปาเห็นวัวตัวนั้นเป็นมิตรจึงขึ้นขี่หลังทันใดนั้นวันก็กระโจนลงทะเล แล้วว่ายน้ำพายูโรปาไปยังเกราะครีต (Crete) เมื่อไปถึงมันก็แปลงร่างกลับมาเป็นเทพซีอุส ในที่สุดก็ได้นางยูโรปาเป็นภรรยา นิยายกลุ่มดาววัวของชาวโรมันก็มีเรื่องคล้ายกันเทพเจ้าซีอุสก็คือเทพจูปิเตอร์ของชาวโรมัน ซึ่งจูปิเตอร์ก็คือดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ (ดาวพฤหัสบดี) และดวงจันดวงหนึ่งของดาวพฤหัสบดีมีชื่อว่ายูโรปา (Europa)

ภาพขยายบริเวณแขนข้างหนึ่งของตัว V จะเห็นดาวฤกษ์อัลเดบาแรนสีส้ม – แดง สว่างสะดุดตา เพราะเป็นดาวฤกษ์สว่างอันดับที่ 13 บนท้องฟ้า ส่วนดาวดวงอื่น ๆ คือสมาชิกส่วนหนึ่งของกระจุกดาวไฮอาเดส (Hyades)

ภาพขยายบริเวณแขนข้างหนึ่งของตัว V จะเห็นดาวฤกษ์อัลเดบาแรนสีส้ม – แดง สว่างสะดุดตา เพราะเป็นดาวฤกษ์สว่างอันดับที่ 13 บนท้องฟ้า ส่วนดาวดวงอื่น ๆ คือสมาชิกส่วนหนึ่งของกระจุกดาวไฮอาเดส (Hyades)

การสังเกตกลุ่มดาววัว

กลุ่มดาววัว (Taurus) เป็นกลุ่มดาวที่จำง่าย เพราะจุดเด่นที่สุดของกลุ่มดาวนี้คือคือสัญลักษณ์คล้ายกับตัวอักษร V และมีดาวฤกษ์สว่างมากสีส้ม – แดงดวงหนึ่งอยู่ปลายข้างหนึ่งของตัว V มันคือดาวฤกษ์ชือ อัลเบาแรน (Aldebaran) อักษรรูปตัว V นั้นคือบริเวณส่วนที่เป็นหน้าของวัวโดยมีดาวฤกษ์อัลเตบาแรนอยู่ในตำแหน่งตาข้างขวาของวัวพอดี สำหรับเขาของวัวนั้นข้างหนึ่งทอดยาวไปถึงกลุ่มดาวอีกกลุ่มหนึ่งชื่อ กลุ่มดาวสารถี (Auriga) ส่วนอีกข้างหนึ่งจะอยู่เหนือกลุ่มดาวนายพราน เขาทั้งสองข้างอยู่ห่างจากบริเวณตัว V ประมาณ 15 องศา รูปร่างของวัวในจินตนาการจะมีเพียงครึ่งตัวเท่านั้นคือ ส่วนหน้า เขา บ่า และขาหน้า ทั้งนี้เป็นเพราะเมื่อว่ายน้ำข้ามทะเลพายูโรปาไปยังเกราะครีตนั้น ครึ่งท้ายของวัวจะจมอยู่ในทะเล มองไม่เห็น สำหรับคนไทยจะเรียกบริเวณอักษรตัว V ว่า กลุ่มดาวธง เพราะมีรูปร่างเป็นสามเหลี่ยมคล้ายธงในสมัยก่อน

กลุ่มดาววัวจัดเป็นกลุ่มดาวฤดูหนาวเนื่องจากจะมองเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่เดือนกันยายนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ กลุ่มดาววัวจะอยู่ในแนวที่ลากจากทิสเหนือไปยังทิศใต้ผ่านจุดกึ่งกลางศรีษะหรือแนวเส้นเมอริเดียนในเวลา 20 นาฬิกาในต้นเดือนกุมภาพันธ์และ 19 นาฬิกาในตอนกลางเดือน

