มหาทักษา 51 - พระพุทธรูปประจำวันอังคาร ปางไสยาสน์

พระพุทธรูปปางไสยาสน์ อันนับเป็นพระพุทธรูปประจำวันอังคาร สร้างเป็นพระพุทธรูปมีอาการบรรทม (นอน) ตะแคงขวา (หรือที่เรียกกันว่า “สีหไสยา” หรือ “สีหไสยาสน์” คือท่านอนของพระยาราชสีห์) พระกร (แขน) ซ้ายทอดยาวแนบพระวรกาย พระหัตถ์ขวาประคองพระเศียรตั้งขึ้น

พระพุทธรูปปางไสยาสน์นี้ นับแต่โบราณมาก็ดูเหมือนสร้างขึ้นให้มีความหมายแตกต่างกันไปตามบริบท เช่นลวดลายปูนปั้นประดับสถูปบริวารของพระมหาธาตุในวัดมหาธาตุสุโขทัย มีภาพพระพุทธไสยาสน์พร้อมด้วยเหล่าพระสาวก ซึ่งกำลังแสดงปริเทวนาการ (ปริเทวนะ แปลว่า การคร่ำครวญ การรำพันด้วยความเสียใจ) จึงย่อมต้องหมายถึงพระพุทธองค์ขณะเมื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

ขณะเดียวกัน ในศิลปะสุโขทัยมีความนิยมสร้างมณฑปขนาดใหญ่ ประดิษฐานพระพุทธรูปสี่ปาง ในอาการนั่ง-นอน-ยืน-เดิน ล้อมรอบแกนกลางเดียวกัน มักเรียกว่า “พระสี่อิริยาบถ” ศาสตราจารย์ ดร. หม่อมราชวงศ์สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ ตีความว่าอาจสร้างขึ้นตามเนื้อความของมหาสติปัฏฐานสูตร จาก “พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค” เรื่อง “กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน” ซึ่งมีหัวข้อหนึ่งว่าด้วยการใช้สติพิจารณาอิริยาบถสี่ คือเดิน ยืน นั่ง นอน “ภิกษุเมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่าเรายืน เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่าเรานั่ง เมื่อนอน ก็รู้ชัดว่าเรานอน” หากยึดถือตามข้อสันนิษฐานนี้ พระพุทธไสยาสน์ในฐานะส่วนหนึ่งของ “พระสี่อิริยาบถ” ก็มีความหมายว่าเป็นอิริยาบถที่พระพุทธองค์ทรงเจริญสติ

ส่วนพระพุทธรูปปางไสยาสน์อันมีขนาดใหญ่โตเป็นพิเศษก็มีคำอธิบายต่างหากออกไป ว่าเป็น “ปางโปรดอสุรินทราหู” ตามตำนานที่ว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงอิทธิฤทธิ์ สำแดงให้มีพระวรกายมีขนาดมหึมายิ่งกว่าอสุรินทราหู ผู้ทะนงตนว่ามีร่างกายใหญ่โต จนในที่สุด อสุรินทราหูยอมละทิฐิมานะ หันมาเลื่อมใสพระพุทธศาสนา

การตีความเช่นนี้มีมาแล้วอย่างน้อยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เช่นที่ปรากฏใน “โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์” พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งกล่าวว่า “พระพุทธไสยา” คือพระพุทธองค์ขณะเมื่ออสุรินทราหูมาเข้าเฝ้า

ดังนั้น หากพระพุทธไสยาสน์องค์นั้นๆ มีบริบทแวดล้อม ดังกรณีของ “พระพุทธไสยา” พระพุทธไสยาสน์สมัยสุโขทัยที่งดงามที่สุด ประดิษฐาน ณ มุขหลังพระวิหารพระศาสดา วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ ผนังด้านหลังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังต้นสาละ (ต้นรัง) สองต้นที่เบื้องพระเศียรและเบื้องพระบาท พร้อมด้วยภาพพระสาวก พุทธบริษัท ตลอดจนเทวดาบนสวรรค์ชั้นฟ้า ที่ต่างแสดงความปริเวทนาอย่างสุดซึ้ง เช่นนี้ก็ย่อมหมายความว่าพระพุทธไสยาคือพระพุทธรูปปางปรินิพพานตามท้องเรื่องในพุทธประวัติ แต่หากมิได้มีองค์ประกอบเหล่านั้น พิจารณาเฉพาะแต่องค์พระพุทธไสยาสน์ ก็อาจมีความหมายเพียงว่าเป็นพระพุทธองค์ขณะอยู่ในอิริยาบถไสยาสน์เท่านั้น

ส่วนพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ได้แก่ “พระนอนวัดโพธิ์” หรือพระพุทธไสยาส วัดพระเชตุพนฯ สร้างขึ้นเมื่อคราวบูรณะวัดครั้งใหญ่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เมื่อปี ๒๓๗๕ จดหมายเหตุระบุว่ามีความยาวตั้งแต่พระรัศมีถึงพระบาท ๑ เส้น ๓ วา หรือเทียบเท่ากับ ๔๖ เมตร ตามมาตราเมตริก

สิ่งสำคัญของพระพุทธไสยาส วัดพระเชตุพนฯ คือลวดลายประดับมุกที่ฝ่าพระบาท อันเป็นฝีมือช่างชั้นครูในรุ่นรัชกาลที่ ๓ ทำเป็นลายมงคล ๑๐๘ ประการ ประกอบด้วยภาพสิ่งอันนับถือกันมาแต่ดึกดำบรรพ์ในอินเดียโบราณว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งสิริมงคล กับทั้งภาพองค์ประกอบนานาภายในมงคลจักรวาลตามคติพุทธศาสนาเถรวาท