ทีมแม่ดารา (ดาราคนไทยเหรอคะ)
เรื่อง : อมรรัตน์ แดงนรรักษ์รัศมี
ภาพ : ดาราวิรุฬห์ แดงนรรักษ์รัศมี

แม่ดารา สุขของฉัน และฝันสุดท้าย (ที่ยังไม่ท้ายสุด)
เที่ยวในวันหยุดกับครอบครัว

ครอบครัวฉันเป็นลูกครึ่งจีน ลูกๆ จะเรียกพ่อว่า “ปะป๊า” และเรียกฉันว่า “แม่” ขณะที่บ้านญาติพี่น้องทุกคนก็จะเรียก “ป๊า ม๊า” กันทั้งนั้น ซึ่งตอนลูกยังเล็กเคยถามว่าทำไมไม่ให้เรียก “ม๊า” เหมือนคนอื่นๆ และคำตอบที่ฉันให้ลูกคือ

“แม่ไม่อยากเป็นม้า (ฮี้ฮี้) ขอเป็นคุณแม่ก็แล้วกันนะ”

ฉันมีน้องมิ้นท์ ลูกสาวคนโตตอนอายุ ๒๙ ปี โดยการคลอดธรรมชาติ ซึ่งในบรรดาพี่น้องผู้หญิงสี่คน ฉันมีลูกก่อน พี่สาวและน้องสาวจึงถามด้วยความอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร

“รู้แล้วล่ะ ว่าทำไมแม่นาคถึงตายเพราะคลอดลูก” ฉันตอบ

พอได้ยินเท่านั้นแหละ คำตอบที่พี่น้องสรุปคือ ถ้ามีลูกจะผ่าคลอดแน่นอน โดยสิ่งที่อธิบายต่อจากนั้นไม่มีใครสนใจฟังแล้ว

หลังจากคลอดน้องมิ้นท์ ก๋งกับม่า (พ่อแม่ฉัน) ก็อาสารับเลี้ยง เพราะไม่อยากให้ฝากไว้กับพี่เลี้ยงตามลำพังตอนฉันกับสามีต้องออกไปทำงาน ลูกจึงไปอยู่ต่างจังหวัด ส่วนฉันและสามีจะไปเยี่ยมช่วงเทศกาลวันหยุดยาว ทำให้พลาดโอกาสเห็นพัฒนาการของลูกในตอนแรก เสียโอกาสเห็นความน่ารัก น่าเอ็นดู เพราะเป็นช่วงกำลังสร้างครอบครัว

พอไปรับลูกกลับ ก๋งม่าก็ไม่ยอมคืนให้ บอกมีใหม่เถอะ ฉันไม่อยากทำร้ายจิตใจคนแก่ เพราะเลี้ยงมาก็รักผูกพัน อีกทั้งหลานช่างพูด ก๋งคะ ก๋งขา ทั้งวัน อย่างที่รู้ๆ กันว่าบ้านไหนมีเด็กเล็กๆ ก็จะมีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ทำให้บรรยากาศในบ้านสดชื่น ต่ออายุคนในบ้านได้เป็นอย่างดี

เวลาผ่านไป ๕-๖ ปี ฉันก็ยังไม่มีวี่แววจะมีลูกเพิ่ม จึงย้ายกลับไปอยู่กับลูกเป็นครอบครัว พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก ซึ่งถือว่าเป็นความสุขที่ลงตัวสุดจนลืมไปเลยว่าฉันไม่มีวี่แววจะมีลูกอีก

น้องมิ้นท์กำลังเรียนชั้น ป. ๖ เป็นเด็กเรียนเก่ง มีความสามารถพิเศษหลายอย่าง สำหรับฉันอะไรที่เป็นความสุขของลูก และจะเป็นประโยชน์แก่ลูกในอนาคต ฉันสนับสนุนเต็มที่

maedara02
น้องมายด์กับแม่ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว

หลังจากรอมานานถึง ๑๑ ปี เช้าวันหนึ่งขณะชงกาแฟ ฉันรู้สึกแปลกๆ เหมือนกาแฟไม่หอมเหมือนทุกวัน เริ่มสังหรณ์ใจชอบกล เปรยกับคุณสามีว่า

“คุณ คุณ สงสัยว่าจะมีลูกตอนแก่แล้วล่ะ” คุณสามีหันมาหัวเราะเบาๆ

“ป้าเอ๊ย จนป่านนี้แล้ว ยังคิดจะมีอยู่อีกเหรอ?”

