เรื่อง : ณิชา เวชพานิช
ภาพ : ลูค ดุกเกิลบี

ทันทีที่หักเลี้ยวรถเข้าตัวเมืองระนอง แลนด์มาร์กประจำเมืองก็ปรากฏสู่สายตา อาคารโรงแรมร้างปกคลุมด้วยเถาวัลย์ตั้งตระหง่านทักทายผู้มาเยือน ทำให้อนุสาวรีย์เจ้าเมืองเชื้อสายจีนที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม แลดูเล็กจิ๋วไปถนัดตา
คนระนองเล่าว่า เจ้าของโรงแรมล้มละลายจากธุรกิจคาสิโนบนเกาะบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาเมื่อสิบสามปีก่อน เลยปล่อยตึกนี้ร้างสร้างไม่เสร็จ ดั่งอนุสรณ์สถานแห่งความล้มเหลวในการพัฒนา แต่เรื่องน่าเศร้านี้ยังเป็นแค่หนึ่งบทในหน้าประวัติศาสตร์การดิ้นรนหาอัตลักษณ์ทางเศรษฐกิจของจังหวัดระนอง
เมืองฝนแปดแดดสี่เล็ก ๆ แห่งนี้เคยรุ่งเรืองจากการทำเหมืองแร่ดีบุก แต่ช่วงปี พ.ศ. 2528 ทั่วโลกเปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่นทำให้ความต้องการดีบุกลดลง เมื่อเหมืองทยอยปิดตัว ระนองจึงพยายามขายจุดเด่น นำเสนอผืนป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์จนได้รับการเสนอชื่อขึ้นเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ แต่ถึงอย่างนั้น การท่องเที่ยวของระนองก็ยังสู้เพื่อนบ้านอย่างภูเก็ตหรือพังงาไม่ได้ แถมธุรกิจประมงก็ยังซบเซาไปอีกหลังปี 2558 เมื่อรัฐบาลไทยปรับกฎหมายประมงเข้มงวดมากยิ่งขึ้น เพื่อรับมือการคว่ำบาตรจากสหภาพยุโรป จนกระทบต้นทุนการออกเรือ
ทว่าอนาคตของระนองอาจจะเปลี่ยนไปในไม่ช้า เมื่อจังหวัดอันเงียบสงบแห่งนี้ถูกวางให้เป็นประตูเชื่อมต่อโลกตะวันตกกับโลกตะวันออก เป็น “ทางลัด” ช่วยย่นระยะทางขนส่งสินค้าทางเรือที่ปัจจุบันต้องผ่านช่องแคบมะละกา บริเวณประเทศสิงคโปร์ โครงการแลนด์บริดจ์จะสร้างท่าเรือน้ำลึกในทะเลอันดามัน (จังหวัดระนอง) และอ่าวไทย (จังหวัดชุมพร) แล้วเชื่อมต่อระหว่างสองฟากฝั่งด้วยถนนมอเตอร์เวย์ 6 ช่องจราจรกับทางรถไฟระยะทาง 87 กิโลเมตร
ทุกการพัฒนามีต้นทุน งบประมาณก่อสร้างหนึ่งล้านล้านบาททำให้เกิดคำถามขึ้นในใจชาวระนองกับใครอีกหลาย ๆ คน เมื่อการค้าขายเข้ามา พวกเขาจะต้องแลกกับอะไร ?

