เรื่อง : ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล
ภาพ : 123rf, ภาณุรุจ พงษ์วะสา จากนิตยสาร สารคดี ฉบับที่ 420 กุมภาพันธ์ 2563 สกู๊ป The Origin and the Return of PM 2.5 จุดเริ่มต้นและการกลับมาของ “ฝุ่นมรณะ”

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 หลังจากค่าฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่เกณฑ์ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทางกรุงเทพมหานครได้ยกระดับสู้ฝุ่นด้วยการประกาศมาตรการเขตมลพิษต่ำ หรือ LEZ (Low Emission Zone) ห้ามรถบรรทุกนอกทะเบียนบัญชีสีเขียว (Green List) เข้าพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก ครอบคลุม 22 เขต แบ่งเป็นตามแนวถนนผ่าน 13 เขต (31 แขวง) และพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน 9 เขต (ทุกแขวง) มีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ 23-24 มกราคม 2568
การนำมาตรการ LEZ มาใช้เพื่อลดมลพิษทางอากาศ ลดผลกระทบต่อสุขภาพ รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมในการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ ในการนี้ทางกรุงเทพมหานครออกประกาศห้ามรถรถบรรทุก 6-25 ล้อ รถโดยสารประจำทาง รถโดยสารไม่ประจำทาง ฯลฯ ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนบัญชีสีเขียว เข้าพื้นที่เขตมลพิษต่ำ ยกเว้นรถบรรทุกที่เป็น EV, NGV หรือมาตรฐาน EURO 5–6 จะยังสามารถเข้าเขตได้
ปัจจุบันมีรถที่ลงทะเบียนบัญชีสีเขียวทั้งหมด 38,408 คัน ถ้านำไปรวมกับจำนวนรถของโครงการรถคันนี้ลดฝุ่น ทั้งหมด 260,752 คัน จะเท่ากับทางกรุงเทพมหานครขอความร่วมมือให้รถจำนวน 299,160 คัน เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองได้สำเร็จ คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยฝุ่น PM2.5 ของรถได้ 50 เปอร์เซ็นต์ เทียบเท่าการลดการปล่อยปริมาณ 0.89 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งเท่ากับ 14.96 เปอร์เซ็นต์ ของภาคจราจร
การลงทะเบียนบัญชีสีเขียวเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดมลพิษทางอากาศ ส่งเสริมการใช้พลังงานที่สะอาดขึ้นในเขตเมือง สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการนำรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไป รถโดยสารประจำทาง รถโดยสารไม่ประจำทาง ฯลฯ ไปเข้ากระบวนการบำรุงรักษา อาทิ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนไส้กรองอากาศ แล้วกรอกข้อมูลพร้อมแนบหลักฐานการเข้ากระบวนการบำรุงรักษา เช่น ใบเสร็จ ผ่าน Google Form “แบบฟอร์มบัญชีสีเขียว” เข้าถึงทาง https://u.bangkok.go.th/GreenList เพื่อใช้ประกอบการยกเว้นมาตรการเขตมลพิษต่ำ
หลังจากนั้นทางกรุงเทพมหานครจะใช้กล้องวงจรปิด CCTV ตรวจจับป้ายทะเบียนรถแล้วใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) อ่านป้ายทะเบียนรถนำไปจับคู่กับทะเบียนรถในบัญชี Green List หากฝ่าฝืนนำรถที่ไม่ได้รับการยกเว้นเข้าพื้นที่ช่วงที่มีการประกาศห้าม จะส่งหลักฐานไปดำเนินคดีกับผู้ประกอบการ ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากสืบได้ว่ารถคันดังกล่าวถูกขับไปให้บริการที่โครงการก่อสร้างใด ก็จะตามไปตักเตือน และอนาคตอาจให้หยุดการก่อสร้าง


โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์มาตรการห้ามรถบรรทุกที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนบัญชีสีเขียวเข้าเขตควบคุมฝุ่นช่วงวิกฤติของทางกรุงเทพมหานคร
พรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร ชี้แจงผ่านสำนักงานประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 ว่าหลังประกาศมาตรการเขตมลพิษต่ำ ค่าฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่เขต LEZ ลดลงเมื่อเทียบกับเขตอื่น ๆ
