จากบรรณาธิการ ฉบับที่ 486 - พิพิธิภัณฑ์ภาพถ่าย

ปี ๒๕๒๘ เป็นปีแรกที่ สารคดีจัดพิมพ์เผยแพร่ ปีนี้จึงถือว่าขึ้น ปีที่ ๔๑ แล้ว

ออกนิตยสารทุก ๆ เดือนกันมาได้สัก ๔-๕ ปี ช่างภาพ สารคดี ก็ถ่ายภาพบันทึกสังคมไทยในแง่มุมต่าง ๆ มาเป็นร้อยเรื่อง สารคดี จึงเริ่มตั้งฝ่ายวิชาการ มีบทบาทหน้าที่ด้านหนึ่ง คือการค้นคว้าหา ข้อมูลสำหรับการจัดทำสารคดี และดูแลจัดเก็บเอกสารต่าง ๆ ที่ได้ จากการค้นคว้า ทั้งในรูปหนังสือที่นักเขียนซื้อมาใช้อ้างอิง รวมถึง แฟ้มเอกสารข้อมูลที่ขอถ่ายสำเนามาจากห้องสมุด หรือหน่วยงาน ต่าง ๆ และยังมีหน้าที่อีกด้าน คือการดูแลเก็บรักษาภาพฟิล์มสไลด์ ตั้งแต่การลงทะเบียนแฟ้ม การตัดภาพที่คัดเลือกแล้วว่าคุณภาพดี มาใส่เมานต์ (mount) และบรรจุในกล่องที่ตั้งหมายเลข ทำทะเบียน ภาพ เพื่อให้สืบค้นได้ภายหลัง

ยิ่งทำงานผ่านไปแต่ละปี งานจัดเก็บทั้งเอกสารและภาพ สไลด์ก็ยิ่งพอกพูน เกินกว่ากำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการ ต้องตั้งเป็นห้องสมุดสารคดี มีบรรณารักษ์ห้องสมุดและชั้นวางหนังสือเจ้าหน้าที่ฝ่ายสไลด์และตู้เก็บสไลด์ มาทำงานกันจริงจัง

ไม่แน่ใจว่านิตยสารหัวอื่นในยุคนั้นจะมีห้องสมุดแบบ สารคดี หรือเปล่า แต่ที่ สารคดี เราให้ความสำคัญมาก เพราะสมัยนั้นยัง ไม่มีกูเกิล การมีห้องสมุดของเราเองช่วยสนับสนุนการค้นคว้าของ นักเขียนได้อย่างดี โดยเฉพาะการเก็บรักษาภาพถ่ายที่ สารคดีลงทุน ลงแรงและเวลาในการตระเวนถ่ายภาพมาแทบทั่วประเทศ

ถึงยุคคอมพิวเตอร์ เราก็เริ่มพัฒนาระบบฐานข้อมูลใน คอมพิวเตอร์ จัดเก็บว่าในนิตยสาร สารคดี ทำเรื่องอะไรไว้บ้าง (ปัจจุบันกลายเป็น Sarakadee e-Library) และรายชื่อหัวเรื่องภาพถ่าย ที่เราเคยถ่ายไว้ช่วยการสืบค้น เพราะจำนวนมากเกินบรรณารักษ์ จะจดจำ หากมีใครมาถามว่าอยากใช้ภาพที่เคยถ่ายจากเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็สามารถค้นหาให้ได้

ต่อมาเราเริ่มเปิดให้บริการเช่าภาพสไลด์กับคนภายนอกเพื่อนำไปทำหนังสือ ปฏิทิน นิทรรศการ ฯลฯ จึงเปลี่ยนชื่อหน่วยงานให้ จริงจังขึ้นอีกว่า ศูนย์ข้อมูลสารคดี