เวลาที่กลุ่มดาววัวปรากฏอยู่ในแนวเส้นเมอริเดียน

เดือน
กันยายน
15 ก.ย. = 5 นาที
ตุลาคม
1 ต.ค. = 5 นาที 15 ต.ค. = 3 นาที
พฤศจิกายน
1 พ.ย. = 2 นาที 15 พ.ย. = 1 นาที
ธันวาคม
1 ธ.ค. = 24 นาที 15 ธ.ค. = 23 นาที
มกราคม
1 ม.ค.= 22 นาที 15 ม.ค.= 21 นาที
กุมภาพันธ์
1 ก.พ. = 20 นาที 15 ก.พ.= 19 นาที

สำหรับตำแหน่งในประเทศไทยนั้นเมื่อกลุ่มดาววัวปรากฏอยู่ในแนวเส้นเมอริเดียน มันจะอยู่ตำแหน่งกลางศรีษะของเราพอดี ดังนั้นหากเราออกไปดูกลุ่มดาววัวในวันและเวลาข้างต้น เราจะเห็นสัญลักษณ์ตัว V ได้อย่างง่ายดายเพียงแต่มองไปที่ตำแหน่งกลางศรีษะเท่านั้น ที่จริงแล้วเราสามารถสังเกตเห็นกลุ่มดาววัวได้เกือบตลอดทั้งปี เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่ได้อยู่ในแนวเส้นเมอริเดียน เช่นเราจะสังเกตุเห็นกลุ่มดาววัวอยู่ใกล้ขอบฟ้าทางทิศตะวันออกในเวลาตีห้าของเดือนกรกฎาคม และมันจะอยู่ใกล้เส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันตกในเวลาหนึ่งทุ่มในต้นเดือนพฤษภาคม หากมีแผนที่ดูดาวแบบแผ่นวงกลมหมุนได้ เราสามารถใช้แผนที่นั้นหาตำแหน่งของกลุ่มดาววัวในวันและเวลาอื่นได้

ภาพเนบิวลา M1 หรือเนบิวลารูปปู (Crab Nebula) ซึ่งที่จริงก็คือซากการระเบิดของดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง (ซูเปอร์โนวา) ที่บันทึกไว้เมื่อปี ค.ศ.1045 มันมีขนาดเล็กมาก ต้องใช้กล้องดูดาวจึงจะเห็นได้ แต่จัดเป็นซุเปอร์โนวาที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้า M1 อยู่ใกล้กับดาวฤกษ์สว่าง ชื่อ เซตา ทอรี (Zeta Tauri) บริเวณปลายเขาข้างขวาของวัว

ภาพเนบิวลา M1 หรือเนบิวลารูปปู (Crab Nebula) ซึ่งที่จริงก็คือซากการระเบิดของดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง (ซูเปอร์โนวา) ที่บันทึกไว้เมื่อปี ค.ศ.1045 มันมีขนาดเล็กมาก ต้องใช้กล้องดูดาวจึงจะเห็นได้ แต่จัดเป็นซุเปอร์โนวาที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้า M1 อยู่ใกล้กับดาวฤกษ์สว่าง ชื่อ เซตา ทอรี (Zeta Tauri) บริเวณปลายเขาข้างขวาของวัว

จุดเด่นของกลุ่มดาววัว ดาวอัลเดบาแรน (Alderbaran)

