ทิวารัตน์ ทองแฉล้ม : เรื่อง
ภูมิพัฒน์ ศรีตัมภวา : ภาพ

ไผ่กับชาติพันธุ์: สายใยท่ามกลางวิถีชีวิตที่แปรเปลี่ยน
สะพานไม้ไผ่ลอยน้ำที่เคยทอดยาวพาผู้คนข้ามฟากแม่น้ำเคียงคู่ไปกับ “สะพานมอญ” แต่หน้าที่ของมันค่อย ๆ หายไปตามกาลเวลา จนตอนนี้เป็นเพียงท่าเรือเล็ก ๆ เท่านั้น

“สิ่งที่ดีที่สุดที่คนเมืองทำให้ชาวชาติพันธุ์ได้คือ ฟังเราก่อนจะคิดแทนเรา”

ฉันไม่เข้าใจคำพูดนี้ จนกระทั่งได้มาสัมผัสกับวิถีชีวิต “กองม่องทะ” ในอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ชื่อที่ไม่เคยปรากฏในความทรงจำของฉัน และไม่คิดว่าจะได้มาเยือนที่แห่งนี้

สุวิทย์ สังขวทัญญผู้ได้รับการยกย่องจากชาวกะเหรี่ยงกองม่องทะว่าเป็นปราชญ์ของหมู่บ้าน กำลังเดินนำพวกเราเที่ยวชมรอบหมู่บ้าน พร้อมให้ความรู้ รอบตัวเรามีทั้งต้นไม้ ภูเขา ผู้คน นอกจากนี้ยังมีสวนทุเรียน สวนเงาะ และสวนมังคุด ทั้งชีวิตของฉันไม่เคยเห็นต้นมังคุดมาก่อน แต่ฉันไม่ใช่คนเดียวที่แอบยิ้มเขิน ๆ กับตัวเอง เพราะอีกหลายคนก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน ‘เจ้าพวกเด็กในเมืองเอ๋ย’ ฉันคิดขำ ๆ

อย่างไรก็ตามที่โดดเด่นสะดุดตาฉันกว่าสิ่งอื่นใดก็คือบ้านเรือนอันมีเอกลักษณ์ ฝาผนังบ้านแต่ละหลังนั้นมีลวดลายแตกต่างกัน แม้ฉันจะไม่รู้ความหมาย แต่ลวดลายเหล่านี้ก็งดงามและแฝงไปด้วยเสน่ห์น่าค้นหา ฉันจึงถามคุณสุวิทย์ว่าฝาผนังบ้านสร้างด้วยไม้อะไร ก็ได้รับคำตอบว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่จะใช้ไม้ไผ่สร้างบ้าน

bamboo04
รือนแพของผู้อาศัยบริเวณสะพานมอญเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยใช้ไม้ไผ่เป็นวัสดุหลัก มาเป็นการใช้สังกะสีบางส่วนเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้โครงสร้างและยืดอายุการใช้งาน

เดินมาอีกไม่ไกลก็เจอกับแม่น้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้าน แม้จะเป็นแม่น้ำสายเล็กแต่มีความสำคัญต่อจิตใจของชาวบ้านกองม่องทะเป็นอย่างมาก เพราะนี่คือแม่น้ำรันตี ที่มีต้นน้ำมาจากเทือกเขาตะนาวศรี ปลายทางคืออ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ จุดศูนย์รวมแห่งพหุวัฒนธรรมของชาวมอญและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น

ในขณะที่หลายคนตื่นเต้นกับการเดินถ่ายรูปบนสะพานข้ามแม่น้ำรันตี ฉันกลับสังเกตเห็นกระบอกไม้ไผ่ขนาดสองข้อด้านในกลวงโบ๋ที่ตีนสะพานหันมาทางซ้ายก็ถูกดึงดูดสายตาด้วยต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือตามกิ่งก้านสาขานั้นมีไม้ไผ่ค้ำไปทั่ว

“นี่คือไผ่ค้ำโพธิ์ครับ เป็นความเชื่อของคนที่นี่ ทุกคนจะนำมาค้ำไว้ในช่วงเดือนเมษายน เพราะเชื่อว่าจะช่วยค้ำจุนชีวิตให้มีอายุยืนยาว”

