
จุดศูนย์กลางของสัตตมหาสถาน คือโพธิบัลลังก์ สถานที่ตรัสรู้ แวดล้อมด้วย “มหาสถาน” อีกหกแห่ง ในทิศต่างๆ อีกหกทิศ ดังนั้นจึงมีแผนผังใกล้เคียงกับตำแหน่งประจำทิศทั้งแปดของเทวดานพเคราะห์ตามคติมหาทักษาอยู่แล้ว เพียงแต่จำนวนยังไม่เท่ากันเสียทีเดียว
ต่อจากนี้ ผู้เขียนจะขอ “ทดลอง” นำเอาแผนผังสัตตมหาสถาน มาวางทาบกับตำแหน่งของเทวดานพเคราะห์ แล้วซ้อนทับด้วย “พระประจำวัน” ดังที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
เริ่มจากจุดศูนย์กลาง คือโพธิบัลลังก์ ตรงกับตำแหน่งของพระเกตุ เทพผู้สถิตอยู่ในทิศท่ามกลาง พระพุทธรูปที่ถูกเลือกมาสำหรับพระเกตุ ได้แก่ พระพุทธรูปปางสมาธิ ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ตำแหน่งนี้อาจใช้หมายถึงสถานที่ตรัสรู้ สัตตมหาสถานแห่งแรก ในสัปดาห์ที่ ๑
จากนั้นคือตำแหน่งของพระอาทิตย์ ซึ่งเริ่มต้นนับจากทิศพายัพ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ) ตรงกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ ๒ ณ อนิมิสเจดีย์ คือสัตตมหาสถานแห่งที่ ๒ รวมถึงตรงกับพระพุทธรูปปางถวายเนตร อันเป็น “พระประจำวัน” สำหรับวันอาทิตย์
เวียนขวาต่อมา คือพระจันทร์ ตำแหน่งทิศอุดร (ทิศเหนือ) ตามลำดับแล้วควรเป็นสัตตมหาสถานแห่งที่ ๓ คือรัตนจงกรมเจดีย์ หากแต่พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรที่ถูกเลือกมาสำหรับพระจันทร์ ดูเหมือนยังไม่ตรงกันนัก
ถัดไปคือพระอังคาร ในตำแหน่งทิศอีสาน (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ) ซึ่งควรจะตรงกับรัตนฆรเจดีย์ สัตตมหาสถานอันดับ ๔ ทว่าพระพุทธรูปที่ถูกเลือกมา กลับเป็นพระพุทธไสยาสน์ ในอาการนอน ซึ่งดูไม่สอดคล้องกันเท่าใดอีก
ส่วนพระพุธ ทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) พระพุทธรูปที่ถูกเลือกมาสำหรับพระพุธคือพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ซึ่งไม่น่าเกี่ยวข้องกับสัตตมหาสถานแห่งที่ ๕ หรืออัชปาลนิโครธนัก ทว่าหากยึดโยงกับทิศอย่างตายตัว พบว่าสามารถให้มีความหมายว่าเป็นสัตตมหาสถานแห่งที่ ๗ คือราชายตนะ ในเหตุการณ์เมื่อพระพุทธองค์ทรงประสานบาตรที่ท้าวจตุโลกบาลถวายมาให้รวมกันเป็นใบเดียวก็ได้
ถัดมาเป็นตำแหน่งของพระเสาร์ ทิศอาคเนย์ (ทิศตะวันออกเฉียงใต้) ซึ่งตรงกับทิศของสัตตมหาสถานแห่งที่ ๖ ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ ยิ่งกว่านั้น พระพุทธรูปสำหรับพระเสาร์ได้แก่พระพุทธรูปปางนาคปรก ซึ่งถูกต้องตามเรื่องของมุจลินท์
สัตตมหาสถานแห่งสุดท้าย อันดับที่ ๗ คือราชายตนะ ซึ่งคัมภีร์ระบุว่าอยู่ทางทิศทักษิณ (ทิศใต้) ตรงกับตำแหน่งของพระพฤหัสบดี ทว่าพระพุทธรูปสำหรับพระพฤหัสบดี กลับเป็นปางสมาธิ ซึ่งมิได้มีความหมายเฉพาะเจาะจง น่าคิดว่าหากจับคู่ราชายตนะกับพระพุทธรูปปางรำพึง สำหรับพระศุกร์ ก็อาจนับเนื่องว่าเป็นเนื้อหาของพุทธประวัติที่สืบเนื่องกับราชายตนะได้
ยังเหลือพระพุทธรูปปางป่าเลไลย์ หรือปาลิไลยก์ สำหรับพระราหู ในทิศหรดี (ทิศตะวันตกเฉียงใต้) อีกปางหนึ่ง
น่าสนใจว่าปางนี้ไม่อาจสงเคราะห์เข้าในเนื้อหาของสัตตมหาสถานได้เลย จึงขอเสนอเป็นข้อสันนิษฐาน ว่าเนื่องจากสัตตมหาสถานหกแห่งโดยรอบโพธิบัลลังก์ มีจำนวนน้อยกว่าเทวดาประจำทิศทั้งแปด พระพุทธรูปปางป่าเลไลย์จึงอาจเป็นปางที่ไป “ขอยืม” มาจาก “อัฐมหาสถาน” สถานที่สำคัญแปดแห่งในพุทธประวัติ ซึ่งคัมภีร์กล่าวว่าอยู่วงนอก ถัดจากสัตตมหาสถานออกไปอีกชั้นหนึ่ง
อัฐมหาสถานประกอบด้วยสังเวชนียสถานสี่ตำบล คือสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน กับสถานที่ซึ่งทรงแสดงมหาปาฏิหาริย์อีกสี่แห่ง อันได้แก่เรื่องปาลิไลยก์ เมื่อทรงหลีกลี้ความขัดแย้งในหมู่สงฆ์ไปพำนักในป่า แล้วได้รับอุปัฏฐากจากพระยาช้างและลิง ตอนทรมานช้างธนปาลหัตถี เมื่อทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ และเมื่อเสด็จไปเทศนาโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
สรุปได้ว่าเมื่อนำเอาผังสัตตมหาสถานมาซ้อนด้วยเทพนพเคราะห์/พระพุทธรูปประจำวันแล้ว (โดยทดไว้ว่าไม่ต้องเคร่งครัดกับทิศตามคัมภีร์นัก) ปรากฏว่ามีจำนวนราวครึ่งหนึ่งที่ตรงกับเหตุการณ์ในเจ็ดสัปดาห์นั้น คืออนิมิสเจดีย์/ปางถวายเนตร มุจลินท์/ปางนาคปรก ราชายตนะ/ปางอุ้มบาตรและปางรำพึง กับมีปางป่าเลไลย์ที่ขอยืมมาจากชุดอัฐมหาสถาน เนื่องจากจำนวนไม่เท่ากันดังกล่าวมาแล้ว