แล้วฉันก็ได้รับการยืนยันจากหมอ ทำให้ฉันหัวเราะดีใจอย่างมีความสุข ถึงแม้ตอนนั้นอายุจะปาเข้าไป ๔๐ แล้วก็ตาม

หลังจากฝากท้องฉันก็ได้รู้เรื่องสำคัญ คือถ้าอายุเกิน ๓๕ ปีแล้วตั้งท้อง จะต้องเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจความเสี่ยงของลูกในท้องซึ่งอาจมีภาวะดาวน์ซินโดรม จากความผิดปรกติของโครโมโซมคู่ที่ ๒๑ เกินมาหนึ่งแท่งตั้งแต่กำเนิด ส่งผลให้ทารกมีพัฒนาการทางสมองช้า

หมอจะนัดเจาะน้ำคร่ำในช่วงอายุครรภ์ ๑๔-๑๖ สัปดาห์ ถ้ามีความผิดปรกติก็จะยุติการตั้งครรภ์ให้ ซึ่งต้องรอผลตรวจ ๒ สัปดาห์ ระหว่างนี้ก็ต้องเตรียมคำตอบไว้ หากพบว่าผิดปรกติ จะตัดสินใจอย่างไร

เพื่อคลายความวิตกกังวล หมอพูดคล้ายปลอบใจว่า

“คุณแม่ไม่ต้องวิตกกังวลไปหรอกนะ บางรายไม่พบความผิดปรกติอะไร แถม bright อีกต่างหาก”

โชคดีที่ผลออกมาปรกติและเป็นลูกสาว แค่นั้นก็ดีใจสุดๆ แล้ว จะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ทั้งนั้น

และแล้วครอบครัวฉันก็มีสมาชิกใหม่ (ลูกทั้งสองคนเกิดปีจอทั้งคู่)

หมอแนะนำให้ผ่าคลอด เนื่องจากเป็นแม่ค่อนข้างสูงวัย กลัวไม่มีลมเบ่ง อีกทั้งลูกก็ไม่ยอมกลับหัว นี่แหละที่ทำให้ฉันเป็นคุณแม่ผู้แสนโชคดีเสียจริง น้อยคนนักจะมีโอกาสได้คลอดทั้งสองวิธีแบบนี้

พอรู้สึกตัว หมอที่ทำคลอดก็บอกว่า

“หมอทำหมันและตัดไส้ติ่งให้เรียบร้อยแล้วนะครับ”

โห…ฉันสำนึกถึงความเจ็บสามเด้งเลย ผ่าคลอด ทำหมัน และตัดไส้ติ่ง

แต่ฉันก็มีความสุข เพราะลูกสาวตัวน้อยสมบูรณ์แข็งแรงดีมาก วันแรกฉันยังไม่มีน้ำนม จึงแอบให้สามีชงนมให้ลูก ๓ ออนซ์ แต่พอพยาบาลเดินผ่านหน้าห้องก็ตะโกนเข้ามาทันทีเลยว่า

“นี่…ห้องนี้เลี้ยงลูกด้วยนมขวดเหรอคะ?”