ฉันอาจจะแสดงสีหน้าอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป จนสุวิทย์ให้คำตอบได้ราวกับอ่านใจ

เขาเล่าต่อด้วยน้ำเสียงน่าฟังว่า “ส่วนกระบอกไม้ไผ่ที่ตีนสะพานมีไว้เพื่อขอขมาสะพานที่ให้พวกเราได้ใช้สัญจรไปมาตลอดทั้งปี พิธีขอขมาจะถูกจัดขึ้นพร้อมกับพิธีไผ่ค้ำโพธิ์ คนที่นี่เชื่อว่าทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมีชีวิต เราต้องให้ความเคารพและแสดงความขอบคุณที่เอื้อเฟื้อต่อกัน” น้ำเสียงเขาเจือไปด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ

เมื่อฉันมาหยุดยืนตรงกลางสะพาน ลมเย็นก็คลอเคลียใบหน้า ฝ่ามือลูบไล้ไปตามแนวเหล็กกั้น แล้วมองลงไปยังพื้นน้ำ เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเพื่อนร่วมทางที่ยืนเรียงแถวกันตรงริมตลิ่งเรียกความสนใจของฉัน บางคนกวักน้ำใส่เพื่อน บางคนแกว่งเท้าให้ความเย็นค่อย ๆ ไหลผ่าน

แม้ฉันจะมาที่นี่ครั้งแรก แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นอื่น ทั้งความอบอุ่น ความเหนื่อยล้าที่ถูกชะล้างด้วยสายลม ราวกับได้กลับมายังต้นกำเนิดของตนเอง

“ชาวกะเหรี่ยงเกิดในป่า เติบโตได้เพราะป่า หากตายก็นำกลับไปฝังในป่า หลักฐานการมีอยู่ของพวกเราก็คือ ป่า”

ฉันจำคำพูดของคุณตาชาวกะเหรี่ยงคนหนึ่งได้ดีราวกับสลักไว้ในหัวใจ

“สมัยปู่ย่าตอนที่ทุกคนเกิด หมอตำแยผู้ทำคลอดจะเหลาก้านไผ่ให้คมเพื่อนำมาใช้ตัดสายสะดือ ป้องกันการติดเชื้อบาดทะยักแทนการใช้มีดตัด”

ฉันถามต่อทันทีว่า “แล้วนำสายสะดือไปทำอย่างไรต่อหรือคะ”

สุวิทย์ส่งยิ้มบาง ๆ ให้คล้ายกับรอคำถามนี้อยู่แล้ว ก่อนจะตอบว่า “ก็จะเอาสายสะดือไปใส่ในกระบอกไม้ไผ่ คนในครอบครัวจะเอากระบอกไม้ไผ่ไปแขวนที่ต้นไม้ใหญ่สักต้น เจ้าของสายสะดือต้องคอยแวะเวียนไปดูแลต้นไม้ต้นนั้นตลอดทั้งชีวิต เพราะถือว่าต้นไม้ใหญ่นี้จะเป็นผู้ปกป้องเรา คอยดูแลเรา แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วนะ จะคลอดก็พากันไปหาหมอแทน”

นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันรู้สึกสนใจไม้ไผ่มากขึ้น เพราะดูมีบทบาทสำคัญต่อชาวกะเหรี่ยง อีกทั้งยังทำให้นึกสงสัยว่าไม้ไผ่นั้นเป็นสิ่งสำคัญของชาวชาติพันธุ์อื่นด้วยหรือไม่

bamboo07
สะพานไม้ไผ่และลูกบวบที่ผู้คนเคยใช้สัญจรข้ามแม่น้ำถูกแทนที่ด้วยโครงสร้างสมัยใหม่อย่างสะพานเหล็กและถังสังกะสี
bamboo08
นักท่องเที่ยวและชาวมอญบางกลุ่มเริ่มอาศัยบนเรือนแพสมัยใหม่ซึ่งสร้างโดยวัสดุที่แข็งแรง ทนทาน มีสีสันและดีไซน์เข้ากับยุคสมั