ปลุกผี “ร่างอวตาร” คลองสุเอซ
แนวคิดเรื่องทำทางลัด-ตัดย่นเวลาขนส่งผ่านช่องแคบมะละกาไม่ใช่เรื่องใหม่ในไทย เพราะเป็นที่พูดถึงมาตั้งแต่ช่วง พ.ศ.2220 สมัยสมเด็จพระนารายณ์ หลังจากนั้น เริ่มมีการศึกษาอย่างจริงจัง โดยอ้างอิงโมเดลคลองสุเอซที่อียิปต์ แต่การขุดคลองลัดนั้นต้นทุนสูงและทำให้หลายคนกลัวว่าจะเสี่ยงแบ่งประเทศไทยเป็นสองส่วน แผนการนี้ถูกปลุกผีและฝังลงหลุมหลายต่อหลายครั้ง บางทีมาในชื่อ “คลองไทย” บางครั้ง “คลองคอคอดกระ” จนวันนี้ สามร้อยปีให้หลัง เกิดเป็นโครงการ “แลนด์บริดจ์” ที่จะเชื่อมต่อทะเลอันดามันกับอ่าวไทยด้วยขนส่งทางบก
หลังจากส่งสัญญาณมาหลายครั้ง คราวนี้แลนด์บริดจ์เหมือนจะเกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อปี พ.ศ.2561 รัฐบาลไทยกำหนดให้โครงการแลนด์บริดจ์เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในเขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) ที่จะช่วยตอบสนองยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้พัฒนาจากประเทศรายได้ปานกลาง สู่ประเทศรายได้สูงภายในปี พ.ศ.2573 ท่าเรือน้ำลึกจะมีศักยภาพรองรับตู้สินค้าเทียบเท่าท่าเรือฮ่องกง ช่วยย่นระยะเวลาขนส่งทางเรือระหว่างกลุ่มประเทศเอเชียใต้ไปโซนประเทศจีนลง 4 วัน
รัฐบาลไทยตั้งเป้าให้ SEC เป็นศูนย์กลางผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูง เช่น ปาล์มน้ำมัน การประมง และอาหารฮาลาล ช่วยเพิ่ม GDP ประเทศขึ้น 1.5% และเกิดการจ้างงานมากกว่าหนึ่งหมื่นตำแหน่งในระนองกับชุมพร ทว่าความคุ้มค่ากลายเป็นคำถามใหญ่ในใจคนระนอง เมื่อเมืองเล็กอันเหงาหงอยกำลังจะเผชิญความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่

วิถีชีวิตประมงถูกคุกคาม
ทม สินสุวรรณ หญิงประมงพื้นบ้านมุสลิม ตำบลราชกรูด อำเภอเมือง จังหวัดระนอง คือคนหนึ่งที่ค้านโครงการแลนด์บริดจ์ ตอนต้นปี 2567 หญิงร่างเล็กวัยหกสิบเข้ายื่นหนังสือคัดค้านถึงมือ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ระหว่างลงพื้นที่คณะรัฐมนตรีสัญจร
เธอหวาดหวั่นว่า โครงการจะสร้างผลกระทบต่ออ่าวอ่าง… ระบบนิเวศสำคัญที่ชุมชนประมงพื้นบ้านออกวางอวนจับปูม้าและตกปลาทราย ผืนน้ำนิ่งสงบปราศจากคลื่นแรงใสเหมือนแก้วคริสตัล พื้นที่อ่าว 6,975 ไร่จะถูกถมเป็นท่าเรือน้ำลึก
“คนไทยพลัดถิ่นส่วนใหญ่ออกทะเลกัน คนมีบัตรเขายังไปรับจ้างได้ จ้างแพง ๆ จ้างถูก ๆ ก็ทำได้ แล้วคนที่ไม่มีบัตรเลย เขาจะทำมาหาอะไรกิน” ทมว่า “ออกเลไม่ได้ ก็เหมือนตัดมือตัดตีนเราทั้งเป็น”
คนไทยพลัดถิ่นที่เธอกล่าวถึง หมายถึงคนไร้สัญชาติไทย จังหวัดระนองมีคนไทยพลัดถิ่นไม่ต่ำกว่า 5,000 คน เป็นผลพวงจากความซับซ้อนของประวัติศาสตร์บริเวณตะเข็บชายแดน เนื่องจากก่อนยุคอาณานิคม บริเวณเมืองทวาย มะริด และตะนาวศรี เคยอยู่ในเขตปกครองไทยมาก่อนที่จะถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของเมียนมาในวันนี้ นั่นทำให้หลายครอบครัวเดินทางไปมาข้ามประเทศเป็นเรื่องปกติ ประกอบกับภาวะสงครามฝั่งเมียนมา ทำให้ตกหล่นจากการขึ้นทะเบียนราษฎร
ทมเองก็เคยเป็นคนไร้สัญชาติ แม้วันนี้ เธอจะได้บัตรประชาชนแล้ว แต่หลายคนในชุมชนยังไม่มี เธอจึงเข้าใจดีว่าการเดินทางออกนอกจังหวัดและหางานที่มีการจ้างงานทางกฎหมายลำบากแค่ไหน อาจเรียกได้ว่ากลุ่มคนไทยพลัดถิ่นเป็นกลุ่มที่จะเดือดร้อนมากที่สุด หากมีโครงการแลนด์บริดจ์
ถึงแม้ผู้พัฒนาโครงการจะยืนยันกับชาวประมงพื้นบ้านระหว่างการรับฟังความคิดเห็นตอนปี 2567 ว่า พวกเขาจะยังออกเรือหาปลาในอ่าวได้ แต่คำอธิบายนั่นยังไม่ทำให้พวกเขามั่นใจ
กลุ่มประมงพาณิชย์ จังหวัดระนอง ก็กังวลเช่นกัน หลายคนมองว่าการสร้างท่าเรือน้ำลึกจะกระทบเส้นทางเดินเรือจากระนองไปพังงาที่พวกเขาเดินเรือ
“เส้นทางเดินเรือสินค้าอาจทับเส้นทางคมนาคมของเรือประมงสัตว์น้ำ ทำให้การจราจรแน่น เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ” สมทรัพย์ จิตตะธม ประธานสมาคมประมงระนอง กล่าว “แถมการสร้างท่าเรือจะทำให้ตะกอนในน้ำขุ่น กระทบกับระบบนิเวศ”
ชาวประมงทุกคนที่ให้สัมภาษณ์ต่างกังวลว่า โครงการพัฒนาขนาดใหญ่นี้จะกระทบระบบนิเวศทะเลอันเปราะบางจนไม่อาจหวนคืน ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับชาวประมงอายุมากแล้วอย่างทม การจะหันไปทำอาชีพอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย
“เราก็อยากให้ประเทศชาติพัฒนา แต่อยากให้พัฒนาเป็นอย่างอื่นได้ไหม” ทมถามขึ้นลอย ๆ แต่หนักแน่น เช่นเดียวกับทุก ๆ ครั้งที่ยืนกรานต่อผู้กำหนดนโยบาย
แต่สำหรับผู้ประกอบการบางราย แลนด์บริดจ์เป็นเสมือนขอนไม้ที่เศรษฐกิจระนองซึ่งกำลังจมดิ่งควรคว้าไว้ พรศักดิ์ แก้วถาวร ผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างและประธานสภาหอการค้าระนองเชื่อว่า คนระนองส่วนใหญ่สนับสนุนโครงการแลนด์บริดจ์ การมีโครงสร้างคมนาคมพื้นฐานและอุตสาหกรรมจะช่วยเปิดโอกาสหางานให้คนรุ่นใหม่ไม่ต้องออกไปทำงานต่างจังหวัด
“จุดแข็งระนองเป็นเมืองท่า เราจะพัฒนาการค้าชายแดนทุกวันนี้ที่ทำกับแค่ฝั่งพม่า ไปสู่การค้าระหว่างประเทศกับทวีปอื่นได้อย่างไร” พรศักดิ์ชี้ “เรามีต้นทุนทรัพยากรธรรมชาติ มีวัตถุดิบ แต่ยังไม่มีฐานการผลิต ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ระนองก็จบเงียบไปเรื่อย ๆ”


สวนทุเรียนเสี่ยงถูกถอนราก
จากชายฝั่งทะเลอันดามัน จังหวัดระนอง เราขับรถบนถนนคดเคี้ยวที่ตัดผ่าน อำเภอพะโต๊ะ ไปฝั่งอ่าวไทยที่จังหวัดชุมพร สองข้างทางเป็นพื้นที่ป่าและสวน ใต้กิ่งก้านเขียวชอุ่มมี “ทองก้อน” ซุกซ่อนอยู่ คนพะโต๊ะส่วนใหญ่มีรายได้จากสวนทุเรียน ต้นทุเรียนอายุ 20 ปีหนึ่งต้น สามารถให้ผลผลิตมูลค่าสูงถึง 50,000 บาทต่อปี
“คนที่นี่แค่ทำสวนก็พอเลี้ยงตัวเองก็ครอบครัวแล้ว” สมโชค จุงจาตุรันต์ ว่า มอเตอร์เวย์ขนาดหกเลนที่จะสร้างขึ้นเป็นตัวเชื่อมท่าเรือน้ำลึกสองฝั่ง จะตัดทับสวนทุเรียนพี่ชายเขา
ผู้พัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์สัญญาว่า ชาวสวนทุเรียนจะได้รับเวนคืนค่าที่ดินและต้นทุเรียน แต่สมโชคกับคนในชุมชนมองว่า จำนวนเงินดังกล่าวไม่คุ้มแลกกับสวนทุเรียนที่เป็นเสมือนแหล่งทองคำก้อนระยะยาว
“เราไม่อยากให้ทำนิคมอุตสาหกรรมที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดให้นายทุนต่างชาติมาตักตวงทรัพยากรธรรมชาติของบ้านเรา” ชายหนุ่มวัย 43 กล่าวอย่างหนักแน่น



เงาหลอนการลงทุนต่างชาติ
สำหรับสมโชค เงาหลอนของ “ลัทธิล่าอาณานิคมใหม่” ปรากฏชัดแล้วที่บ้านเกิดเขา ซึ่งเป็นแหล่งรวมทุเรียนจากหลายพื้นที่ภาคใต้ ช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน บรรยากาศโกดังสองข้างทางหลวงที่ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร คึกคักไปด้วยชาวสวนที่นำทุเรียนมาขายให้ล้ง ปัจจุบัน เจ้าของโกดังจำนวนมากเป็นคนจีน รับซื้อทุเรียนจากสวน แล้วคัดแยกเกรดส่งไปจีน