“จากเดิมที่เขต LEZ มีค่าฝุ่นน้อยกว่าเขตที่เหลือ 7.6 เปอร์เซ็นต์ ช่วงวันประกาศนั้นเขต LEZ มีค่าฝุ่นน้อยกว่าเขตที่เหลือมากถึง 15.6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนจำนวนรถ 6 ล้อขึ้นไปที่เข้าเขต LEZ ลดลง 12 เปอร์เซ็นต์ โดยก่อนประกาศมาตรการ พบว่ามีจำนวนรถ 6 ล้อ เข้าเขต LEZ เฉลี่ยวันละ 3,386 คัน หลังประกาศพบว่ามีจำนวนรถ 6 ล้อ เข้าเขต LEZ เฉลี่ยวันละ 2,982 คัน เท่ากับว่าการออกประกาศทำให้จำนวนรถบรรทุกลดลงเฉลี่ยวันละ 404 คัน หรือ 12 เปอร์เซ็นต์” พร้อมชี้แจงว่าโดยทั่วไปแล้ว พื้นที่เขต LEZ มักจะมีค่าฝุ่นต่ำกว่าเขตรอบนอก เนื่องจากเป็นเขตชั้นใน ทำให้ได้รับผลกระทบจากการเผาชีวมวลนอกพื้นที่กรุงเทพมหานครน้อยกว่าเขตอื่น ๆ แหล่งกำเนิดสำคัญในพื้นที่แถบนี้มาจากภาคการขนส่ง
ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีที่มาจากหลายสาเหตุ อาทิ รถยนต์ รถบรรทุก โรงงานอุตสาหกรรม ครัวเรือน การเผาในที่โล่ง ฯลฯ ยกตัวอย่างปัญหาฝุ่นช่วงต้นปี 2566 ทางกรุงเทพมหานครจำแนกสาเหตุว่ามาจากรถยนต์ รถบรรทุก (โดยเฉพาะรถน้ำมันดีเซล) 51เปอร์เซ็นต์ โรงงานอุตสาหกรรม 21 เปอร์เซ็นต์ ครัวเรือน 10 เปอร์เซ็นต์ การเผาในที่โล่ง 6 เปอร์เซ็นต์ เกษตรกรรม 1 เปอร์เซ็นต์ พลังงาน 1 เปอร์เซ็นต์ การจัดการขยะ 0.5 เปอร์เซ็นต์ และอื่นๆ 9.5 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่บทความ ปัญหาฝุ่น PM2.5: แนวทางป้องกัน–ลดเผาในที่โล่ง และร่างพ.ร.บ.งบฯ 67 ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า “ฝุ่น PM2.5 ในเขตเมืองกทม. มีสาเหตุหลักมาจากภาวะอุณหภูมิผกผัน การใช้รถยนต์และปัญหาจราจร การผลิตไฟฟ้า และโรงงานอุตสาหกรรมในจังหวัดใกล้เคียง”
ปัญหาฝุ่นมีที่มาจากหลายสาเหตุ แต่ดูเหมือนที่ผ่านมาต้นตอของปัญหาจากภาคอุตสาหกรรมจะไม่ค่อยถูกให้ความสำคัญหรือพูดถึงมากนัก แตกต่างจากสาเหตุหลักอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคคมนาคม การขนส่ง รวมทั้งภาคการเกษตร ที่ถูกเน้นย้ำอยู่เสมอว่าการเผาในพื้นที่โล่งโดยรอบกรุงเทพมหานครเป็นต้นเหตุของปัญหา หลังชาวไร่ชาวนาเก็บเกี่ยวเสร็จ ก็จะทำการเผาตอซัง หรือซังข้าว
วิฑูรย์ เพิ่มพงศาเจริญ ผู้อำนวยการเครือข่ายพลังงานเพื่อนิเวศวิทยาแม่น้ำโขง (MEENet) กล่าวในงานเสวนา ปัญหาฝุ่น กทม. มีสาเหตุใหญ่กว่าคาด จัดโดยหลายองค์กรที่ติดตามปัญหา PM2.5 เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ผลสำรวจ แหล่งมลพิษที่เป็นสาเหตุหลัก เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2567 ณ SEA Junction ชั้น 4 หอ ศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ว่า “เมื่อเกิดวิกฤตฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ เรามักจะพุ่งเป้าไปที่รถยนต์เป็นหลัก แต่แหล่งกำเนิดของฝุ่นพิษ PM2.5 ไม่ใช่แค่นั้น พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีแหล่งกำเนิดฝุ่นและคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดใหญ่ คือโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล โรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังผลิตสูงมาก ซึ่งปล่อยฝุ่นมากกว่ารถยนต์หลายเท่า การต่อกรกับวิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 ได้จริงจะต้องจัดการกับผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ดังกล่าว”