ดาวฤกษ์อัลเดบาแรน (Alderbaran) หรือดาวอัลฟา ทอรี (Alpha Tauri) เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาววัว และสว่างเป็นอันดับที่ 14 บนท้องฟ้า มีชื่อมาจากภาษาอารบิกว่า Al Dabaran แปลว่าผู้ติดตาม “The Follower” เนื่องจากดาวดวงนี้จะเคลื่อนที่ติดตามกระจุกดาวลูกไก่ไปทั่วท้องฟ้า หากมองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือของดาวดวงนี้ เราจะเห็นกระจุกดาวสว่างกระจุกหนึ่งนั่นคือกระจุกดาวลูกไก่ (Pleiades) ซึ่งอยู่ในอาณาบริเวณกลุ่มดาววัวเช่นกัน ดาวอัลเดบาแรน เกี่ยวพันกับอารยธรรมโบราณอยู่หลายแห่ง ในสมัยเปอร์เซียโบราณดาวดวงนี้เป็นหนึ่งในดาวฤกษ์ที่เกี่ยวพันกับพระมหากษัตริย์ ในบางอารยธรรมดาวดวงนี้คือเทพเจ้าแห่งสายฝนและความอุดมสมบูรณ์ สำหรับชาวฮินดู ดาวดวงนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ โรหิณี หรือ The red one ตามสีสันของมันที่ปรากฏให้เห็น โรหิณีนั้นเป็นชื่อแม่น้ำสายหนึ่งในเนปาล

อัลเดบาแรน เป็นดาวยักษ์แดง (Red Giant) มีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์มากมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ถึง 40 เท่า และสว่างกว่า 125 เท่า แต่เป็นดาวที่มีความหนาแน่นต่ำและมีอุณหภูมิที่ผิวดาวเพียง 3,400 องศาเซลเซียสเท่านั้น มันอยู่ไกลจากโลกเรา 68 ปีแสง มีความสว่างปรากฏที่มองเห็นได้จากโลก (Apparent Magnitude) 0.85 แมกติจูด อัลเดบาแรนนับเป็นดาวที่สว่างระดับ แมกติจูด เพียงไม่กี่ดวงบนท้องฟ้าที่ถูกดวงจันทร์เคลื่อนที่บดบังบ่อยครั้งเนื่องจากมันอยู่ใกล้กับแนวเส้นสุริยวิถี (Ecliptic) หรือแนวที่เราเห็นดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ไปบนท้องฟ้า
กระจุกดาวเปิดไฮอาเดส (Hyades)

ดาวฤกษ์หลายดวงที่เรียงกันเป็นรูปตัว V บริเวณหน้าวัวนั้น ไม่ได้เป็นดาวฤกษ์ที่บังเอิญมาอยู่ในแนวสายตาเดียวกัน แต่จริง ๆ แล้วดาวบริเวณนี้อยู่ใกล้กันจริง ๆ ในอวกาศ เคลื่อนที่ไปด้วยกันและอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เรียกว่ากระจุกดาวเปิด (Open Cluster) กระจุกดาวไฮอาเดสเป็นกระจุกดาวที่อยู่ใกล้เรามากที่สุดรองจากกระจุกดาว Ursa Major Moving Group เท่านั้น โดยมันอยู่ห่างออกไป 130 ปีแสง กระจุกดาวนี้มีขนาดใหญ่ประมาณ 8 ปีแสง ด้วยความที่มันอยู่ใกล้เราจึงเห็นมันมีขนาดใหญ่เกือบ 5 องศาบนท้องฟ้า ทำให้ดูไม่เหมือนกระจุกดาวนัก กล้องส่องตาดูจะเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะที่สุดที่จะสังเกตุไฮอาเดส ดาวฤกษ์ในกระจุกจริง ๆ มีประมาณสัก 200 ดวงทั้งที่เห็นด้วยตาเปล่าและด้วยกล้อง บริเวณหน้าวัวทั้งหมดคือกระจุกดาวไฮอาเดสยกเว้นเพียงดาวฤกษ์อัลเดบาแรนเพียงดวงเดียวซึ่งอยู่ห่างประมาณครึ่งทางจากโลกไปยังกระจุกดาวนี้นักดาราศาสตร์พบว่าไฮอาเดสกำลังเคลื่อนที่หนีห่างจากเราไปเรื่อย ๆ มันเคยเข้าใกล้ระบบสุริยะมากที่สุดเมื่อราว 8 แสนปีมาแล้ว ในขณะนี้มันกำลังเคลื่อนที่ไปตำแหน่ง 5 องศาทางทิศตะวันออกของดาวฤกษ์บีเทลจุส (Betelgeuse) ในกลุ่มดาวนายพราน การเคลื่อนที่ห่างจากเราออกไปเรื่อย ๆ ทำให้เหลือเวลาอีกไม่กี่ล้านปีข้างหน้าเราจะเห็นกระจุกดาวไฮอาเดสมีขนาดเพียงหนึ่งในสามขององศาเท่านั้นไม่ใช่เกือบ 5 องศาดังที่เราเห็นในปัจจุบัน

