มหาทักษา 38 - พระพุทธรูปประจำวัน (5)

ถัดจากคติเรื่อง “พระพุทธรูปพระชนมพรรษาปี” ที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อถึงยุครัชกาลที่ ๔ ทรงมีพระราชนิยมให้สร้าง “พระพุทธรูปพระชนมพรรษาวัน” ขึ้นอีก และนี่เองอาจเป็นต้นเค้าที่มาของคติเรื่อง “พระประจำวันเกิด” ในยุคหลังสืบมา

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล่าไว้เรื่อง “พระพุทธรูปพระชนมพรรษาวัน” (หรือที่ภายหลังเรียกกันว่า “พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร”) ในพระราชนิพนธ์อีกเล่มหนึ่งคือ “พระราชกรัณยานุสรณ์” อันเปรียบเสมือนต้นร่างของ “พระราชพิธี ๑๒ เดือน”

รัชกาลที่ ๕ ทรงเล่าย้อนไปว่า “ก็แลพระพุทธรูปพระชนมพรรษาวันที่ออกชื่อนี้ เปนธรรมเนียมมีขึ้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปลาย ๆ ลงมาแล้ว” โดยรัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบรมราชบุพการี ได้แก่พระพุทธรูปทองคำ ปางยืนอุ้มบาตร สององค์ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ซึ่งเป็นพระบรมอัยกา (ปู่) และพระบรมชนกนาถ (บิดา) ด้วยเหตุว่าทั้งสองพระองค์ทรงประสูติในวันพุธเหมือนกัน จึงสร้างเป็นพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร

นอกจากนั้นแล้วยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปทองคำ ปางถวายเนตร สององค์ อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่ “กรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์” (สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๑) และ “กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์” (สมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี ในรัชกาลที่ ๒) พระบรมอัยยิกา (ย่า) และพระบรมราชชนนี (แม่) ซึ่งล้วนทรงมีพระราชสมภพในวันอาทิตย์ จึงให้สร้างเป็นพระพุทธรูปปางถวายเนตร อัน “มีอาการเสด็จยืนเสวยวิมุติศุข”

ครั้นถึงในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธรูปทองคำ ปางห้ามสมุทร “มีอาการเสด็จยืนยกพระหัดถ์ทั้งสอง” อุทิศถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ผู้ทรงพระราชสมภพในวันจันทร์ และให้หล่อพระพุทธรูปทองคำ ปางสมาธิ อุทิศถวายแด่ “กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์” (สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๔) พระบรมราชชนนีในรัชกาลที่ ๕ โดยทรงอธิบายว่า “พระพุทธรูปทั้งนี้ทรงสร้างไว้สำหรับตั้งในเวลาทำบุญพระบรมอัฐิพระองค์ใด ก็ได้เชิญพระพุทธรูปพระองค์นั้นไปตั้งด้วย”

ดังนั้น จากคติเรื่องพระพุทธรูปประจำวันเนื่องในพิธีรับเทวดาเสวยอายุ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๓ ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ ได้ขยายตัวไปสู่การสร้างพระพุทธรูปประจำวันประสูติของพระบรมราชบุพการี เพื่อประดิษฐานในการบำเพ็ญพระราชกุศลวันคล้ายวันประสูติและวันสวรรคต ดังตัวอย่างข่าวการทำบุญวันประสูติกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ จากจดหมายเหตุ “Court ข่าวราชการ” ยุคต้นรัชกาลที่ ๕ เมื่อปี ๒๔๑๘ ว่า

“วันอาทิตย์ เดือน ๑๐ แรม ๑๒ ค่ำ ปีกุนสัปตศก ๑๒๓๗ เจ้าพนักงานได้เชิญพระพุทธรูปประจำวันแลพระอัฐิกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ไปประดิษฐานที่พระพุทธมณเฑียรมุขด้านเหนือ ครั้นเวลาเช้า ๔ โมงเศษ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าจิตรเจริญไปทรงประเคนปฏิบัติพระสงฆ์”

ยิ่งไปกว่านั้น ในรัชกาลที่ ๕ คตินี้ยังขยายไปสู่การสร้างพระพุทธรูปพระชนมพรรษาวันสำหรับพระบุรพกษัตริย์ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ที่ยังมีพระชนมชีพอยู่ เพื่อใช้ในการบำเพ็ญพระราชกุศลดุจเดียวกันด้วย เช่นที่กล่าวถึงใน “จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน รัชกาลที่ ๕” วันจันทร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็งตรีศก จ.ศ. ๑๒๔๓/พ.ศ. ๒๔๒๔ ว่าด้วยการหล่อพระพุทธรูปและเทวรูป

“เช้ารุ่งแล้ว ๔๒ นาที เสด็จออกเททองที่โรงทอง หล่อพระพุทธรูปป่าเลลัย และรูปพระราหูขี่ครุฑสำหรับเทวดาแทรกเสวยพระชนม์พรรษาตามมหาทักษา…พระอุ้มบาตรองค์หนึ่ง เป็นพระชนม์พรรษาประจำวันในสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระรำพึงองค์หนึ่ง เป็นพระชนม์พรรษาประจำวันในพระนางเธอพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี”

เข้าใจว่าคติเรื่องพระพุทธรูปพระชนมพรรษาวัน หรือ “พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร” นี้เอง ในเวลาต่อมาจึงได้รับการถ่ายทอดส่งต่อจากในวงราชสำนักลงมาสู่อาณาประชาราษฎรทั่วไป กระทั่งกลายเป็นคติเรื่องพระประจำวันดังที่รับรู้นับถือกันในทุกวันนี้