>>

“เราสนใจเกี่ยวกับไผ่ใช่ไหม” จู่ ๆ สุวิทย์ก็ถามขึ้น

ฉันบอกแล้วว่าเขาสามารถอ่านใจคนได้

“ใช่ค่ะ หนูรู้สึกว่าไผ่สำคัญต่อวิถีชีวิตของคนที่นี่ แต่ไม่แน่ใจว่าสมัยนี้ยังสำคัญอยู่ไหม เพราะความทันสมัยก็เข้ามาบ้างแล้ว” ฉันตอบคำถามเขา

“ไผ่ยังเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ต่อวิถีชีวิตของชาวกองม่องทะ บางพิธีกรรมเราเลิกทำไปแล้ว แต่ที่ยังมีอยู่ก็ไม่ใช่น้อยๆ ทั้งไผ่ค้ำโพธิ์ ไผ่ขอขมา นอกจากนี้ยังมีพิธีบวชกลางน้ำ ที่จะสร้างแพเพื่อใช้บวชพระใหม่ หรือพิธีทำแพขอขมาแม่น้ำคงคา โดยจะใส่ขนม อาหาร และดอกไม้ หรืออย่างวันอาสาฬหบูชา เราก็ตัดกระบอกไม้ไผ่มาหล่อเทียน ที่บ้านของผมมีของเกี่ยวกับไผ่ที่น่าสนใจ เดี๋ยวจะขับรถพาไปดู” พูดจบเขาก็เดินนำพวกเราไปยังรถพ่วงข้างสามล้อคู่ใจ

สุวิทย์พาพวกเราขึ้นไปบนบ้าน แล้วหยิบหมวก ตะกร้า กระเป๋าที่สานด้วยไม้ไผ่มาให้ดู ผนังครัวของบ้านก็สร้างด้วยไม้ไผ่เช่นเดียวกัน จากนั้นก็พาไปดูกระท่อมท้ายสวนซึ่งสร้างด้วยไม้ไผ่ทั้งหลัง อีกทั้งยังมีราวตากผ้า และคานไม้ไผ่ให้ผักเลื้อย

ระหว่างขับรถกลับไปที่วัดกองม่องทะ ฉันชวนเขาคุยสัพเพเหระ

“ตอนเด็ก ในหมู่บ้านมีบ้านปูนหรือยังคะ” ฉันถามซื่อ ๆ

“ตอนผมยังเด็กทุกบ้านยังเป็นไม้ไผ่อยู่เลย วิ่งไปตรงไหนก็มีแต่ไผ่ พอทุกวันนี้มองไปรอบ ๆ หมู่บ้าน ก็คิดถึงแต่ก่อนนะ รู้สึกเศร้าบ้างที่หมู่บ้านเราเปลี่ยนไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี ถึงแม้สิ่งรอบตัวจะเปลี่ยน แต่ความเป็นเราก็ไม่ได้หายไปไหน”

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แม้จะรู้สึกราวกับที่นี่เป็นบ้านอีกหลังหนึ่งก็ตาม รถบรรทุกฝันคันน้อยแล่นอย่างโคลงเคลงออกจากหมู่บ้านกองม่องทะ มุ่งตรงสู่ตัวอำเภอสังขละบุรี ซึ่งหนาแน่นไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์มอญ

bamboo02
ชาวกะเหรี่ยงโผล่วในชุมชนกองม่องทะบางส่วนยังคงดำเนินวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมด้วยการใช้ไม้ไผ่สร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งเริ่มหาดูได้ยากในยุคปัจจุบัน
bamboo03
บ้านบางหลังในชุมชนกองม่องทะสร้างด้วยการสานไม้ไผ่ให้เป็นลวดลายอันสวยงาม แสดงถึงเอกลักษณ์ของชาวกะเหรี่ยงโผล่ว