ภาพกระจุกดาวลูกไก่เมื่อมองผ่านกล้องกำลังขยายต่ำ จะเห็นดาวฤกษ์สว่างมากมาย ดาวที่สว่างที่สุดเจ็ดดวงบริเวณใจกลางคือดาวที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ภาพกระจุกดาวลูกไก่เมื่อมองผ่านกล้องกำลังขยายต่ำ จะเห็นดาวฤกษ์สว่างมากมาย ดาวที่สว่างที่สุดเจ็ดดวงบริเวณใจกลางคือดาวที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

กระจุกดาวลูกไก่ (Pleiades)

กระจุกดาวลูกไก่คือกระจุกดาวซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุด เพราะความที่มันสว่าง สะดุดตา สวยงาม และมีขนาดใหญ่ราว 1 องศาบนท้องฟ้า เมื่อมองเห็นด้วยตาเปล่าเราจะเห็นดาวฤกษ์เป็นกระจุกประมาณหกเจ็ดดวง แต่ถ้ามองด้วยกล้องส่องตาหรือกล้องดูดาวเราจะเห็นดวงดาวเป็นร้อยดวงอยู่ไกลจากเราราว 415 ปีแสงหรือประมาณสามเท่าของกระจุกดาวเฮอาเดสกระจุกดาวลูกไก่กำลังเคลื่อนที่หนีห่างจากเราไปเรื่อย ๆ โดยในเวลา 3 หมื่นปีมันจะเปลื่อยตำแหน่งไปประมาณเท่ากับความกว้างบนดวงจันทร์บนท้องฟ้าและอีกไม่กี่ล้านปีข้างหน้าเราจะเห็นมันเป็นเพียงวัตถุขนาดเล็ก ๆ บนท้องฟ้าเท่านั้นภาพถ่ายกระจุกดาวลูกไก่ส่วนใหญ่มักจะเป็นกลุ่มก๊าซเรืองแสงสีน้ำเงินอยู่บริเวณกระจุกใจกลางกระจุกดาวด้วย ซึ่งแสงดังกล่าวเกิดจากก๊าซสะท้อนแสงมาจากดวงดาวที่ร้อนจัด เดิมนักดาราศาสตร์เชื่อว่ากลุ่มก๊าซในอวกาศนี้เป็นกลุ่มก๊าซเหลือจากการสร้างกระจุกดาว แต่ในปัจจุบันเชื่อกันว่ากระจุกดาวลูกไก่เคลื่อนที่เข้าไปในกลุ่มก๊าซที่ลอยอยู่ในอวกาศทำให้มันเรืองแสงขึ้นมา