เพราะเสียงดูดขวดนมอย่างดุเดือดสลับกับเสียงอากาศไหลเข้าขวดของลูกสาวเล็ดลอดออกไปถึงนอกห้องจนถูกพยาบาลจับได้ นี่แค่วีรกรรมแรก…นะ

maedara03
ประกวดหนูน้อยนพมาศ
maedara04
น้องมายด์กับเจ๊มิ้นท์งานจิบชาชมงิ้ว

มิ้นท์ตั้งชื่อให้น้องว่า “น้องมายด์” ส่วนชื่อจริงหลังได้วันเวลาตกฟากไปให้อาจารย์ที่เคารพนับถือตั้งให้ ได้ชื่อว่า “ด.ญ.ดาราวิรุฬห์” ซึ่งมีความหมายว่า ดาวแห่งปัญญา และเพราะชื่อนี้เหมือนกันที่ทำให้มีเรื่องขำ

วันหนึ่งไปนั่งรอรับลูกที่โรงเรียน ระหว่างนั้นเพื่อนลูกเดินผ่านมาเห็นฉันพอดี เลยตะโกนว่า

“แม่ดารามาแล้ว”

ผู้ปกครองที่นั่งใกล้ๆ หันมาถามฉันทันทีว่า

“ไม่ทราบว่าคุณพี่เป็นแม่ดาราคนไหนเหรอคะ?”

ฉันได้แต่ยิ้ม ไม่กล้าหัวเราะ กลัวเขาจะอาย จึงตอบว่า

“ลูกสาวชื่อดาราค่ะ”

พอกลับถึงบ้าน ก็เลยมีเรื่องมาเล่าให้ได้หัวเราะกันอีก ราวกับฉันได้สัมผัสถึงความสุขใกล้ตัวโดยไม่ต้องหาจากที่ไหนไกลๆ

น้องมายด์เป็นเด็กเลี้ยงง่าย เฉลียวฉลาด พัฒนาการดีมาก พอถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียน ฉันพาไปเข้าเรียนเตรียมอนุบาลได้แค่วันเดียว คุณครูก็แจ้งให้ pass ขึ้นชั้นไปเรียนอนุบาล ๑ เพราะน้องมีพัฒนาการต่างจากเพื่อนร่วมชั้น พอฉันไปปรึกษาหมอเด็กที่ดูแลก็ให้คำแนะนำว่า เพื่อเพิ่มศักยภาพของพัฒนาการที่ดี ก็ควร pass ชั้นไปเลย จะเป็นผลดีมากกว่า

ช่วงเรียนอนุบาลก็มีวีรกรรมตลกให้หัวเราะอีกเรื่อง พอเล่าทีไรต้องนั่งหัวเราะจนน้ำตาไหล

“คุณแม่ขา คุณแม่ขา คุณแม่เคยกินขี้ดัง (ขี้มูก) ไหมคะ?” ฉันสตันต์ไป ๓ วินาที ก่อนตอบ

“มันไม่ใช่ของกินนะลูก เชื้อโรคทั้งนั้น เดี๋ยวจะทำให้หนูไม่สบายนะ”

maedara05
เล่นเบสในวงโปงลาง
maedara06
ห้องนอนที่เต็มไปด้วยหนังสือ

และในกิจกรรมวันแม่ที่โรงเรียนจัด จะเชิญผู้ปกครองเพื่อให้เด็กๆ นำพวงมาลัยมากราบ แต่ฉันติดงานสำคัญลาไม่ได้ ต้องให้อาม่าไปแทน

กิจกรรมนี้จัดในหอประชุมที่มีเก้าอี้วางไว้บนเวที แล้วเชิญผู้ปกครองเข้าไปนั่ง และให้เด็กนักเรียนขึ้นมายืนตรงหน้าแม่ของตน แล้วครูจะประกาศเพื่อความพร้อมเพรียงให้เด็กๆ นำพวงมาลัยไปกราบแม่

“นี่ไม่ใช่แม่นะ นี่คือ ม่านะ” น้องมายด์ตะโกนเสียงดังด้วยความไร้เดียงสา แต่คนที่ทั้งโกรธทั้งอายคือม่า เพราะพอกลับถึงบ้านก็เล่าด้วยความโกรธ ส่วนฉันและคนอื่นๆ นั่งหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง

“กูสิบ่ไปอีกจักเถื่อ” อาม่าทิ้งท้ายก่อนเดินเข้าบ้าน

ต่อมาถึงช่วงย้ายโรงเรียนไปเข้าเรียนชั้น ป. ๑ ก็ต้องเจอปัญหา เพราะเกณฑ์การรับ เด็กจะต้องเกิดไม่เกิน ๑๖ พฤษภาคม แต่น้องมายด์เกิด ๑๐ ตุลาคม ทางโรงเรียนจึงขอให้น้องเรียนซ้ำชั้นอนุบาล ๓ แต่ฉันไม่ยอม ผู้อำนายการจึงยื่นข้อเสนอว่า

“งั้นขอทดสอบ ถ้าน้องผ่านเกณฑ์ถึงจะรับเข้าเรียน ป. ๑ ได้”

แล้วก็จูงมือน้องมายด์เข้าห้อง โดยไม่รู้ว่าจะทดสอบแบบไหน ผ่านไปราวๆ ๓๐-๔๐ นาที ก็เปิดประตูออกมา สีหน้าผู้อำนายการเต็มไปด้วยความพิศวง

“คุณแม่คะ น้องอ่านหนังสือไม่ออกเลยนะคะ แต่ทำไมคิดเลขในใจได้?”

ฉันสบตาคุณสามีซึ่งหัวเราะเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จะให้ตอบอย่างไรล่ะว่าอาม่าน้องมายด์น่ะมีเชื้อเจ้าเชียวนะ เพราะเรามีกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ในครอบครัวคือ “การเล่นป๊อกเด้ง” โดยอาม่าเป็นเจ้ามือ เพื่อฝึกสมองไม่ให้อาม่าเป็นอัลไซเมอร์

สรุปทางโรงเรียนรับน้องมายด์เข้าเรียน ป. ๑ แต่มีเงื่อนไขว่า ทุกช่วงพักกลางวันจะต้องมาฝึกอ่านหนังสือกับครูที่ห้องสมุดจนกว่าจะอ่านได้

………….

maedara07
แม่กับน้องมายด์ไปร่วมงานแต่งงานที่จันทบุรี

ฉันมีความสุขที่ได้เห็นทุกช่วงเวลาในการเติบโตของลูก

ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม.. เหนื่อยมาก เหนื่อยสุดๆ

แต่พอลูกสาวตัวน้อยโผมากอดคอ จุ๊บแก้ม เพื่อให้กำลังใจ แม้บางครั้งจะเปรอะน้ำลายบ้าง หรือลูกจะมีกลิ่นตัวเหม็นเปรี้ยวจนเจ๊มิ้นท์เรียก “น้องแหนม” มันก็ช่วยให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ได้กอดกันตลอด และบอกฉันว่า “รักแม่นะ” จนถึงทุกวันนี้ก็ยังบอกรักกันอยู่

เวลาผ่านไปน่าจะประมาณ ป. ๔ วันหนึ่งครูที่โรงเรียนโทรศัพท์มาถามว่า จะอนุญาตให้เรียนดนตรีไทยไหม เพราะเห็นชอบแอบวิ่งเข้ามาเล่นในห้องดนตรีไทยบ่อยๆ คงสนใจแน่ๆ ฉันก็อนุญาต โดยน้องมายด์เรียนจะเข้ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่มีคนเล่นเครื่องนี้ ทำให้น้องได้เข้าเล่นในวงดนตรีของโรงเรียน และดูมีความสุขมาก น่าจะเพราะชอบนั่นแหละ อันนี้จะรู้สึกนานกว่าอย่างอื่น เพราะพอเข้าโรงเรียนระดับมัธยมฯ ก็ยังเล่นในวงดนตรีไทยของโรงเรียน กระทั่งถามฉันว่า อยากเป็นครูสอนดนตรีไทย คุณแม่จะว่าอย่างไร