วิฑูรย์ยกตัวอย่างแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศขนาดใหญ่ คือ โรงกลั่นน้ำมันบางจาก ซึ่งเป็นโรงกลั่นแบบ Complex Refinery กําลังการผลิตสูงสุด 120,000 บาร์เรลต่อวัน คาดว่าปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีละประมาณ 960,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ปัจจุบันมีกำลังผลิตรวมประมาณ 1,930 เมกะวัตต์ และมีแผนจะขยายเพิ่มรวมทั้งสิ้นเป็น 4,519.4 เมกะวัตต์ในปี 2569-2570 เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วคาดว่าจะปล่อยฝุ่นละอองสู่บรรยากาศวันละกว่า 4.6 ตัน และปล่อยออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) มากกว่า 6.4 ตันต่อวัน
การปล่อยไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) และออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ในบรรยากาศนำไปสู่การก่อตัวของ PM2.5 และโอโซน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนทั่วโลก โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจและความเสียหายต่อปอดหากรับเข้าไปแบบเฉียบพลัน และเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคเรื้อรังหากรับเข้าไปในระยะยาว ซึ่งสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่เกิดขึ้นทั่วโลก ในสหภาพยุโรป การรับเอา NO2 เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรประมาณ 75,000 คนต่อปี ในประเทศจีน มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า ผลจากการสัมผัส NO2 นำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของการเสียชีวิตจากโรคทางเดินหายใจและโรคหัวใจ

ภาคอุตสาหกรรมคือผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ แต่ภาครัฐกลับเลือกที่จะมีมาตรการกำกับและตรวจสอบน้อยที่สุด…จริงหรือไม่ ?
ธารา บัวคำศรี กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวในงานเสวนาเดียวกันว่า “ไนโตรเจนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากแหล่งกำเนิดอย่างโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลมีศักยภาพสูงในการก่อตัวของมลพิษขั้นทุติยภูมิ หรือ secondary pollutants รวมถึงฝุ่นพิษ PM2.5 ในบรรยากาศของกรุงเทพฯ และปริมณฑล การติดตามตรวจสอบและลดการปล่อยไนโตรเจนไดออกไซด์จึงมีความสำคัญ นอกเหนือจากการที่สาธารณชนต้องเข้าถึงรายงานการวัดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ที่ปลายปล่องแล้ว มีความจำเป็นเร่งด่วนในการทำให้มาตรฐานการปล่อยไนโตรเจนไดออกไซด์เข้มงวดมากขึ้น”
สอดคล้องกับศึกษาของเครือข่ายพลังงานเพื่อนิเวศวิทยาแม่น้ำโขงที่ระบุว่า “ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลมีแหล่งกำเนิดฝุ่นและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดใหญ่ คือ โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล โรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังผลิตสูงมาก ซึ่งปล่อยฝุ่นมากกว่ารถยนต์หลายเท่า”
…


นอกจากกรุงเทพมหานครแล้วจังหวัดสมุทรสาครซึ่งจัดเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยที่เผชิญปัญหาฝุ่นรุนแรงที่สุด มักถูกเชื่อมโยงแหล่งกำเนิดของฝุ่นพิษว่ามาจากภาคคมนาคมขนส่ง ทั้งที่จริงแล้ว แหล่งกำเนิดใหญ่ที่สุดของฝุ่น PM2.5 และ PM10 ในจังหวัดนี้คือโรงงานอุตสาหกรรม
อ้างอิงฐานข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อปี 2560 พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 125,363 แห่ง ในจำนวนนี้มีมากกว่าครึ่งหนึ่งหรือ 63,350 แห่งที่อยู่ในข่ายเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศอย่างมีนัยสำคัญ