>>

พวกเราได้รับการต้อนรับอย่างดีจาก “แดง” เจ้าของบ้านแพริมน้ำ เขาพาเดินชมบ้านไม้ไผ่ลอยน้ำหลังน้อยของตนเองที่มีทั้งห้องนอน ห้องน้ำ แล้วยังมีสวนลอยน้ำทำจากยางรถยนต์อัดแน่นด้วยดิน วางบนแพไม้ไผ่สำหรับปลูกพืชผักและดอกไม้ แม้ห่างจากกองม่องทะราว 20 กิโลเมตร แต่ไม้ไผ่ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อคนที่นี่เช่นกัน

เขาเล่าว่า “สมัยนี้บางแพใช้ถังน้ำขนาดใหญ่มาทำลูกบวบแทน แต่พี่ยังเลือกไม้ไผ่เพราะเราไม่ได้มีเงินมากมาย แถมไผ่แก่ ๆ ก็ยังลอยน้ำดีกว่าพวกถังเสียอีก”

แดงรับบทเป็นสารถีพาพวกเรานั่งเรือไปชมสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการนั่งเรือครั้งแรกของฉัน ลมเย็นตีใบหน้า หยดน้ำกระเซ็นมาโดนแขนบ้าง หน้าบ้าง พาให้รู้สึกสดชื่น มองไปสุดขอบแม่น้ำก็เห็นแต่ภูเขา

“บนเขามีแต่ชาวชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ คนพวกนั้นชอบอยู่ในป่า มีความรักความสามัคคีต่อกันมาก แต่ชาวมอญจะมีความเป็นสังคมเมืองมากกว่า”

แดงเห็นฉันมองไปยังภูเขาลูกนั้นที ลูกนี้ที จึงเล่าให้ฟัง ยิ่งทำให้คิดถึงกองม่องทะที่เพิ่งจากมา

ฉันจึงเล่าให้แดงฟังบ้างว่าแต่ก่อนชาวกะเหรี่ยงเขานำไม้ไผ่มาตัดสายสะดือ ได้ยินดังนั้นเขาก็ถกเสื้อตัวเอง พร้อมเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ดูสิ สะดือผมก็ใช้ไม้ไผ่ตัดเหมือนกัน เพราะคนแต่ก่อนกลัวว่าถ้าใช้มีดจะเป็นบาดทะยัก ไม้ไผ่มันสะอาดและยังคมมาก ๆ”

ตอนอยู่กองม่องทะฉันเคยสงสัยว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นจะมีวิถีชีวิตใกล้เคียงกันหรือไม่ สิ่งที่ได้ฟังจากคุณแดงก็ทำให้รู้ว่าทั้งชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญอาจมีสิ่งหนึ่งที่เชื่อมโยงกัน นั่นก็คือไม้ไผ่

แดงขับเรือพาพวกเราไปยังภูเขาลูกหนึ่งเพื่อตัดหน่อไม้ พร้อมเล่าว่าหน่อไม้ที่นี่กรุบกรอบและอร่อยกว่าที่อื่น

จากนั้นพวกเราเดินลัดเลาะป่ามาเรื่อย ๆ จนถึงก่อไผ่ แล้วเขาก็สาธิตวิธีตัดหน่อไม้ให้ทุกคนดู ฉันได้ความรู้ใหม่ว่าไม่ควรใช้มือจับหน่อไม้โดยตรง เพราะจะคันและแสบร้อน

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เขาพิสูจน์ความอร่อยของหน่อไม้ด้วยการส่งไม้ต่อให้ “จอย” ภรรยาคนสวยลงมือทำเมนูรสเด็ดอย่างแกงหน่อไม้ และแกงปลาใส่หน่อไม้

บอกไปใครจะเชื่อ หน่อไม้ที่นี่อร่อยจริง ๆ เนื้อแน่น เคี้ยวดังกรุบ เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งถูกใจมาก ซดน้ำแกงจนหมดเกลี้ยง ฉันหันไปถาม “อาภาสินี” สาวน้อยชาวมอญ ผู้มีศักดิ์เป็นหลานของแดงว่าชอบหน่อไม้หรือไม่

