กำเนิดเทวดานพเคราะห์ตามที่เล่ามาอย่างย่อๆ นั้น เป็นส่วนแยกของปกรณัมใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งปรากฏอยู่ทั้งในคัมภีร์มหาทักษาพยากรณ์ และคัมภีร์เฉลิมไตรภพ เรื่องที่พรรณนาไว้ในคัมภีร์ทั้งสองมีใจความอย่างเดียวกัน และยังคล้ายคลึงกับเรื่องกำเนิดจักรวาลตามที่เล่าในคัมภีร์โลกศาสตร์ของพุทธศาสนา เช่น ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ด้วย

ในที่นี้จะอ้างอิงตามสรุปย่อ “มหาทักษาพยากรณ์” ฉบับของหลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร ๒๔๒๗-๒๔๙๓) พิมพ์ในงานศพ ร.ต.ท. สุข สายันตะนะ เมื่อปี ๒๔๗๙ ผสมผเสกับที่เล่าไว้ใน “คัมภีร์เฉลิมไตรภพ ฉบับของเทวสถาน” โดยพระราชครูวามเทพมุนี (สมจิตต์ รังสิพราหมณกุล ๒๔๖๖-๒๕๒๑) พิมพ์เนื่องในงานศพ นางนครสวรรค์วรพินิต (จัน อนัคฆมนตรี) เมื่อปี ๒๕๑๑

พระศิวะ - มหาทักษา ๔ พระทรงสร้างโลก

ดำเนินความตามบุราณคัมภีร์ ว่าเมื่อโลกเก่าได้ถึงซึ่งความวิบัติแล้วด้วยไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญ เหลือแต่เพียงอากาศธาตุว่างเปล่าอยู่ จากนั้นบรรดาพระเวทพระธรรมศาสตร์ได้มารวมกันเข้า บังเกิดเป็นพระสยมภู คือพระศิวะ หรือพระอิศวรเป็นเจ้า พระองค์ทรงพิจารณาดูเหตุแห่งความพินาศของโลกแล้วบังเกิดความสลดสังเวช จึงได้ตกลงพระทัยที่จะสร้างสรรค์ผืนแผ่นดินอันเป็นที่อาศัยของสัตว์โลกขึ้นอีกครั้ง

เมื่อมีเทวดำริเช่นนั้นแล้ว พระอิศวรจึงทรงยกพระหัตถ์ขวาขึ้นลูบพระอุระแล้วสลัดออกไป บังเกิดเป็นองค์พระอุมาภัควดี พระองค์ทรงตั้งไว้ในที่พระมเหสี จากนั้นทรงยกพระหัตถ์เบื้องซ้ายลูบพระหัตถ์เบื้องขวา บังเกิดเป็นองค์พระนารายณ์ขึ้น แล้วจึงเปลี่ยนมายกพระหัตถ์ขวาลูบพระหัตถ์ซ้าย บังเกิดเป็นพระพรหมธาดา

พระเป็นเจ้าทรงสำรอกพระมังสะออกจากอุทร ทิ้งลงมาเป็นพื้นแผ่นดิน ครั้นแล้วทรงถอดพระจุฬามณี (ปิ่น) ออกจากพระเกศา ปักลงไปกึ่งกลางเป็นเขาพระสุเมรุ แล้วบันดาลให้เกิดธาตุทั้งปวงขึ้นในโลกนี้โดยสมบูรณ์

จากนั้นบังเกิดฝนห่าใหญ่ตกลงมา พอฝนซาขาดเม็ด มีลมพัดพาเอาไอดินหอมตลบอบอวลขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นพรหมโลกอันเหลือรอดจากไฟบรรลัยกัลป์ พรหมทั้ง ๗ เมื่อได้กลิ่นไอดิน ก็บังเกิดความอยากจะเสพย์กินซึ่งง้วนดินนั้น ต่างองค์จึงแปลงเพศเป็นหญิงงาม ๗ นางลงมาสู่พื้นแผ่นดินโลก

เมื่อเสพย์กินง้วนดินเข้าไปแล้ว ทั้ง ๗ นางต่างตั้งครรภ์ขึ้นมา และเมื่อครบกำหนดก็คลอดออกมาเป็นบุตรชาย ๑ บุตรหญิง ๖ ซึ่งกลายเป็นปฐมวงศ์ของมนุษย์ทั้งหลาย

มนุษย์ที่บังเกิดขึ้นมา ณ เบื้องปฐมกาลนั้น เนื่องจากสืบเผ่าพงศ์มาแต่พรหมโลก จึงมีรัศมีจำรัสในกาย คือมีแสงสว่างในตัวเอง แต่ครั้นบริโภคอาหารหยาบช้านานเข้า ความสว่างโพลงในร่างก็กลับดับลับเสื่อมสูญ พลันโลกตกอยู่ในความมืดมน มนุษย์ทั้งปวงพากันร้องไห้คร่ำครวญ ด้วยเกรงกลัวภยันตรายที่มองไม่เห็น

ด้วยน้ำพระทัยเมตตาแก่ปวงมนุษย์ พระเป็นเจ้าทั้งสี่องค์จึงทรงดำริให้มีผู้อภิบาลส่องโลก เมื่อนั้นพระอิศวรเป็นเจ้าทรงเสกสร้างดาวฤกษ์ ๒๗ กลุ่ม มีวิมานนพเคราะห์ ๙ วิมาน เวียนรอบจักรราศี เป็นที่กำหนดเวลา แล้วทรงบันดาลให้เกิดสัตว์เดรัจฉานนาม ๑๒ นักษัตรขึ้นเป็นนามปี ได้แก่ ปีชวด (หนู) ปีฉลู (วัว) ปีขาล (เสือ) ปีเถาะ (กระต่าย) ปีมะโรง (งูใหญ่) ปีมะเส็ง (งูเล็ก) ปีมะเมีย (ม้า) ปีมะแม (แพะ) ปีวอก (ลิง) ปีระกา (ไก่) ปีจอ (สุนัข) ปีกุน (สุกร)