จนกระทั่งเข้าสู่ยุคกล้องถ่ายภาพดิจิทัล ซึ่งก็ใช้เวลาเปลี่ยน ผ่านหลายปี กว่ากล้องถ่ายภาพดิจิทัลจะมีคุณภาพทัดเทียมกล้อง ถ่ายภาพฟิล์ม นับจากนั้นก็ไม่มีฟิล์มสไลด์ให้ศูนย์ข้อมูลฯ จัดเก็บ เพิ่มอีก

ภารกิจใหม่ที่สำคัญยิ่งยวด คือการสแกนฟิล์มสไลด์ที่ถ่ายกัน มา ๒๐-๑๓๐ ปี เป็นไฟล์ดิจิทัล รวมถึงภาพถ่ายของวารสาร เมือง โบราณ ซึ่งมีอายุอานามเก่าแก่กว่า สารคดีสัก ๑๐ ปี เกิดการรวม ศูนย์ข้อมูลเมืองโบราณเข้ากับศูนย์ข้อมูลสารคดี เป็น “ศูนย์ข้อมูล สารคดี เมืองโบราณ” โดยลงทุนติดตั้งระบบเซิฟเวอร์สำหรับระบบ ฐานข้อมูลจัดเก็บรักษาภาพถ่ายไฟล์ดิจิทัล

ทั้งหมดใช้งบประมาณไม่น้อย ทั้งด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เครื่องสแกนภาพแบบดรัม (drum scanner) ที่มีคุณภาพสูง (จะเป็น รองก็แค่เครื่องสแกนของร้านแยกสีทำเพลด) สแกนกันมาเรื่อย ๆ จนเครื่องเสีย ซ่อมแล้วซ่อมอีกจนหาอะไหล่ไม่ได้ ถึงปัจจุบันต้องใช้ เครื่องแบบแท่นนอน หรือแฟลตเบต (flatbed) ที่ยังมีจำหน่าย

การสแกนภาพฟิล์มสไลด์ถือเป็นงานที่ต้องอดทนอย่างยิ่ง ตั้งแต่แกะฟิล์มสไลด์ออกจากเมานต์ ทำความสะอาด ติดตั้งบน กระจกดรัมหรือแท่นวางฟิล์ม ตั้งค่าเครื่องสแกน เปิดการทำงานและ รอให้เครื่องสแกนสำเร็จ รวม ๆ ใช้เวลาแต่ละรอบเป็นสิบ ๆ นาที ไม่นับกลิ่นฟิล์มเก่าและน้ำยาเช็ดทำความสะอาดฟิล์มที่ชวนให้ เวียนหัว หลังจากได้ไฟล์ภาพแล้วก็ต้องมาตรวจสอบคุณภาพ เบื้องต้น และตั้งชื่อภาพ ทำทะเบียน

ถึงปีที่ ๔๑ ของ สารคดี ภาพฟิล์มสไลด์สีและขาวดำสำคัญๆ ทั้งของวารสาร เมืองโบราณ และนิตยสาร สารคดี รวมกว่า ๓ แสน ภาพ เราสแกนเป็นไฟล์ดิจิทัลไว้หมดแล้ว ยังเหลือภาพที่ยังไม่สแกน อีกจำนวนหนึ่ง

ขอขอบคุณพนักงานและเจ้าหน้าที่ทุก ๆ คนที่เคยเข้ามามี ส่วนร่วมในภารกิจอันยาวนาน น่าจะไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี

ตอบไม่ได้ว่าคุณค่าของสิ่งที่ สารคดีเก็บรักษาไว้ จะคำนวณ เป็นมูลค่าเท่าไร แต่ทั้งหมดคือการเก็บรักษาบันทึกสังคมไทยในมิติ ต่าง ๆ ในช่วงเวลากว่า ๔๐ ปี ผ่านภาพถ่ายแนวสารคดี โดยฝีมือคนไทย

หากเป็นพิพิธิภัณฑ์ภาพถ่าย ก็คงเหลือภารกิจของคิวเรเตอร์ ในการจัดแสดงภาพที่เก็บสะสมไว้ ได้แต่หวังว่าจะมีโอกาสนั้น

สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ
บรรณาธิการบริหารนิตยสาร สารคดี