โดย ศรัณย์ ทองปาน

แล้วสัตตมหาสถาน หรือสถานที่สำคัญเจ็ดแห่ง อันเนื่องด้วยระยะเวลาเจ็ดสัปดาห์ภายหลังการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ เกี่ยวข้องอย่างไรกับธรรมเนียมว่าด้วยพระพุทธรูปปางต่างๆ สำหรับพิธีรับเทวดาเสวยอายุ อันเป็นต้นทางของคติ “พระพุทธรูปประจำวัน” ?
ก่อนอื่น ขอให้เราย้อนกลับไปกล่าวถึง “สำรับ” ของพระประจำวันกันอีกครั้งหนึ่ง
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในพระนิพนธ์ “ตำนานพระพุทธเจดีย์สยาม” (๒๔๖๙) ว่าเมื่อครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สอบค้นคัมภีร์ คัดเลือกพุทธอิริยาบถเรียงลำดับไปตามเหตุการณ์ในพุทธประวัติ ได้ชุดของพระพุทธรูป (นับรวมกับที่มีมาแต่เดิม) จำนวน ๔๐ ปาง โดยในตำราที่สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิต ทรงบันทึกพระพุทธรูป ๔๐ ปางนั้นไว้ ยังมีภาพพระพุทธรูปปางต่างๆ ซึ่งกำหนดตามเทวดานพเคราะห์ สำหรับบูชาเนื่องด้วยพิธีทักษาอีก ได้แก่
“พระอาทิตย์ พระถวายเนตร
พระจันทร พระห้ามสมุทร์
พระอังคาร พระไสยา…
พระพุธ พระอุ้มบาตร
พระพฤหัสบดี พระสมาธิ
พระศุกร์ พระรำพึง
พระเสาร์ พระนาคปรก
พระราหู พระปาเลไลย
พระเกตุ พระขัดสมาธิ์เพชร นั่งสมาธิ”
การคัดเลือกพระพุทธรูปปางต่างๆ สำหรับพิธีรับเทวดาเสวยอายุ จึงน่าจะเกิดขึ้นในยุคสมัยเดียวกัน คือรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นั่นเอง
ข้อสันนิษฐานนี้ยังสอดคล้องกับข้อค้นพบที่ ศ.ดร. เชษฐ์ ติงสัญชลี นำเสนอไว้ในหนังสือ “สัตตมหาสถาน : พุทธประวัติตอนเสวยวิมุตติสุขกับศิลปกรรมอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (สำนักพิมพ์เมืองโบราณ ๒๕๕๕) ว่า
“สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรสได้ทรงเปลี่ยนระบบใหม่ โดยนำเอามุทราไขว้พระหัตถ์ไว้ที่พระอุทร…มาใช้กับเรื่องอนิมิสเจดีย์ ส่วนมุทราไขว้พระหัตถ์ไว้ที่พระอุระนั้น ท่านทรงกำหนดใหม่ว่าเป็น ‘ปางรำพึง’ สำหรับตอนรำพึงภายหลังสัปดาห์ราชายตนะ”
นั่นคือพระพุทธรูปปางถวายเนตร (อนิมิสเจดีย์) และพระพุทธรูปปางรำพึง (เหตุการณ์ต่อเนื่องจากราชายตนะ) เพิ่งมีการกำหนดขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๓ สำรับของพระพุทธรูปประจำวันจึงไม่อาจเก่าแก่เกินกว่านั้นได้
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ดูเหมือนยังมีการให้ความสำคัญกับคติ “สัตตมหาสถาน” เป็นพิเศษด้วย เช่นในงานประติมากรรม พระพุทธรูปชุด ๔๐ ปาง ที่สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงคัดเลือกให้ประดิษฐ์ใหม่ มีถึง ๗ ปาง ที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับเหตุการณ์ ๗ สัปดาห์ ณ สัตตมหาสถาน
ส่วนในงานสถาปัตยกรรม สัตตมหาสถานยังไปปรากฏเป็นระบบสัญลักษณ์หนึ่งของวัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) ที่สถาปนาขึ้นใหม่หมดทั้งวัดในรัชกาลนั้น (ดูรายละเอียดในหนังสือ “วัดพระเชตุพน มัชฌิมประเทศอันวิเศษในชมพูทวีป” ของวัชรี วัชรสินธุ์ สำนักพิมพ์มติชน ๒๕๔๘) รวมถึงมีการสร้างขึ้นเป็นอาคารขนาดเล็กเรียงรายเข้าแถวกันริมกำแพงวัดสุทัศนเทพวราราม ในสมัยรัชกาลที่ ๓ อีกด้วย
ดังนั้น หากในระยะเวลาเดียวกันนี้จะมีการนำเอาคติสัตตมหาสถาน มาใช้เป็นเกณฑ์การคัดเลือกปางพระพุทธรูปสำหรับรับเทวดาในพิธีทักษา ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก