มหาทักษา 40 - พระพุทธรูปประจำวัน (7)

“การที่นับอายุมากขึ้นไปอีกปีหนึ่งนั้น ไปนับเสียแต่เมื่อเดือนห้าขึ้นค่ำหนึ่ง หรือเถลิงศกขึ้นศักราชใหม่ ว่าเป็นอายุมากขึ้นไปอีกปีหนึ่ง แล้วเป็นพื้นธุระกันอยู่แต่เรื่องรับเทวดาเสวยอายุ เมื่อปีใดเป็นเวลาจะเปลี่ยนทักษา เป็นเจ้านายก็มีตำราสะเดาะพระเคราะห์โหรบูชา เสด็จขึ้นเกยส่งเทวดาเก่ารับเทวดาใหม่ มีสวดมนต์เลี้ยงพระเป็นการบุญเจือในพระพุทธศาสนาด้วย”

ในพระราชนิพนธ์ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล่าว่าตามคติอย่างโบราณ ผู้มีบรรดาศักดิ์และเจ้านายจะนับอายุว่าเพิ่มขึ้นอีกปีหนึ่ง เมื่อ “เถลิงศก” ขึ้นปีใหม่ เปลี่ยนปีจุลศักราช ในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ โดยมีนัยสำคัญคือการรับเทวดาที่จะมาเสวยอายุ ซึ่งต้องจัดพิธีเป็นพิเศษ แต่ก็มิได้หมายความว่าทุกท่านทุกองค์จะทำเช่นนั้น บ้างอาจไม่เคยทำเลยจนตลอดอายุขัย เพียงแต่ถือกันว่า ถ้าใครเคยทำเข้าแล้วคราวหนึ่งจะต้องจัดพิธีรับเทวดาเสวยอายุทุกครั้งเสมอไป และเชื่อกันว่าหากไม่ทำแล้ว เจ้าตัวอาจเจ็บป่วยหรือมีเหตุอันตรายเกิดขึ้น

พระองค์ยังทรงเล่าด้วยว่า ในเรื่องการรับเทวดาเสวยอายุนี้

“แต่ก่อนๆ ก็เห็นจะมีตำราทำมา แต่ข้าพเจ้าไม่เคยทำและไม่ได้เคยเห็น เป็นแต่ได้ยินเล่า เขาจัดคาถาต่างๆ ตามองค์เทวดา ว่าเทวดาองค์นั้นเสวยอายุ ให้สวดคาถาอย่างนั้นกี่จบตามกำลังวัน คือพระอาทิตย์สวด อุเทตยัญจักขุมา ๖ จบ พระจันทร์สวดยันทุนนิมิตตัง ๑๕ จบ พระอังคารให้สวดยัสสานุภาวโตยักขา ๘ จบ พระพุธให้สวดสัพพาสีวิสชาตินัง ๑๗ จบ พระเสาร์ให้สวดยโตหัง ๑๐ จบ พระพฤหัสบดีให้สวด ปูเรนตัมโพธิสัมภาเรนิพพัตตัง โมรโยนิยัง ๑๙ จบ พระราหูให้สวด กินนุสันตรมาโนว ๑๒ จบ พระศุกร์ให้สวดอัปปสันเนหินาถัสส ๒๑ จบ พระเกตุให้สวดชยันโต ๙ จบ”

นั่นคือตามที่เคยทำกันมาแต่โบราณ เมื่อเทวดาองค์ใดจะเข้า “เสวยอายุ” ตามคติมหาทักษา หนึ่งในพิธีที่ต้องทำคือการสวดคาถาพระปริตร บทเฉพาะสำหรับเทวดาองค์นั้นๆ โดยชื่อคาถาที่ทรงอ้างถึงนี้ มาจากวรรคขึ้นต้นของบทสวดเหล่านั้น ซึ่งคนแต่ก่อนรู้จักขึ้นใจ ในการนี้ต้องสวดให้ได้จำนวนจบตามกำลังวันของเทวดา เช่นพระอาทิตย์ มีกำลังวันเป็น ๖ ก็สวด “อุเทตยัญจักขุมา” ๖ จบ คือเวียนซ้ำไป ๖ รอบ

ธรรมเนียมที่ทรงกล่าวถึงนี้คงเป็น “ประเพณีราษฎร์” ที่ยึดถือปฏิบัติกันทั่วไปลงมาจนถึงสมัยหลังๆ ในหนังสือ “คัมภีร์เฉลิมไตรภพ ฉบับของเทวสถาน” ของพระครูวามเทพมุนี (พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพนางนครสวรรค์วรพินิต จัน อนัคฆมนตรี) เมื่อปี ๒๕๑๑ ได้ยกคำกลอนที่ว่าเป็นของโบราณ ผูกไว้ให้เป็นเครื่องช่วยจำเนื่องด้วยการสวด “คาถาบูชาพระทักษา” เหล่านี้ว่า

อาทิตย์หกยกชี้มีคาถา
สวดอุเทตะยัญจักขุมา
จันทร์สิบห้ายันทุนมีคุณดี
อังคารแปดสวดยัสสานุภาเสร็จ
พุธสิบเจ็ดสวดว่าสัพพาสี
เสาร์สิบสวดยะโตหังภะคินี
พฤหัสบดีสิบเก้าสวดปูเรนบรรพ์
ราหูสิบสองกินนุสันหยิบ
ศุกร์ยี่สิบเอ็ดสวดอัปปะสัน
เกตุเก้าสวดชะยันโตเช่นโสกันต์
กำลังวันจบพิธีเท่านี้เอย

คาถาเหล่านี้เลือกมาจากพระพุทธมนต์ที่เรียกกันว่า “พระปริตร” นับถือกันว่าเป็นถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคล สามารถขจัดปัดเป่าอุปัทวันตรายภัยพิบัติ ขจัดภูตผีปีศาจ สรรพสิ่งอวมงคล นำมาซึ่งความสวัสดีมีชัย เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ทุกประการ เรียกกันทั่วไปว่า “เจ็ดตำนาน” และ “สิบสองตำนาน” โดยคาถาที่เลือกใช้ในการรับเทวดาเสวยอายุและแทรกนี้ มีทั้งที่เป็นคาถาพระปริตรเอง และที่เป็น “บทขัด” อันเปรียบเสมือนอารัมภบทขึ้นต้น ที่สรุปเรื่องย่อและบอกกล่าวเชิญชวนให้สาธุชนสาธยายพระปริตรบทนั้นๆ