
เท่าที่พอสืบค้นได้จากหลักฐานรุ่นรัชกาลที่ ๕ พบว่าราชสำนักให้ความสำคัญแก่คติมหาทักษาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ เช่นในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา นอกจากการหล่อพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาแล้ว หากเมื่อใดถึงกำหนดตามเกณฑ์มหาทักษา ว่าจะเปลี่ยนเทวดาที่มารักษาพระชนมพรรษา (“เสวยอายุ”) หรือแทรกรักษาพระชนมพรรษา (“แทรก”) ย่อมต้องมีการหล่อรูปเทวดาองค์นั้นๆ พร้อมกับหล่อพระพุทธรูปอันมีปางเฉพาะประจำองค์เทวดาด้วย เพื่อใช้ในพิธีด้วยเสมอ
“จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน” รัชกาลที่ ๕ บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้บ่อยครั้ง
“เช้ารุ่งแล้ว ๔๒ นาที เสด็จออกเททองที่โรงทองหล่อพระพุทธรูปป่าเลลัย และรูปพระราหูขี่ครุฑสำหรับเทวดาแทรกเสวยพระชนม์พรรษาตามมหาทักษา พระพุทธรูปและเทวรูปนี้ทองคำทั้งพระองค์” (วันจันทร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็งตรีศก จ.ศ. ๑๒๔๓/พ.ศ. ๒๔๒๔)
“เวลาเช้า ๓ โมงเศษ เสด็จออกประตูพรหมโสภาเสด็จประทับพระที่นั่งอาภรณภิโมกข์ ทรงจุดเทียนนมัสการทรงศีลแล้ว เสด็จลงมาประทับโรงหล่อหลังพระที่นั่งอาภรณภิโมกข์ พอได้พระฤกษ์เช้า ๔ โมง ๖ นาฑี ทรงเททองคำหล่อพระถวายเนตร ๑ และเทวรูปพระอาทิตย์ ๑ ด้วยพระเคราะห์อาทิตย์แทรกรักษาพระชนมพรรษาตามมหาทักษา” (วันพุธ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก ฉศก จ.ศ. ๑๒๔๖/พ.ศ. ๒๔๒๗)
“เวลาเช้า ๔ โมงเศษ เสด็จออกพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ ทรงจุดเทียนทรงศีลแล้วทรงหล่อพระพุทธไสยาสน์และเทวรูปพระอังคารเทวบุตร ซึ่งนับตามคัมภีร์พยากรณ์ว่าจะแซกรักษาพระชนม์พรรษา แล้วทรงปฏิบัติพระสงฆ์แล้วเสด็จขึ้น”(วันพุธ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอ อัฐศก จ.ศ. ๑๒๔๘/พ.ศ. ๒๔๒๙)
“เวลาเย็น โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เสด็จออกทรงจุดเทียนที่พระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ พระสงฆ์สวด ๕ องค์ ในการหล่อพระพุทธรูปมีอาการยืนอุ้มบาตร แลเทวรูปพระพุธทรงช้างตามคัมภีร์โหราศาสตร์ ซึ่งกำหนดเป็นเวลาพระพุธจะแทรกรักษาพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” (วันอังคาร ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๓ ปีจอ อัฐศก จ.ศ. ๑๒๔๘/พ.ศ. ๒๔๒๙)
“เวลาค่ำมีการสวดพระพุทธมนตที่พระที่นั่งอาภรณพิโมกขปราสาท พระราชาคณะถานานุกรม ๕ รูป ในการที่จะทรงหล่อพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาสมปฏิมาปีนี้ แลพระสมาธิแลเทวะรูปพระพฤหัศบดี ซึ่งประจำพระชนมพรรษาตามคัมภีร์มหาทักษา” (วันเสาร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๘ จ.ศ. ๑๒๕๐/พ.ศ. ๒๔๓๑)
จากตัวอย่างที่ยกมาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ มีการประกอบพระราชพิธีควบคู่กัน ทั้งพิธีฝ่ายพุทธ และพิธีทางโหราศาสตร์ “ตามคัมภีร์พยากรณ์” หรือ “ตามมหาทักษา” อยู่เป็นประจำ โดยจะมีการหล่อทั้งพระพุทธรูปและรูปเทวดาประจำวันที่จะเข้าเสวยอายุ หรือแทรกรักษาพระชนมพรรษา การ “จับคู่” ระหว่างเทวรูปนพเคราะห์กับพระพุทธรูปปางต่างๆ เหล่านี้เป็นคติที่มีมาแล้วอย่างช้าที่สุดไม่เกินยุครัชกาลที่ ๓ ไล่เลี่ยกับคติเรื่องพระพุทธรูปปางต่างๆ จากพุทธประวัติ โดยพระมติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ดังตัวอย่างจาก “จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน” ที่ยกมาข้างต้น เช่น พระอาทิตย์กับพระพุทธรูปปางถวายเนตร ปางห้ามสมุทรสำหรับพระจันทร์ พระอังคารกับปางไสยาสน์ พระพุธกับปางอุ้มบาตร พระราหูกับปางป่าเลไลยก์ พระพฤหัสบดีกับปางสมาธิ พระพุทธรูปนาคปรกสำหรับพระเสาร์ เป็นต้น
คำถามที่เกิดขึ้นต่อมาคือ แล้วพระพุทธรูปปางต่างๆ ดังกล่าวนี้ ถูกเลือกให้มาจับคู่กับเทวดานพเคราะห์ ด้วยเหตุผลอย่างไร หรือใช้เกณฑ์เช่นใด ?