
พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร นิยมสร้างสำหรับผู้ที่เกิดวันพุธ เวลากลางวัน หมายเอาช่วงเวลาตั้งแต่ย่ำรุ่งคือ ๖ นาฬิกา ถึงย่ำค่ำ ๑๘ นาฬิกา
ในตำราพระพุทธรูปปางต่างๆ ของกรมศิลปากร ร้อยเรียงเรื่องราวให้พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องตามพุทธประวัติโดยมีลำดับพระพุทธรูปปางอื่นๆ ก่อนหน้า คือ
“ปางประทับเรือขนาน” เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา ปรารถนาจะพบพระราชโอรส จึงโปรดฯ ให้อำมาตย์ไปทูลเชิญพระพุทธองค์มายังกรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อเสด็จมาสุดแดนแคว้นมคธมีลำน้ำใหญ่ เจ้าพนักงานจึงเชิญเสด็จประทับเรือขนานข้ามแม่น้ำเข้าสู่กรุงกบิลพัสดุ์
“ปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์” เมื่อเสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์ พระพุทธบิดาพร้อมด้วยเจ้านายศากยวงศ์พากันมาเฝ้า แต่มีผู้แสดงอาการกระด้างกระเดื่อง ไม่ยอมทำความเคารพ ด้วยเห็นว่าพระพุทธเจ้ามีอายุอ่อนกว่าตน พระพุทธองค์จึงต้องแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ทรมาน โดยเหาะขึ้นบนอากาศ เนรมิตทางเดินจงกรมแก้วแล้วเสด็จดำเนินจงกรม อยู่เหนือเศียรของเจ้านายศากยวงศ์ ณ กาลนั้นเอง ฝนโบกขรพรรษก็ตกลงท่ามกลางมหาสมาคมแห่งพระประยูรญาติ ผู้ใดปรารถนาจะให้เปียกก็จะเปียก แม้ผู้ใดมิปรารถนาให้เปียก ฝนตกต้องกายก็จักไม่เปียก
“ปางอุ้มบาตร” เมื่อพระประยูรญาติละพยศแล้ว จึงทรงแสดงธรรมโปรดหมู่เจ้านายศากยวงศ์ พระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา ทรงบรรลุโสดาปัตติผล ครั้นรุ่งเช้า พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกจึงทรงบาตรจีวรออกบิณฑบาตในกรุงกบิลพัสดุ์ โดยลำดับบ้านไม่มีเว้น มิได้เลือกว่ายากดีมีจน ไพร่บ้านพลเมืองต่างชื่นชมพระพุทธบารมีโดยถ้วนทั่ว
พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรเป็นพระพุทธรูปยืน พระหัตถ์ทั้งสองประคองบาตร ทว่าเนื่องจากบาตรมักสร้างขึ้นแยกต่างหากจากองค์พระ จึงมักพบพระพุทธรูปปางนี้จำนวนไม่น้อยที่บาตรสูญหายไปแล้ว แต่เรายังสามารถระบุปางได้จากอากัปกิริยาของพระหัตถ์ทั้งสอง
บางครั้ง ตัวบาตรอาจทำขึ้นด้วยวัตถุมีค่าต่างหากเป็นการเฉพาะ เช่นที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงเล่าในพระราชนิพนธ์ “พระราชกรัณยานุสร” ว่าเมื่อตอนปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรด้วยทองคำขึ้นสององค์ เพื่ออุทิศเป็นพระราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระอัยกา คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ กับพระบรมชนกนาถ คือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ซึ่งล้วนมีพระประสูติกาลในวันพุธ โดย “บาตรนั้นใช้ศิลาทองเมืองจีน มีฝาทำด้วยทองคำลงยาราชาวดี”
พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรองค์ที่เป็นที่รู้จักและนับถือศรัทธากันอย่างกว้างขวาง คือ “หลวงพ่อวัดบ้านแหลม” พระพุทธรูปโลหะ ขนาดสูงราว ๒.๘๐ เมตร ประดิษฐานที่วัดเพชรสมุทรวรวิหาร หรือ “วัดบ้านแหลม” อำเภอเมือง สมุทรสงคราม มีตำนานว่าเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีชาวประมงจากบ้านแหลม เมืองเพชรบุรี อพยพหลบหนีข้าศึกมาทำมาหากินอยู่ทางเมืองแม่กลอง ชาวประมงพวกนี้ลากอวนได้พระพุทธรูปมาสององค์ องค์หนึ่งแบ่งให้ชาวบ้านบางตะบูน เพชรบุรี นำไปประดิษฐานที่วัดเขาตะเครา รู้จักกันในนาม “หลวงพ่อวัดเขาตะเครา” มาจนทุกวันนี้ ส่วนอีกองค์หนึ่ง พวกประมงบ้านแหลมนำมาถวายไว้ที่วัดศรีจำปา แล้วจัดการบูรณะวัดขึ้นใหม่ เปลี่ยนนามตามภูมิลำเนาเดิมของตนว่า “วัดบ้านแหลม” พระพุทธรูปองค์นี้จึงมีนามเรียกขานกันว่า “หลวงพ่อวัดบ้านแหลม”
แต่เมื่อแรกที่ได้มา “หลวงพ่อวัดบ้านแหลม” ก็ไม่มีบาตรในพระหัตถ์แล้ว ภายหลัง “สมเด็จวังบูรพา” หรือสมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช จึงได้ถวายบาตรแก้วสีน้ำเงินเป็นพุทธบูชา
ส่วนในกรุงเทพฯ พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรองค์ใหญ่โตที่สุด คงไม่มีองค์ไหนเกิน “หลวงพ่อโต” วันอินทรวิหาร หรือ “วัดอินทร์บางขุนพรหม” ที่ริเริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ แต่กว่าการจะมาสำเร็จเสร็จสิ้นก็ล่วงถึงสมัยรัชกาลที่ ๗ แล้ว