เรื่องและภาพ : สิรวิชญ์ บุญประสิทธิการ

มองออกไปนอกหน้าต่าง เกล็ดน้ำแข็งเกาะบานกระจกเป็นทาง มองดูประหลาด ทำให้ผมหวนคิดถึงครั้งแรกที่ตัดสินใจสมัครเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน
หลายคนกล่าวว่าธรรมชาติคือสิ่งสวยงาม แต่น่าแปลกที่ “การเปลี่ยนแปลง” ซึ่งเป็นธรรมชาติของทุกชีวิตและสรรพสิ่งกลับเป็นความจริงที่มนุษย์ไม่ประสงค์ หลายคนกังวล บางคนกลัวการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้นก็อาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงคือข้อยกเว้นของธรรมชาติ เพราะมันอาจไม่สวยงามนัก
ผมเป็นหนึ่งในนั้น การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์แม้แต่น้อย จากที่เคยเป็นเด็กชายผูกผ้ากันเปื้อน หยอกล้อกับเพื่อนตอนเรียนอนุบาล ก็ย่างเข้าสู่ชั้นประถมฯ ที่มีการบ้านถาโถม ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เลี้ยงดูฟูมฟักค่อยๆ จากไปทีละคนสองคน การเติบโตทำให้ผมต้องเรียนรู้ที่จะมองหานิยามความสุขรูปแบบใหม่ และต้องทำใจอดทนกับการจากไปของญาติอันเป็นที่รัก
ตอนนั้นเองที่ผมคิดว่า การได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนดูสักครั้งคงทำให้ชีวิตคุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้น
แต่ก่อนจะรู้สึกคุ้นชิน ผมกลับต้องเผชิญกับความเปล่าเปลี่ยวและวิตกกังวลจนแทบตั้งตัวไม่ทัน ทุกสิ่งรอบตัวของนักเรียนแลกเปลี่ยนคนนี้ช่างแตกต่างจากที่ไทยราวฟ้ากับดิน อากาศ อาหาร ตลอดจนวัฒนธรรมภาษา พาให้ผมตั้งคำถามว่า เราจะดิ้นรนตามหาการเปลี่ยนแปลงให้ตัวเองต้องเจอกับสิ่งที่ยากลำบากทำไมกัน…
“วอร์ม ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ” เสียงของโฮสต์แม่ซึ่งเรียกให้ผมออกจากบ้านเพื่อเตรียมตัวมุ่งหน้าสู่ป่าลึก ยุติภวังค์ความคิดในบัดดล ผมลุกจากบานหน้าต่างที่ทอดสายตาอยู่หลายสิบนาที ตรวจเช็กเสื้อผ้าให้แน่ใจว่าพร้อมสำหรับการเดินทางไกลยามบ่าย ก่อนค่อยๆ บรรจงใส่รองเท้าเดินป่าคู่ใหม่ ผูกเชือกจนแน่น แล้วก้าวออกไปสมทบกับกลุ่มคนเบื้องหน้า
เป็นเวลา 4 เดือนแล้วที่ผมมาอาศัยอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ หลายคนบอกว่านักเรียนแลกเปลี่ยนส่วนมากจะใช้เวลาราว 3 เดือนในการปรับตัวให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ แต่ผมใช้เวลาที่นี่ไป 4 เดือนแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าตัวเองจะมีความสุขในความเปลี่ยนแปลงนี้ได้เลยสักนิด
ดังนั้นก็คงไม่แปลกอะไรที่ครอบครัวอุปถัมภ์จะสังเกตเห็นเด็กหนุ่มคนไทยที่ตนรับอุปการะมีสีหน้าบึ้งตึง ดวงตาเศร้าสร้อย พวกเขาจึงชักชวนผมให้ออกจากบ้านมาพักผ่อนตากอากาศบนภูเขา
เรามากันที่ Malmedy เมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของประเทศเบลเยียมที่เต็มไปด้วยป่าสนและทัศนียภาพงดงามหมดจด การเดินสำรวจธรรมชาติในช่วงฤดูหนาวปลายปีเป็นกิจวัตรสำคัญของคนที่นี่ ที่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจในจุดประสงค์ของพวกเขาดีนัก
………………………..