ผลการศึกษาภายใต้โครงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเพื่อสุขภาวะองค์รวม หรือ โครงการสมุทรสาครสีเขียว ของมูลนิธิบูรณะนิเวศเมื่อปี 2564 พบว่า ภาคอุตสาหกรรมปล่อยฝุ่นพิษ PM2.5 ปริมาณ 44,476.46 ตันต่อปี และ PM10 ปริมาณ 70,987.91 ตันต่อปี ขณะที่ภาคขนส่งปล่อยฝุ่นพิษ PM2.5 และ PM10 ในปริมาณ 197.67 ตันต่อปี และ 203.08 ตันต่อปี ตามลำดับแหล่งกำเนิดภาคอุตสาหกรรมก่อให้เกิดฝุ่นขนาดเล็กมากกว่าภาคคมนาคมขนส่งสูงกว่า 220-350 เท่า
สมุทรสาครเป็นหนึ่งในปริมณฑลสำคัญของกรุงเทพมหานคร จากการศึกษาของมูลนิธิบูรณะนิเวศเมื่อปี 2564 พบว่า ภาคอุตสาหกรรมเป็นแหล่งกำเนิดหลักของฝุ่นพิษ PM2.5 เมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งกำเนิดจากภาคการจราจรและขนส่ง การเผาขยะมูลฝอย และการเผาในที่โล่ง โดยพื้นที่วิกฤตที่มีการปลดปล่อยสูงสุดคือ อำเภอเมือง ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมหนาแน่น
หลายปีที่ผ่านมามาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ของรัฐบาลยังคงเน้นการแก้ไขปัญหาที่ปลายทาง มากกว่าต้นเหตุ ทั้งยังมุ่งเน้นสาเหตุการเกิดฝุ่นจากการเผาในที่แจ้งของเกษตรกร ไฟป่า และด้านการคมนาคม แต่กลับละเลย “ภาคอุตสาหกรรม” ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดฝุ่นพิษ
มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ โรงงานอุตสาหกรรม โรงกลั่นน้ำมัน โรงไฟฟ้า ไม่ค่อยได้รับการพูดถึง กลายเป็นต้นตอของปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่ถูกลืมในเมืองใหญ่

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม มูลนิธิบูรณะนิเวศ และ กรีนพีซ ประเทศไทย ได้ยื่นรายชื่อประชาชน 12,165 รายชื่อ เพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ หรือ ร่าง พ.ร.บ. PRTR (Pollutant Release and Transfer Register) ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะทำให้เกิดฐานข้อมูลระดับประเทศ ที่รวมข้อมูลการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอากาศ แหล่งน้ำ และพื้นดิน จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า เหมืองแร่ รวมถึงรถยนต์ประเภทต่าง ๆ การใช้สารเคมีในภาคการเกษตร ที่จะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูล (Open Data) เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ และให้ภาครัฐมีข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนครอบคลุมสำหรับการแก้ไขปัญหามลพิษในทุกด้าน
ปัจจุบันร่างกฎหมายดังกล่าวยังคงค้างอยู่ในชั้นการบรรจุวาระเพื่อเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระที่หนึ่ง (ขั้นรับหลักการ) มาตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 จนถึงปัจจุบันเท่ากับว่าได้ผ่านเวลามาแล้วกว่าครึ่งปีที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวและไม่มีท่าทีว่าจะถูกหยิบยกมาพิจารณาในเร็ววัน
อ้างอิง / เอกสารประกอบการเขียน
- ฝุ่นพิษ PM 2.5 ในกรุงเทพฯ มาจากไหน เปิดแนวทางแก้ไข ของ กทม. https://www.thairath.co.th/scoop/infographic/2619583
- ต้นตอฝุ่นพิษในกรุงที่ถูกลืม : โรงกลั่น-โรงไฟฟ้าก๊าซ-โรงงาน https://policywatch.thaipbs.or.th/article/environment-13
- โครงการโรงไฟฟ้าพระนครใต้ เอกสารประกอบการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนครั้งที่ 3 https://www.egat.co.th/uploads/ehia/2564/egat-hearing64-sbp-k3c-docs.pdf
- Premature deaths attributable to PM2.5, NO2 and O3 exposure in 41 European countries and the EU-28, 2014
https://www.eea.europa.eu/highlights/improving-air-quality-in-european/premature-deaths-2014 - Acute Effects of Nitrogen Dioxide on Cardiovascular Mortality in Beijing: An Exploration of Spatial Heterogeneity and the District-specific Predictors
https://www.nature.com/articles/srep38328