เขามองว่า การรุกคืบของทุนต่างชาติยิ่งชัดเจนมากขึ้นผ่านโครงการแลนด์บริดจ์ ที่พ่วงแถมด้วยระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ เขตเศรษฐกิจพิเศษมีกฎหมายพิเศษเฉพาะตัวเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ เอื้อให้นักลงทุนต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ 99 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ชวนให้นักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น เยอรมนี ดูไบ และอีกหลายประเทศมาร่วมลงทุนในโครงการหนึ่งล้านล้านบาทนี้
สมโชคร่วมกับชาวประมงระนองค้านโครงการ เครือข่ายชาวบ้านยื่นหนังสือให้บรรดาสถานทูตประเทศต่างๆ รับทราบถึงผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้น แต่การต่อสู้ก็ไม่ง่าย เมื่อต้องเผชิญกับโครงการยักษ์ใหญ่ที่พวกเขามองว่าไม่เปิดเผยข้อมูลชัดเจน
“แลนด์บริดจ์มันไม่ใช่แค่เรื่องท่าเรือน้ำลึกหรือมอเตอร์เวย์เท่านั้น แต่มันคือการขยายเขตนิคมอุตสาหกรรมหลายพันไร่” บัณฑิตา อย่างดี ชี้ เธอเป็นหัวหน้าศูนย์สร้างจิตสำนึกนิเวศวิทยา (สจน.) องค์กรเอ็นจีโอภาคใต้ที่จับตาโครงการดังกล่าว “พอรัฐให้ข้อมูลแบบแยกส่วนเป็นรายโครงการ ชุมชนเขาอาจจะเห็นภาพเล็ก ๆ ไม่สามารถเชื่อมโยงได้ แท้จริงแล้วแลนด์บริดจ์มันใหญ่ ใหญ่มาก”
HaRDstories ติดต่อสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) หน่วยงานภายใต้กระทรวงคมนาคม ซึ่งดูแลโครงการดังกล่าวเพื่อขอความคิดเห็นตอนเดือนพฤศจิกายน 2567 แต่ได้รับการปฏิเสธ เจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่า โครงการเป็นนโยบาย “ระดับรัฐมนตรี” แล้ว จึงไม่อาจให้สัมภาษณ์ได้
นอกเหนือจากโครงสร้างคมนาคมพื้นฐานที่ระนองและชุมพรแล้ว พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ SEC จะพัฒนาขึ้นในอีกสองจังหวัดฝั่งอ่าวไทย ได้แก่ สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช ร่างกฎหมายที่รองรับเขตดังกล่าวยังเขียนเปิดไว้ว่า สามารถขยายพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษให้รวมถึง “พื้นที่อื่นใดที่อยู่ในภาคใต้ที่กำหนดเพิ่มเติม” สร้างความกังวลว่าอุตสาหกรรมหนักจะคืบขยายในภาคใต้


ปิโตรเลียมกับทางแพร่งของการพัฒนา
บัณฑิตาและทีมงานศูนย์สร้างจิตสำนึกนิเวศวิทยากำลังทำงานกับชุมชนในระนองและชุมพร พวกเขาพยายามทำความเข้าใจขนาดอันมหึมาและผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากโครงการแลนด์บริดจ์ ค่อย ๆ ต่อชิ้นส่วนข้อมูลอันกระจัดกระจายราวกับการต่อจิ๊กซอว์
จากประสบการณ์พวกเขา การประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพหรือ “EHIA” (Environmental Health impact Assessment) จะต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ กระบวนการ EHIA มักจะทำเป็นลักษณะรายโครงการ เช่น ทำกับโครงการท่าเรือน้ำลึกหนึ่งโครงการ และทำกับมอเตอร์เวย์และอ่างเก็บน้ำแยกอีกโครงการ
การประเมิน EHIA ท่าเรือน้ำลึกทั้งสองฝั่งสรุปว่า ชุมชนในระยะ 5 กิโลเมตรจากท่าเรือสนับสนุนโครงการดังกล่าว แต่บัณฑิตาเชื่อว่า การประเมินแบบนี้จะประเมินผลกระทบที่แท้จริงจากโครงการพัฒนาต่ำเกินไป