“เราจะตรงไปทางนั้น” เสียงโฮสต์น้องชายเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง หลังจากเพ่งพินิจดูแผนที่
“มันจะต้องสวยมาก…” โฮสต์น้องสาวกล่าวต่อยาวเหยียดด้วยท่าทางกระตืนรือร้นปนสนุก น่าเศร้าที่ผมฟังออกเพียงประโยคแรกเท่านั้น แม้ผมจะเริ่มฟังภาษาดัตช์ออกบ้างแต่ก็แค่เล็กน้อย จึงยังไม่สันทัดพอจะฟังประโยคยาวๆ ได้เข้าใจถ่องแท้
อันที่จริงชีวิตการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ทุกสิ่งผิดแปลกแตกต่างจากที่ไทยก็ไม่ใด้เลวร้ายจนต้องวิตก เพราะทั้งโฮสต์พ่อ แม่ น้องชาย และน้องสาว ต่างคอยพูดคุย ดูแล ทั้งยังช่วยเหลือผมในการปรับตัวให้เข้ากับดินแดนใหม่ในอีกซีกหนึ่งของโลก แต่ก็ดูเหมือนว่าหลายๆ สิ่งจะยังไม่ลงตัว ราวกับว่าลึกๆ ในจิตใจของผมยังคงถวิลหาผองเพื่อนและครอบครัวที่เมืองไทย ความสุขของผมยังคงอยู่ที่นั่น เป็นบ่วงสุขที่ไม่ได้ติดตามเดินทางมาด้วยกันกับร่างกาย
ความคิด ความรู้สึก ลอยล่องพัดปลิวลิ่วลมหนาวในเดือนธันวาคม ผมออกเดินไปตามแผนที่ที่มีน้องชายเป็นคนนำ สองขาเคลื่อนไหวไปตามกลไกอัตโนมัติของร่างกายโดยไม่ผ่านสมองแม้แต่น้อย แต่แล้ว…
ความคิดผมหยุดลง นิ่งสนิท สายตาทั้งสองจับจ้องแสงแดดตรงหน้า
ผมไม่เคยเห็นแดดที่สวยขนาดนี้ด้วยสองตาของตัวเองมาก่อน แนวสนสกัดกั้นหักเหจนแสงตะวันกระจายออกไปเป็นแฉก ฉายส่องล่องสู่ป่า ทอแสงบนหย่อมหญ้าเบื้องล่างสว่างจ้าน่าชม ส่วนพื้นหญ้าถัดออกไปกลับอยู่ใต้ร่มเงาของไม้สูง เป็นความขัดแย้งที่สมดุล สวยงาม
ใจของผมนิ่งสงบราวกลับทะเลสาบที่ไร้ลมพัดผ่าน เพื่อชื่นชมความสวยงามของผลิตภัณฑ์จากดวงอาทิตย์
ณ ที่แห่งนี้ วินาทีนี้ ผมสัมผัสความสุขเล็กๆ ได้รางๆ เป็นความสุขที่แสนสงบ ซึ่งผมไม่เคยประสบเลยสักครั้งตั้งแต่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน
………………………..


พวกเราเดินต่อไป ลึกเข้าไปในความเขียวชอุ่ม เพียงหยุดคิดถึงดินแดนที่จากมา ผืนป่าก็สร้างความรู้สึก “สุข” ให้เกิดขึ้นในหัวใจผมได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ผมสุขเมื่อได้เห็นใบไม้สีแดงซึ่งร่วงหล่นในฤดูใบไม้ร่วงที่เพิ่งผ่านไป แผ่กระจายเต็มพื้นดินจนแทบมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง เป็นภาพที่ผมไม่มีวันได้เห็นในประเทศบ้านเกิด
ไม่กี่นาทีจากนั้นผมรู้สึกสุขเมื่อรองเท้าเดินป่าคู่ใหม่ย่ำสัมผัสกับพืชที่มีลักษณะเหมือนกองฟางหนา ความนุ่มของมันทำให้ผมทรงตัวก้าวเดินได้ไม่ถนัด โฮสต์แม่หันมายิ้มอ่อนๆ ให้ พร้อมสายตาแห่งความเป็นห่วง ทว่าก็ขบขันกับท่าทางการเดินเก้ๆ กังๆ ของผมด้วย
พ้นจากพื้นกองฟาง สองข้างทางเป็นที่โล่ง มวลอากาศหนาวของเดือนสุดท้ายของปี 2017 พัดผ่านร่างกายผมอย่างอ่อนโยน เด็กหนุ่มจากเมืองไทยไขปริศนาแห่งความสุขได้ในที่สุด–ที่ผ่านมามีเพียงตัวผมที่เดินทางมาถึงเบลเยียม แต่ตอนนี้หัวใจของผมตามหาร่างกายพบแล้ว
ผมกลัวการเปลี่ยนแปลง การเดินทางจากบ้านหลายพันไมล์ทำให้ผมต้องจากครอบครัวและเพื่อนที่ผมรัก เพื่อนเหล่านั้นกำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีสุดท้ายของชีวิตมัธยม นั่นเท่ากับว่าเมื่อกลับไปผมจะไม่มีวันได้เห็นพวกเขานั่งในชั้นเรียนอย่างพร้อมหน้าอีกต่อไป ผมจะไม่มีวันได้เห็นสิ่งนั้นอีกแล้ว…
ผมยึดติดกับภาพที่ตัวเองรักในอดีต แล้วหวาดกลัวอนาคตที่จะไม่มีภาพเหล่านี้อยู่ตรงนั้น และนั่นทำให้ผมลืมมองภาพปัจจุบันที่สวยงาม
ผมพบความสุขเล็กๆ ในป่าผืนใหญ่ ความสุขจากการหยุดคิด เลิกพินิจอดีตหรืออนาคต แล้วปล่อยกาย วางใจ ซึมซับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ความหนาว กลิ่นหญ้า ท้องฟ้า ต้นไม้ ผมปล่อยใจกายให้ธรรมชาติโอบกอด
………………………..


คอนเซปต์ของความสุขที่ผมเพิ่งค้นพบคือ การอยู่กับปัจจุบัน มันเป็นคำพูดเชยๆ ที่หลายคนคงเคยได้ยินมาก่อน หากแต่การลงมือทำนั้นไม่ง่าย ความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่รวดเร็ว กว้างขวาง ไม่สิ้นสุด การหยุดความคิดไม่ให้วิ่งวนในความทรงจำหรือลอยล้ำไปหมกมุ่นกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงคือความท้าทายขั้นสุด โชคดีเหลือเกินที่ป่าแถบยุโรปใน Malmedy ทำให้ผมได้สติและหยุดความคิดเหล่านี้ได้ อย่างน้อยก็ชั่วครู่ชั่วคราว…
“ทุกคน! หันมาเร็ว” น้องสาวเรียก ทำเอาทุกคนหยุดชะงักและหันไปหาเธอ สองมือของเด็กสาวจับกล้องคู่ใจ พร้อมบันทึกภาพนักเดินทางขบวนหน้า
“1 2 3 แชะ!”
ชั่วอึดใจภาพครอบครัวกลางป่าใหญ่ก็ถูกบันทึก น่าเสียดายที่ในรูปใบนี้ไม่มีโฮสต์น้องสาวอยู่ด้วยกัน แต่อย่างไรผมรู้ดีว่าตัวเองจะไม่มีวันลืมว่าเธอเป็นคนลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพนี้
………………………..


หลังจากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางต่อ อากาศที่หนาวเหน็บไม่อาจหยุดยั้งหยาดเหงื่อที่เริ่มรินไหล แต่เหงื่อทุกหยดนั้นคุ้มค่ากับความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในหัวใจ พวกเราเดินต่ออีกไม่นานก็ถึงจุดที่ต้องวกกลับไปยังบ้านพักตากอากาศ เราเลือกเดินคนละเส้นทางกับขามา ด้วยความหวังว่าเส้นทางใหม่คงทำให้ได้เห็นอะไรใหม่ๆ ไม่มากก็น้อย
หนึ่งคำถามคาใจก่อนที่ทริปเดินป่าจะเริ่มต้น คือเหตุใดคนยุโรปจึงโปรดปรานการเดินป่าในช่วงหน้าหนาว ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะอากาศเย็นสบาย แต่อันที่จริงก็มีกิจกรรมมากมายให้ทำไม่ใช่หรือ
จุดประสงค์ในการเดินป่าของพวกเขาคืออะไรกันแน่…
“เดริค ทำไมคนที่นี่จึงชอบเดินป่าในหน้าหนาวนักล่ะ” ผมเอ่ยถามโฮสต์พ่อ
“เอ่อ ก็มันเป็นการพักผ่อนที่สนุกดี”
“แค่นี้เหรอ แต่เราพักผ่อนได้ตั้งหลายวิธีนะ”
“แน่นอนสิ เราก็พักผ่อนกันหลายวิธี นั่งอ่านหนังสือ ดูหนัง เล่นสกี…แต่ละอย่างก็มีเสน่ห์ในแบบของมัน การเดินป่าก็เหมือนกันนั่นแหละ แล้ววอร์มคิดว่าไง”
ผมนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง
“ผมมีความสุขมากๆ ครับที่ได้มาที่นี่”
ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม ใจหวังให้เป็นรอยยิ้มที่ครอบครัวอุปถัมภ์รอคอยจากเด็กหนุ่มคนนี้
………………………..


ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ เตรียมเปลี่ยนผืนฟ้าสู่ยามค่ำคืน ผมอดไม่ได้ที่จะบันทึกความงดงามนี้ไว้ด้วยกล้องถ่ายรูป ตอนนี้ผู้คนกลายเป็นสีดำ มีแสงอาทิตย์ฉายทาบเป็นฉากหลัง
“สวยจัง” ผมอุทานในใจก่อนลั่นชัตเตอร์
ผมเพิ่งค้นพบว่าความสุขเกิดขึ้นได้ด้วยการอยู่กับปัจจุบัน ยิ่งเป็นปัจจุบันที่มีความสุขด้วยแล้ว ผมยิ่งเต็มใจเก็บบันทึกมันไว้ในภาพถ่าย ด้วยอยากจดจำความรู้สึกดีๆ นี้ไว้ให้นานๆ และแน่นอนว่าผมจดบันทึกความสุขนี้ไว้ในหัวใจเสร็จเรียบร้อยก่อนแล้ว
………………………..

มนุษย์มักกังวลกับการเปลี่ยนแปลง เพราะเราไม่มีวันล่วงรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งจะนำชีวิตเราไปพบกับอะไร ดีหรือร้าย หลายคนจึงพยายามชะลอหรือถึงขั้นต่อต้านการเคลื่อนผ่านของเวลา แล้วยึดติดกับสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะไม่อยากให้พื้นที่ที่เราสุขใจต้องแปรเปลี่ยนไปตามวันเดือนปี
แต่ในโลกนี้คงไม่มีใครหลบหนีการเปลี่ยนแปลงได้พ้น ไม่มีใครเก่งพอจะห้ามไม่ให้ใบไม้สีแดงร่วงหล่นตามฤดูกาล ไม่มีใครสามารถบังคับไม่ให้ลมหนาวพัดผ่านตอนสิ้นปี และคงไม่มีใครมีอำนาจยับยั้งการเติบโตของสิ่งมีชีวิต
ดังนั้นแทนที่จะฝ่าฝืนธรรมชาติของสรรพสิ่ง เราควรหันมาเรียนรู้การอยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นสุข ไม่มีประโยชน์ที่เราจะถวิลหาอดีตที่ไม่สามารถแก้ไข หรือเอาใจไปผูกไว้กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ตั้งสติ และจงปล่อยวาง สูดหายใจเข้าออกช้าๆ เปิดตา เปิดใจ สัมผัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยจิตวิญญาณ
ใบไม้ที่กองสุมอยู่มุมป่าเพราะการเปลี่ยนแปลง ก็กลายเป็นสิ่งสวยงามได้ไม่ใช่หรือ…