ตรงนี้แหละที่ต้องทำความเข้าใจกับลูกว่า ให้ลองไปดูที่โรงเรียนสิว่ามีครูดนตรีไทยกี่คน พบว่าโรงเรียนหนึ่งมีครูสอนดนตรีหนึ่งถึงสองคน ขณะที่หมวดวิชาอื่นๆ มีครูหลายคนมาก ฉะนั้นต้องรอนานแค่ไหนกว่าครูดนตรีจะเกษียณอายุ และทางโรงเรียนจะรับบรรจุเข้ามาใหม่ เลยแนะนำว่า พอเข้ามหาวิทยาลัยก็มีชมรมดนตรี ถ้าชอบจริงๆ ให้เปลี่ยนมาเป็นรับสอนพิเศษแทน

ใจเย็นๆ ค่อยๆ ดู ค่อยๆ เลือก ยังมีเวลา เพราะน้องมายด์เรียนเก่งอยู่แล้ว จะสายวิทย์หรือสายศิลป์ก็ได้ ถ้าหนูมีความสุข แม่ก็มีความสุขด้วย

เหมือนเจ๊มิ้นท์ที่เลือกเรียนเอกภาษาจีน จนจบได้เกียรตินิยมอันดับ ๒ และได้ทุนกำลังจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่รัสเซีย เพราะชอบเรียนภาษามาก ซึ่งถ้าจบมาแม่ก็ไม่ห่วงแล้ว

ส่วนน้องมายด์แม้จะอยู่ ม. ๕ แต่ก็ยังไม่สรุปแน่นอน ดีว่าเลือกเรียนสายวิทย์ และให้เตรียมตัวเข้าคอร์สติวเข้มไว้ก่อน ล่าสุดไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็นั่งนัวเนียฉันและบอกว่า

“คุณแม่ขา เป็นหมอดีไหมคะ?” ฉันยิ้ม หยิบรีโมตทีวีมากดหยุดซีรีส์ไว้ บอกลูกว่า

“หนูจะไม่มีเวลาใช้ตังค์นะ เพราะต้องทำแต่งาน ต้องรับผิดชอบชีวิตคน และเหนื่อยมากๆ”

“ไม่เป็นไร หนูจะหาตังค์ให้แม่ใช้”

“ไม่ต้องหรอกลูก ไม่ต้องลำบากเพื่อแม่ขนาดนั้น แม่จะมีเวลาอยู่ได้อีกแค่ไหนเชียว” หัวเราะพลางกอดให้กำลังใจ

“จริงๆ นะแม่ หนูอยากเป็นหมอ หนูอยากไปเรียน มช.” เสียงบอกย้ำจริงจัง

เอ…หรือคราวนี้เอาจริงแฮะ พอเริ่มคำนวนเวลาคร่าวๆ ว่าจะต้องใช้เวลาเกือบ ๘ ปี ตอนนี้ฉันอายุ ๕๖ บวก ๘ ปีที่แค่จบแพทย์ทั่วไป ฉันก็อายุ ๖๔ แล้ว เลยตอบลูกว่า

“ถ้างั้นแม่ก็ต้องขยันหายใจเข้าไว้แล้วล่ะลูก แม่จะขี้เกียจหายใจไม่ได้เด็ดขาด”

“ใช่” เสียงคุณสามีที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปากสนับสนุน

“คุณต้องหายใจเข้า…พุท หายใจออก…โธ ไว้นะยาย”

กิจกรรมดีๆ ของ “ค่ายนักเล่าความสุข” ปี 3 ร่วมสร้างสรรค์เรื่องเล่าความสุข และสังคมที่มีความสุข

  • มูลนิธิเล็กประไพวิริยะพันธุ์
  • นิตยสารสารคดี
  • เพจความสุขประเทศไทย
  • สสส.