“หนูชอบหน่อไม้ที่สุดเลยค่ะ อร่อยมาก ๆ ชอบเวลาที่ได้เคี้ยวหน่อไม้ มันมีเสียงดังกรุบกรับอยู่ในปาก ให้หนูกินหน่อไม้ทุกวันยังได้เลย” เสียงสดใสช่างพูดตอบ หากคนทำได้ยินคงชื่นใจ อิ่มคำชมจนไม่ต้องกินข้าวเย็น

bamboo05
ไผ่ถือเป็นพืชสำคัญของชาวกะเหรี่ยงโผล่ว ที่ส่งต่อความเชื่อกันมา เช่น หากนำไม้ไผ่ไปค้ำต้นโพธิ์ในช่วงเทศกาลปีใหม่จะช่วยต่ออายุให้ผู้นั้นได้
bamboo06
หมวกและกระเป๋าสานเคยเป็นผลิตภัณฑ์จากไผ่ที่ชาวกะเหรี่ยงโผล่วนิยมใช้ แต่เยาวชนรุ่นหลังเริ่มหันไปสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายสมัยใหม่กันมากขึ้น

>>

กว่าจะออกจากบ้านแดงก็เวลาบ่ายแก่ ๆ พวกเรานั่งรถไปยังวัดวังก์วิเวการาม หรือวัดหลวงพ่ออุตตมะ วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญของชาวมอญ ผู้คนจำนวนมากจึงมารวมตัวกันเพื่อสวดมนต์และเวียนเทียน

ระหว่างเดินเล่นฉันเห็นพ่อลูกคู่หนึ่งกำลังนั่งเล่นดินทรายด้วยกัน จึงเข้าไปชวนคุยเรื่องไม้ไผ่

“เมื่อก่อนเวลาสร้างบ้านเรามุงหลังคาด้วยใบจาก และปูพื้น ปูฝ้า กั้นฝาบ้านด้วยไม้ไผ่ ใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย แต่เพราะข้อจำกัดเรื่องการตัดไม้ของอุทยาน เราก็ต้องเปลี่ยน แม้จะใช้เงินเยอะแต่ยอมลงทุนครั้งเดียวสร้างบ้านปูน ถามว่ารู้สึกเศร้าไหมที่บ้านหลายหลังเริ่มกลายเป็นบ้านปูน บ้านไม้ไผ่ที่เราคุ้นเคยตอนเด็กก็หายไป ตอบได้เลยว่าเศร้า ได้อย่างเสียอย่างละนะ ได้ความเจริญ แต่เราก็เสียต้นกำเนิด เสียความทรงจำเดิม ๆ ตอนนี้เรายังคงวัฒนธรรมเดิมไว้ได้ แต่ไม่รู้เลยว่าเด็กรุ่นหลังจะยังรักษามันไว้ได้ไหม”

กล่าวจบคุณพ่อชาวมอญวัยกลางคนก็หันไปมองลูกสาววัย 3 ขวบตัวน้อยที่กำลังเล่นดินทราย ราวกับมองไปยังอนาคตอีกไกลแสนไกลของเด็กคนนี้

วันถัดมาพวกเราไปเดินเล่นที่สะพานมอญ ฉันได้คุยกับหญิงสาวชาวมอญวัยกลางคนที่มากับลูกสาว ผู้เป็นแม่เล่าเรื่องราวสมัยตนเองยังเป็นเด็กว่า

“ตอนพี่ยังเด็ก หมู่บ้านเป็นไม้ไผ่หมดเลย แต่ดูตอนนี้สิ บ้านปูนเยอะขึ้น บ้านไม้ไผ่ก็เริ่มหายไป พี่ก็รู้สึกต่างไปจากเดิมมากนะ ภาพที่เราคุ้นเคย แต่มันเป็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น พัฒนาตามวิถีชีวิตคน” หญิงชาวมอญวัย 49 ปี หลบสายตาเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องราวสมัยเด็ก

“เราต้องเปลี่ยนตามยุคสมัย แต่ยังคงอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมเดิมของชาวมอญไว้ วัฒนธรรมยังเหมือนเดิม อนุรักษ์เหมือนเดิม เริ่มแรกเราเป็นมอญ ถึงแม้ภายนอกจะเปลี่ยนไปอย่างไร สุดท้ายก็เป็นมอญเหมือนเดิม”

