
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ นอกเหนือไปจากที่ทรงให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เมื่อยังดำรงพระอิสริยยศเปนกรมหมื่นนุชิตชิโนรส ทรงคิดแบบอย่าง คัดเลือกพุทธอิริยาบถต่างๆ สร้างเป็นพระพุทธรูปปางต่างๆ โดยนัยพุทธประวัติ ๔๐ องค์ ๔๐ ปางแล้ว ยังโปรดเกล้าฯ ริเริ่มให้มีการหล่อพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาขึ้นอีกด้วย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงเล่าเรื่องนี้ตามที่ทรงรับรู้มา ในพระราชนิพนธ์ “พระราชพิธี ๑๒ เดือน” ว่าการทั้งนี้เป็นเหมือน “ส่วนขยาย” ของธรรมเนียม “รับเทวดา” ตามคติมหาทักษา
“การเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าแผ่นดินเล่า แต่เดิมมาก็ไม่มีแบบอย่างที่กล่าวถึงอย่างหนึ่งอย่างใด นอกจากรับเทวดาคราวหนึ่ง ต่อมาถึงในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมาเกิดสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา เป็นบำเพ็ญพระราชกุศลในการเฉลิมพระชนมพรรษาทุกปี แต่ก็ไม่ตรงตามกำหนดวันที่บรรจบรอบ ตามสุริยคติกาลหรือจันทรคติกาลอย่างหนึ่งอย่างใด ลงลัทธิล่วงเข้าถึงปีใหม่ นับว่าพระชนมพรรษาเจริญขึ้นอีกปีหนึ่ง ก็สร้างขึ้นอีกองค์หนึ่ง”
ธรรมเนียมการหล่อพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาห่างหายไปในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ก่อนได้รับการรื้อฟื้นขึ้นใหม่ในตอนต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อปี ๒๔๑๓ นับแต่นั้นมาจึงจัดให้มีพระราชพิธีฉลองพระชนมพรรษา คือการฉลองพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา ที่หล่อขึ้นใหม่ในแต่ละปี ดังที่ทรงเล่าไว้ใน “พระราชพิธี ๑๒ เดือน” อีกว่า
“การฉลองพระชนมพรรษาแต่ก่อน ทำที่พระที่นั่งอนันตสมาคม พระพุทธรูปพระชนมพรรษาปีเก่าๆ ตั้งบนพระที่นั่งเศวตฉัตร แต่องค์ที่หล่อใหม่นั้น ตั้งบนพานทองสองชั้น แล้วตั้งบนโต๊ะจีน อยู่ตรงหน้าพระแกล ตรงพระที่นั่งบรมพิมานลงมาที่พระแท่นถม (เดิมตั้งอยู่ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม หน้าพระที่นั่งเศวตฉัตร) ตั้งเทียนบูชาเท่าองค์พระพุทธรูป”
ตัวอย่างเช่นในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ปี ๒๔๒๘ ดังที่มีบันทึกไว้ใน “จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน”
“สมเด็จกรมพระได้จัดการในพระที่นั่งบรมราชสถิตมโหฬาร เบื้องซ้ายพระที่นั่งอัฐทิศนั้น ตั้งพระแท่นมณฑล ในพระแท่นนั้นตั้งบุศบกงา ทรงพระพุทธบุศยรัตนน้อยและตั้งพระชัยรัชชกาลปัตยุบัน พระพุทธรูปประจำปีพระชนม์พรรษา พานหีบพระสุพรรณบัฏและพระเต้าต่างๆ เป็นอันมาก และผูกธงชัยพระกันภิรมย์เครื่องมงคลต่าง ๆ ตามธรรมเนียม และตั้งเครื่องนมัสการเครื่อง ๕ และขวดประดับดอกไม้เป็นอันมาก เบื้องขวาพระที่นั่งอัฐทิศตั้งพระแท่นไม้ลายทอง มีม่านแพรขาวประดับดอกไม้สดโดยวิจิตรสะอาดในพระแท่นตั้งพระชัยรัชชกาลที่ ๔ พระชัยเนาวโลหและพระพุทธรูปนาคปรก และรูปพระเสาร์เทวบุตรซึ่งสมมุติว่าประจำรักษาพระชนม์พรรษาตามคัมภีร์มหาทักษา และพระพุทธรูปยืนห้ามสมุทรและรูปพระจันทรเทวบุตร์ ซึ่งนิยมนับว่าแทรกรักษาพระชนม์พรรษาตามวิธีโหราศาสตร์ และมีเทียนธูปฉัตรธงรายในพระแท่นหน้าพระแท่นเท่ากำลังเทวดาทั้งสององค์”
ข้อความจาก “จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน” ที่ยกมานี้ ยังทำให้เราเห็นอีกด้วยว่า ในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ยังมีการตั้งรูปเทวดาตามคติมหาทักษา ทั้งที่รักษาพระชนมพรรษา คือ “พระเสาร์เทวบุตร” กับเทวดาที่ “แทรกรักษาพระชนมพรรษา” คือ “พระจันทร์เทวบุตร์” พร้อมด้วยพระพุทธรูปนาคปรก สำหรับพระเสาร์ และพระพุทธรูปยืน ปางห้ามสมุทร สำหรับพระจันทร์