ชาติตะวันตกเรียกกระจุกดาวลูกไก่ว่า Seven Sisters ตามนิยายกล่าวว่า แอตลาส (Atlas) มีลูกสาวเจ็ดคนชื่อ Alcyone , Celaeno , Maja , Merope , Taygete , Sterope และ Electra อยู่มาวันหนึ่งพรานโอไรออนได้บุกรุกเข้าไปในเคหะสถานเทพวีนัสจึงได้แปลงร่างสาวน้อยทั้งเจ็ดให้กลายเป็นนกพิราบเพื่อหลบหนีได้อย่างปลอดภัย ส่วนอเมริกันอินเดียนมีเรื่องเล่ากันว่า กระจุกดาวลูกไก่คือเด็กน้อยเจ็ดคนที่หนีไปท่องเที่ยวในหมู่ดวงดาวแล้วเกิดหลงทางกลับบ้านไม่ได้ เด็กทั้งเจ็ดจึงเกาะกลุ่มกันไว้เพื่อไม่ให้พลัดหลงจากกันหากสังเกตดาวลูกไก่จะพบว่าคนส่วนมากจะเห็นดาวในกระจุกด้วยตาเปล่าเพียงหกดวง มีน้อยคนที่จะเห็นเจ็ดดวงเพราะดวงดาวดวงหนึ่งมีความสว่างน้อยกว่าเพื่อนจึงเห็นได้ยาก ชาวอเมริกันอินเดียนให้เหตุผลไว้น่าฟังว่า เป็นเพราะดาวดวงนั้นเป็นน้องคนเล็กซึ่งคิดถึงบ้านมากจึงร้องไห้อยู่บ่อย ๆ จนตาบวม ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้น้องดาวคนเล็กไม่ค่อยสว่างสุกใสเหมือนพวกพี่ ๆ
เนบิวลารูปปู (Crab Nebula)

สิ่งที่น่าสนใจในกลุ่มดาววัวสิ่งสุดท้ายที่จะกล่าวถึงในที่นี้แม้จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้กล้องดูดาวตั้งแต่ขนาดเล็กขึ้นไปจึงจะมองเห็น แต่วัตถุท้องฟ้านี้มีความสำคัญและหาดูได้ยากยิ่ง มันคือซากการระเบิดของดาวฤกษ์ดวงหนึ่งในอดีต หรือที่เรียกว่าซุปเปอร์โนวา (Supernova)

บริเวณปลายเขาข้างขวาของวัวจะเป็นตำแหน่งของดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่มีชื่อว่า เซตา ทอรี (Zeta Tauri) ใกล้ ๆ กับดาวฤกษ์ดวงนี้ห่างออกมาประมาณ 1 องศาเศษทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือคือตำแหน่งของซากดาวฤกษ์ดวงหนึ่งในอดีต มันมีชื่อว่าเนบิวลาปู (Crab Nabula) หรือ M1 หรือ NGC1952 เนบิวล่าปูเป็นซากระเบิดเป็นซากซุปเปอร์โนวาที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้า มีความสว่าง 9 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1054 ชาวจีนได้เห็นดวงดาวดวงหนึ่งซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน อยู่ดี ๆ ก็สุกใสขึ้นมาจนสว่างกว่าดาวศุกร์ ดาวดวงใหม่นี้สว่างมากจนสามารถมองเห็นได้ในเวลากลางวันเป็นเวลายาวนาน 23 วัน ก่อนจะค่อย ๆ ลดความสว่างลงแล้วจางหายไป ไม่ใช่เฉพาะชาวจีนเท่านั้นที่เห็นดาวดวงใหม่นี้ แต่ผู้คนอีกหลายชาติ อาทิ ชาวเกาหลี ตุรกี และอเมริกันอินเดียนก็เห็นปรากฏการณ์นี้ด้วย

เนบิวลาปู๔กค้นพบโดยนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ จอห์น เบวิส (John Bevis) ในปี ค.ศ. 1731 แต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแพร่หลาย จนกระทั่งอีก 27 ปีต่อมา ชาร์ล เมซซิเออร์ (Charles Messier) ก็ค้นพบและบันทึกมันไว้ในแคตาล็อกของเขาตั้งชื่อมันว่า M1 ซึ่งหมายถึงแคตาล็อกของเมซซิเออร์หมายเลข 1 หลังจากนั้น M1 ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไปและเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งบนท้องฟ้า