วิลัยวรรณ ปุณณะการี และณัฎฐวรรณ ลูกสาววัย 8 ขวบ เป็นชาวมอญที่หาเลี้ยงชีพด้วยการเทินหม้อไว้บนศีรษะและถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว แม้จำนวนเงินไม่มากแต่กลับมีความสุขที่ได้รักษาวัฒนธรรมของตนเอง

บางครั้งชุมชนและวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวกลุ่มชาติพันธุ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป เพราะตัวพวกเขาเอง แต่มีปัจจัยภายนอกบีบบังคับให้ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอด ฉันหวนนึกถึงคำสอนของ กรณิศ กิจก้อง หญิงสาวชาวกะเหรี่ยงที่หมู่บ้านกองม่องทะ

งูใหญ่เลื้อยผ่าน เสาบ้านออกดอก คนนอกเสียงดัง ม้ามีเขา ผู้เฒ่าผู้แก่สอนพึงระวัง หากสี่สิ่งนี้ย่างกรายเข้ามาในหมู่บ้าน ความเป็น ‘เรา’ จะหายไป”

ถอดความว่า งูใหญ่ คือถนนที่ตัดผ่านตามบ้านเรือน เสาออกดอกคือความสว่างจากหลอดไฟฟ้า คนนอกในที่นี้คงเป็น “พวกเรา” และม้ามีเขาก็คือรถมอเตอร์ไซค์

หากความเจริญเหล่านี้เข้ามาถึงจะทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมจางหาย หมู่บ้านชาวมอญก็อาจจะกำลังประสบปัญหาเหล่านั้น

>>

bamboo09
หนึ่งในความสัมพันธ์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงระหว่างไผ่กับกลุ่มชาติพันธุ์คือการนำไผ่มากิน ดังที่ “แดง” นักเดินเรือชาวมอญผู้เดินเรือไปหาของป่าในพื้นที่ใกล้เคียงสะพานมอญ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ต้องเก็บ คือ ‘หน่อไม้’
bamboo10
หลังจากเก็บหน่อไม้ แดงและจอย สองสามีภรรยาชาวมอญร่วมกันรังสรรค์เมนูเด็ดประจำวัน คือแกงหน่อไม้ (ฟะบาง) และแกงปลา (ฟะกะ)

ในการเดินทางครั้งนี้ ฉันได้พูดคุยกับผู้คนหลายชาติพันธุ์ ได้ฟังเรื่องราวที่พาให้หัวเราะไปพร้อมกับผู้เล่า หรือใจอ่อนยวบเพราะรู้สึกเศร้าจับใจ

“อดีตเราใช้ไผ่ในการ… ปัจจุบันเราใช้ไผ่ในการ… ย่าเล่าว่าสมัยนั้นใช้ไผ่ในการ… วันนี้เราใช้ไผ่ในการ…”

เมื่อเอ่ยถึงไม้ไผ่ ผู้คนที่นี่มักมีเรื่องราวซุกซ่อนไว้เสมอ

ทั้งความรักความสามัคคีของคนในพื้นที่ การอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ความครึกครื้นในงานบุญ เสียงหัวเราะในวันธรรมดาของกลุ่มแม่บ้าน ความอบอุ่นในวงอาหารมื้อเย็น หรือแม้แต่ข้อจำกัดเรื่องการตัดไม้ของอุทยานที่ส่งผลกระทบต่อการสร้างบ้าน รวมถึงการเข้ามาของความก้าวหน้าและความทันสมัย

หากจะกล่าวว่า ไผ่เป็นผู้บันทึกเรื่องราวของชาวชาติพันธุ์ เป็นผู้เฝ้ามองผ่านรอยต่อแห่งกาลเวลา เป็นผู้ผ่านทุกห้วงเวลาร่วมกับชาวชาติพันธุ์ ราวกับผู้ใหญ่คนสำคัญคนหนึ่งในหมู่บ้าน ฉันเชื่อว่าก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงแต่อย่างใด