มหาทักษา 50 พระพุทธรูปประจำวันจันทร์ ปางห้ามสมุทร

ในตำราประติมานวิทยา (Iconography) ของอินเดีย มีมุทรา (คือท่าทางของมือ) อย่างหนึ่งเรียกว่า “อภยมุทรา” (ออกเสียงว่า อะ-พะ-ยะ-มุด-ทะ-รา abhayamudra) “อภย” ในที่นี้ คือปราศจากภัย “อภยมุทรา” จึงมีความหมายว่าเป็นท่าที่แสดงการปกป้องคุ้มครอง

โดยทั่วไป “อภยมุทรา” มักแสดงด้วยพระหัตถ์ขวา โดยงอพระกร (แขน) หงายฝ่าพระหัตถ์ (ฝ่ามือ) หันไปทางด้านหน้า ให้นิ้วพระหัตถ์ (นิ้วมือ) ตั้งขึ้น พบทั้งในรูปเคารพของศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ ตลอดจนถึงศาสนาเชน

คติพุทธทางฝ่ายไทยเรียกพระพุทธรูปยืนที่แสดง “อภยมุทรา” ว่าเป็นปาง “ห้าม” ต่างๆ ด้วยเหตุที่ดูเหมือนยกฝ่ามือหันออกแสดงอาการห้าม โดยอาจเรียกรวมๆ ว่าเป็นพระพุทธรูป “ปางประทานอภัย” โดยแยกย่อยเป็นปาง “ห้าม” ต่างๆ อันอิงอยู่กับเหตุการณ์ในพุทธประวัติ ได้แก่

พระพุทธรูปยืนที่ยกพระหัตถ์แสดงปางประทานอภัยทั้งซ้ายขวา เรียกว่า “ปางห้ามสมุทร” มีคำอธิบายตามนัยพุทธประวัติ ว่าเมื่อครั้งพระพุทธองค์เสด็จไปโปรดชฎิลสามพี่น้องกับทั้งเหล่าบริวาร โดยทรงแสดงปาฏิหาริย์ห้ามน้ำฝนมิให้เปียกท่วมมาถึงบริเวณที่ประทับ เหล่าชฎิลได้เห็นประจักษ์จึงยอมสดับพุทธธรรมแล้วขอบรรพชาเป็นพระภิกษุทั้งหมด

หากเป็นพระพุทธรูปยืนที่แสดงปางประทานอภัยด้วยพระหัตถ์ขวาข้างเดียว เรียกว่า “ปางห้ามญาติ” โดยทั่วไปอธิบายกันว่าหมายถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งเสด็จไปทรงห้ามพระประยูรญาติที่วิวาทกันด้วยเหตุแย่งน้ำทำนา

ส่วนพระพุทธรูปยืนยกพระหัตถ์ซ้ายแสดงปางประทานอภัยข้างเดียว มีชื่อเรียกโดยเฉพาะคือ “ปางห้ามพระแก่นจันทน์” อันมีตำนานว่า เมื่อครั้งพระพุทธองค์เสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเวลาสามเดือนนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเกิดว้าเหว่พระทัย จึงให้ช่างสลักไม้แก่นจันทน์เป็นรูปพระพุทธองค์ แล้วนำไปประดิษฐานไว้บนพระแท่นที่เคยประทับ เพื่อทรงสักการะบูชา ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกลับคืนสู่มนุษยโลกแล้ว พระพุทธรูปแก่นจันทน์ทำท่าทางจะลุกขึ้นไป พระพุทธองค์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้น “ห้าม” ไว้ พระแก่นจันทน์จึงกลับขึ้นประทับนั่งบนพระแท่นดังเดิม

พระพุทธรูปที่นับเป็นพระประจำวันจันทร์ ดั้งเดิมระบุว่าคือพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร คือยกพระหัตถ์ปางประทานอภัย “ห้าม” ทั้งสองข้าง หากแต่ในปัจจุบัน บางตำราก็ดูเหมือนจะอนุโลมให้ใช้เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ที่ยกพระหัตถ์ขวา “ห้าม” เพียงข้างเดียวก็ได้

พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรองค์สำคัญในกรุงเทพฯ น่าจะได้แก่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ ซึ่งหล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ ประดิษฐานอยู่เบื้องซ้ายและขวาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทั้งสององค์นี้มีความสูง ๖ ศอก (๓ เมตร)

ส่วนพระพุทธรูปปางห้ามญาติองค์ใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่คนอาจไม่ค่อยรู้จักกัน คือพระอัฏฐารส วัดสระเกศฯ (ภูเขาทอง) ประดิษฐานในพระวิหาร ถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปยืน หล่อด้วยสำริด (โลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก) ที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ อัญเชิญมาจากวัดวิหารทอง พิษณุโลก มีความสูงถึง ๕ วา ๑ ศอก ๑๐ นิ้ว คำนวณเป็นมาตราเมตริก คือกว่า ๑๐ เมตร

ส่วนว่าถ้าใครอยากสักการะพระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์ ในกรุงเทพฯ ขอให้ไปที่วัดพระเชตุพนฯ หรือ “วัดโพธิ์” ท่าเตียน มีพระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์องค์ใหญ่องค์หนึ่ง จดหมายเหตุระบุว่าอัญเชิญลงมาจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ในพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา มีความสูง ๒๐ ศอก (ราว ๑๐ เมตร หย่อนกว่าพระอัฏฐารส วัดสระเกศฯ เล็กน้อย) ได้แก่พระพุทธโลกนาถ หรือ “พระโลกนาถ” ปัจจุบันประดิษฐานที่มุขหลัง พระวิหารทิศตะวันออก วัดพระเชตุพนฯ