สิ่งที่กวนใจชุมชนมากที่สุดคือ การที่รัฐบาลสื่อสารไม่ชัดเจนต่อสาธารณะว่าโครงการจะมีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีหรือไม่ เอกสารทางการชี้จุดขายแลนด์บริดจ์ว่าจะเป็นฐานขนส่งสินค้าทางเรือและอุตสาหกรรมชีวภาพ แต่ไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนถึงบทบาทแลนด์บริดจ์ในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม
จากเอกสารของทางการชุดหนึ่ง โครงการแลนด์บริดจ์จะวางแนวท่อส่งน้ำมันดิบ คู่กับมอเตอร์เวย์ที่ตัดผ่าน อ.พะโต๊ะ ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันและก๊าซ โดยนำเข้าทางเรือจากตะวันออกกลาง ก่อนส่งผ่านไปผู้ซื้อหลักที่จีนและญี่ปุ่น
ในรายงานคณะกรรมาธิการศึกษาแลนด์บริดจ์ รัฐสภา ผู้แทนหน่วยงานจากจังหวัดชุมพรเคยให้ความเห็นว่า ท่อส่งน้ำมันอาจสร้างรายได้ให้ไทยอย่างต่ำ 18 ล้านบาทต่อวัน และยัง “ลดต้นทุนและลดมลภาวะสิ่งแวดล้อมได้ดี เพราะสายการเดินเรือมีปัญหาด้านคาร์บอนเครดิต”
เมื่อทั่วโลกมีกระแสกดดันให้ร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ธุรกิจต่างๆ พากันหาทางชดเชยการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในกิจการของตน ประเทศไทยเองก็คว้าโอกาสจากเทรนด์นี้ โดยเสนอให้นักลงทุนชดเชยผ่านการซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์ป่าชายเลนบริเวณภาคใต้ ซึ่งรวมถึงพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากแลนด์บริดจ์เช่นกัน แต่นักอนุรักษ์อย่างบัณฑิตามองว่า โครงการแนวนี้เสี่ยงตกเป็นเครื่องมือ “ฟอกเขียว”
ขณะที่ชุมชนกังวลเรื่องมลพิษจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ด้านผู้พัฒนาโครงการรับรองว่า จะไม่มีการสร้างโรงกลั่นน้ำมันในพื้นที่แลนด์บริดจ์ เหมือนที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
สำหรับบัณฑิตาและนักอนุรักษ์คนอื่น ๆ โครงการแลนด์บริดจ์เปรียบเหมือนทางแพร่งของการพัฒนาไทย ในทิศหนึ่ง อุตสาหกรรมหนักจากอดีตยังตามติดมาเป็นเหมือนเงาหลอน และอีกทิศหนึ่งคืออุตสาหกรรมแบบใหม่ที่ยั่งยืนมากกว่า อย่างพลังงานหมุนเวียนและการเกษตรมูลค่าสูง เธอมองว่า การพัฒนาแบบหลังนี้สามารถต่อยอดจากวิถีชีวิตท้องถิ่นของคนในพื้นที่ เช่น การทำประมงของทมหรือสวนทุเรียนของสมโชค
การทำ EHIA โครงการท่าเรือน้ำลึกและมอเตอร์เวย์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของแลนด์บริดจ์ เสร็จล่าช้าจากกำหนดเดิมและเลื่อนไปเป็นสิ้นปี 2568 ไล่เลี่ยกับไทม์ไลน์การผ่านร่าง พ.ร.บ.SEC รัฐบาลไทยหวังว่าจะเริ่มสร้างโครงสร้างคมนาคมพื้นฐานสองโครงการนี้ในปีต่อมา และตั้งเป้าก่อสร้างเสร็จภายในปี 2573
“ประเทศเรามีทางเลือกพัฒนาได้หลายทาง” บัณฑิตาว่า “แต่รัฐบาลก็จะเลือกเก็บเอาอุตสาหกรรมหนักแบบเดิมไว้ให้ไทยในอีกหลายสิบปีข้างหน้าด้วย มันเหมือนกับว่า กลุ่มทุนเดิมที่ทำลายสิ่งแวดล้อมจะยังคงมีบทบาทกับรัฐบาลนี้”
- ผลงานข่าวชิ้นนี้ผลิตโดย ฮาร์ดสตอรี่ (HaRDstories) ได้รับการสนับสนุนจาก Pulitzer Center
- เผยแพร่ครั้งแรกเป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทยบนเว็บไซต์ HaRDstories และร่วมตีพิมพ์เป็นภาษาพม่าทาง Dawei Watch