มหาทักษา 56 - พระพุทธรูปประจำวันเสาร์ ปางนาคปรก

พระพุทธรูปปางนาคปรกเป็นพระพุทธรูปที่ใช้ในพิธีทักษาเมื่อพระเสาร์เข้าเสวยอายุ หรือเข้าแทรก แล้วจึงกลายมาเป็นพระประจำวันสำหรับผู้เกิดวันเสาร์ ในเวลาต่อมา

พระพุทธรูปปางนี้มีเรื่องราวอ้างอิงจากพุทธประวัติช่วงเจ็ดสัปดาห์ภายหลังจากที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ คือเมื่อถึงสัปดาห์ที่ ๖ ระหว่างที่เสด็จไปประทับ ณ ใต้ต้นจิก หรือต้นมุจลินท์ ทางตะวันออกของต้นพระศรีมหาโพธิ์ เกิดพายุฝนกระหน่ำตลอด ๗ วัน ๗ คืน พระยานาคมุจลินท์ผู้อาศัยอยู่ในสระน้ำใกล้เคียงกับต้นจิก แลเห็นดังนั้นจึงขึ้นจากน้ำมาใช้ร่างกายของตนปกป้องพระพุทธเจ้า ด้วยการม้วนขนด (ลำตัวงูที่ม้วนขดเป็นวง) ห้อมล้อมพระพุทธสรีระ ๗ รอบ พร้อมกับแผ่พังพานไว้คอยปกป้องพระเศียรมิให้ต้องลมฝน

โดยทั่วไปแล้ว พระพุทธรูปปางนาคปรกจะสร้างเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ อยู่ในอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ (มือ) ทั้งสองวางหงายซ้อนกันเหนือพระเพลา (ตัก) และด้วยเหตุผลเชิงสุนทรียะ แทนที่จะทำลำตัวนาคขดกายรอบพระพุทธองค์ ช่างไทยนิยมสร้างพระพุทธรูปปางนี้ให้ประทับอยู่เหนือขนดนาค คืดดูเหมือนกับมีลำตัวนาคเป็นบัลลังก์ โดยมีพังพานนาคอยู่ถัดไปทางเบื้องหลังพระเศียร และมักนิยมทำเป็นพระยานาคที่มีเศียรเป็นจำนวนคี่ เช่น ๕ หรือ ๗ เศียร

ในเมืองไทยนิยมสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรกกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยทวารวดีเมื่อพันปีก่อน มาจนถึงสมัยลพบุรี หรือแบบอิทธิพลศิลปะเขมร กระทั่งถึงยุครัตนโกสินทร์

แต่ยังพบรูปแบบปลีกย่อยอื่นๆ ของพระพุทธรูปปางนาคปรกด้วย เช่น พระพุทธรูปนาคปรก ที่สร้างขึ้นโดยวางพระหัตถ์ในปางมารวิชัย เช่นพระชินศรี พระพุทธรูปประธานประจำมุขหน้า พระวิหารทิศตะวันตก วัดพระเชตุพน

แต่เฉพาะพระชินศรีนี้ มีที่มาเนื่องจากเป็นการนำเอาพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย ที่อัญเชิญจากสุโขทัยในสมัยรัชกาลที่ ๑ มาประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก ด้วยการสร้างขนดนาค เศียรพระยานาค รวมถึงพุ่มพฤกษ์ของต้นมุจลินทร์ (ต้นจิก) เสริมเข้าไป ให้ครบตามเนื้อเรื่องพุทธประวัติ โดยมิได้เป็นพระพุทธรูปนาคปรกมาแต่เดิม

ขณะเดียวกัน ยังมีตัวอย่างว่าคตินิยมในการสร้างพระพุทธรูปนาคปรก ซึ่งวางพระหัตถ์ในลักษณะของปางมารวิชัย เคยปรากฏมาก่อนหน้านี้หลายร้อยปีแล้ว เช่นพระพุทธรูปนาคปรกสำริด ซึ่งพบที่วัดหัวเวียง หรือวัดเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อันมีจารึกที่ฐานว่าหล่อขึ้นเมื่อปีมหาศักราช ๑๑๐๕ (พ.ศ. ๑๗๒๖) และถือเป็นตัวอย่างสำคัญของพระพุทธรูป “แบบศรีวิชัย”

รวมทั้งยังพบพระพุทธรูปนาคปรกแบบนี้ทั่วไปตามวัดในพม่า จึงไม่อาจกล่าวได้ง่ายๆ ว่าเป็นเพียง “ความผิดพลาดของช่าง” หรือเป็น “คติเกิดใหม่” เพียงแต่ ณ ขณะนี้เรายังไม่ทราบที่มาที่ไปแน่ชัด

นอกจากนั้นยังมีพระพุทธรูปปางนาคปรกที่เป็นแบบแปลกออกไปจากที่เคยเห็นกันบ่อยๆ เช่นทำเป็นขนดนาคห่อหุ้มห้อมล้อมพระวรกายของพระพุทธองค์ และมีพังพานนาคปกแผ่เหนือพระเศียร อันถือได้ว่าตรงตามความในคัมภีร์ และเป็นลักษณะเก่าแก่ที่สุดของพระพุทธรูปนาคปรกซึ่งเริ่มต้นขึ้นในศิลปะอินเดีย

ใครที่ไม่เคยเห็นพระพุทธรูปปางนาคปรกแบบนี้ สามารถไปสักการะได้ ณ พระวิหารหลวง วัดสุทัศนเทพวราราม ย่านเมืองเก่ากรุงเทพฯ