สุเจน กรรพฤทธิ์ :สัมภาษณ์
ประเวช ตันตราภิรมย์ :ถ่ายภาพ
หากไม่เกิดการรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ และปี ๒๕๕๗ เราอาจเห็น อั๋ว-จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ เป็นเด็กสาวธรรมดาที่เรียนหนังสือตามปรกติ เธออาจมีภาพเป็นคนธรรมะธรรโม นั่งสมาธิ ชอบศึกษาด้านพุทธศาสนา และขยันเรียน
แต่เมื่อไม่อาจมีใครย้อนเข็มนาฬิกาได้ ความเป็นจริงก็คือ อั๋ว (แปลว่า “อุดมสมบูรณ์”) เริ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองบนท้องถนนอย่างจริงจังตั้งแต่ช่วงต้นปี ๒๕๖๓
อั๋ว เป็นหนึ่งในกลุ่มเยาวชนปลดแอก (Free Youth) ที่ต่อมามีการรีแบรนด์กลุ่มเป็น “ประชาชนสร้างตัว” (REDEM-Restart Democracy) โดยกลุ่มที่เธอกับเพื่อนๆ ร่วมขับเคลื่อน เป็นข่าวในสื่อร่วมกับกลุ่มการเมืองอื่นๆ ที่รวมตัวกันต่อมาในนาม “ม็อบราษฎร”
หลายครั้งมักมีคนสังเกตพบว่านามสกุลของเธอคือนามสกุลเดียวกันกับ “เตียง ศิริขันธ์” อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนสำคัญของภาคอีสานที่มีบทบาททางการเมืองอย่างยิ่งในยุคกึ่งพุทธกาล
ไม่ว่าเธอจะตั้งใจหรือไม่ วันนี้ อั๋ว ดูเหมือนกำลังสานต่อภารกิจด้านประชาธิปไตยจากญาติของเธอด้วยความต้องการของตัวเธอเอง
๑
“ช่วงเกิดรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เราอยู่จังหวัดอำนาจเจริญ เรียนชั้น ป. ๒ จำได้ว่ารายการทีวีตัดเข้าโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) เห็นรถถังในกรุงเทพฯ บรรยากาศตึงเครียด
“ช่วงล้อมปราบคนเสื้อแดงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๕๓ เราอยู่ ป. ๖ จำได้ว่ามีคนเสื้อแดงชวนให้ลงมาชุมนุมที่กรุงเทพฯ แต่เราไปไม่ได้ แถวบ้านกางโปรเจกเตอร์ใหญ่ๆ แล้วก็เชียร์กัน ผูกผ้าแดง โบกธงแดง รถปิกอัปติดธงแห่กันไปตามที่ต่างๆ ก็ได้ดูทีวีช่องเสื้อแดง ต่อมาถึงรู้ว่ามีการเผาศาลากลางจังหวัดหลายแห่ง แต่เราก็ยังไม่ได้สนใจการเมืองมาก
“ก่อนรัฐประหาร ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เราสนใจการเมืองแล้ว เพราะดูภาพยนตร์ อ่านหนังสือมากขึ้น เราชูสามนิ้วเป็นจากการดู Hunger Game ในโรงหนังที่จังหวัดอุบลราชธานี ตอนเกิดรัฐประหารจำได้ว่าดูทีวีอยู่บ้าน รายการปรกติโดนตัดออก อินเทอร์เน็ตใช้ไม่ได้อยู่พักหนึ่ง
“ช่วงที่ กปปส. ชุมนุมก่อนเกิดรัฐประหาร เราไม่ชอบ ภาพของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เขาเรียกกันว่า ‘ลุงกำนัน’ สร้างความรู้สึกแย่ เคยดูช่อง BLUESKY Channel ที่พ่อเปิดให้ดูที่อุบลฯ เขาพูดเรื่องโครงการจำนำข้าว น้องของเรายังถูกชวนไปเรียนในวิทยาลัยที่สุเทพก่อตั้ง
“เรามั่นใจว่าไม่ใช่สลิ่มแน่เพราะรับเรื่องพวกนี้ไม่ได้เลย แต่จะบอกว่าเป็นเสื้อแดงก็ไม่ใช่ เราอยู่ในบรรยากาศที่เหตุการณ์ในกรุงเทพฯ ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร ไม่รู้สึกถึงผลกระทบ ทั้งที่มันสำคัญมาก”