เมื่อมองดู M1 ด้วยกล้องดูดาวจะเห็นมันเป็นเพียงฝ้าสีเทา ๆ ขนาดเล็ก ๆ เท่านั้น แต่เมื่อใช้กล้องขนาดใหญ่หรือใช้การถ่ายภาพเข้าช่วยเราจะเห็นรูปทรงของมันอย่างชัดเจนว่ามีลักษณะเหมือนวัตถุที่กระจายตัวออก จริง ๆ แล้ว M1 กำลังขยายตัวด้วยความเร็ว 1,000 กิโลเมตรต่อวินาที จนในปัจจุบันมีขนาดใหญ่ราว 7 ปีแสง ซึ่งหมายความว่าในขณะที่ชาวจีนเห็นดาวเกิดใหม่ในปี ค.ศ.1054 นั้น จริง ๆ แล้วเขาเห็นการระเบิดของดาวฤกษ์ดวงหนึ่งในอดีตเมื่อ 5,000 ปีที่แล้วแต่แสงของมันเพิ่งเดินทางมาถึงโลกในขณะนั้น ส่วนภาพที่เราเห็น M1 ในปัจจุบันคือภาพของเศษซากดวงดาวที่ระเบิดออกทั้งดวงเกือบ 1,000 ปีต่อมา

นักดาราศาสตร์ทราบมานานแล้วว่าดาวฤกษ์ที่ระเบิดเป็นซุปเปอร์โนวานั่นคือดาวฤกษ์ที่มีมวลสานมาก ๆ และกำลังหมดเชื้อเพลิงในการทำปฏิกิริยานิวเคลียร์ ที่แก่นใจกลางของดาวฤกษ์ประเภทนี้จะเต็มไปด้วยธาตุหนักต่าง ๆ มากมาย และเมื่อมันใช้พลังงานไปจนกระทั้งที่แก่นใจกลางกลายเป็นธาตุเหล็กซึ่งไม่สามารถทำปฏิกิริยานิวเคลียร์ได้อีกต่อไป ดาวทั้งดวงก็จะยุบตัวลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงด้วยแรงโน้มถ่วง ส่งผลให้มันระเบิดออกมาเป็นซุปเปอร์โนวาที่สว่างสุกใสเหมือนดาวเกิดใหม่ที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน แก่นใจกลางที่มีมวลสารหนาแน่นได้แปรสภาพเป็นดาวนิวตรอน หรือกลายเป็นหลุมดำซึ่งมีความหนาแน่นและมีแรงดึงดูดมหาศาลจนแสงก็ยังไม่สามารถเคลื่อนที่หนีออกจากหลุมได้ และมันจะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใกล้ ๆ ในกรณีของ M1 นั้นดวงดาวที่ระเบิดได้กลายสภาพเป็นดาวนิวตรอน ซึ่งมีขนาดเล็กเพียงไม่กี่ไมล์แต่หมุนรอบตัวเองเร็วมาก จนทำให้ปล่อยคลื่นวิทยุออกมาเป็นคาบสม่ำเสมอ 30 ครั้งต่อวินาที วัตถุบนท้องฟ้าชนิดนี้เรียกว่า พัลชาร์ (Pulsar)

สำหรับผู้ที่สนใจอยากร่วม Park ใจ ในกิจกรรมรูปแบบอื่นหรือแลกเปลี่ยนเรื่องการสัมผัสธรรมชาติด้วยกัน สามารถติดตามกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊กกรุ๊ป Parkใจ 


กิจกรรมดำเนินการโดย นิตยสารสารคดี เพจ Sarakadee Magazine
และ Nairobroo – นายรอบรู้ นักเดินทาง
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ความสุขประเทศไทย และ ธนาคารจิตอาสา