วรัชยา สุริยะพันธุ์ : เรื่อง
ต้นกล้า สิทธิเวช : ภาพ

หากเดินทางจากสะพานมอญ แลนด์มาร์กของอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เข้าไปยังฝั่งหมู่บ้านมอญ ผ่านตลาด วัดวังก์วิเวการามและบ้านเรือนชาวมอญออกไปอีกราว 10 กิโลเมตร ความวุ่นวายของสถานที่ท่องเที่ยวจะเปลี่ยนเป็นความสงบของบ้านเรือนซึ่งแออัดน้อยลง
จากนั้นหากเลาะผ่านตรอกซอกซอยขนาดเล็กที่มีต้นไม้ใบหญ้าขนาบสองฝั่งถนนไปถึงสุดซอย บางครั้งจะมีเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะของหนุ่มสาวชาวมอญดังจากกลุ่มอาคารชั้นเดียว
นี่คือที่ตั้งของ “ศูนย์วัฒนธรรมมอญ สังขละบุรี” แหล่งรวมความภาคภูมิใจของชาวชาติพันธุ์ในอำเภอสังขละบุรี ซึ่งหยั่งรากลึกและเบ่งบานให้คนนอกได้ชื่นชมเป็นบุญตา


จากใบลานสู่ Database
กลางศูนย์วัฒนธรรมฯ มีอาคารหลังเล็กสุดตั้งอยู่ ป้ายไม้เหนือประตูเขียนว่า “ศูนย์สินค้าที่ระลึก” แต่เมื่อเข้าไปแล้วกลับมีตำราและงานวิจัยเกี่ยวกับชาวมอญจำนวนมาก เพราะที่นี่ยังเป็นสำนักงานย่อยซึ่งใช้เก็บเอกสารสำคัญ และเป็นที่พักผ่อนของชาวมอญสูงอายุผู้ยิ้มแย้มตลอดเวลา
เขาคือ “มนชัย” ผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมฯ และ “สุริยา” หนึ่งในสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง
“ตอนที่ตั้งศูนย์ฯ เมื่อ 12 ปีที่แล้วเรามีแค่โครงการทำหนังสือโบราณ”
มนชัยเอ่ยแล้วชี้ไปยังชั้นหนังสือเก่า ๆ ตรงมุมสำนักงาน ตู้หนึ่งมีหนังสือปกแข็งเล่มหนาบางสลับกันไป แต่ถัดไปอีกตู้คือหนังสือใบลานและหนังสือเก่าจนเหลืองกรอบใกล้ขาดเขียนด้วยภาษามอญโบราณ
หนังสือใบลานเป็นจดหมายเหตุบันทึกประวัติศาสตร์ชาติมอญและวีรกรรมของวีรชนผู้ล่วงลับ ส่วนหนังสือเป็นบันทึกถึงวิถีชีวิตประจำวันของชาวมอญ
“หนังสือส่วนใหญ่ได้จากคนมาบริจาคให้ ถ้ายังพออ่านได้ก็จะใช้วิธีการสแกนเป็นเอกสาร ถ้าเป็นภาษาโบราณ อาจารย์ (มนชัย) จะเป็นคนแปล ส่วนฉันมีหน้าที่พิมพ์ลงคอมพิวเตอร์ให้เป็นเอกสารขนาด Legal เก็บไว้รอทำเป็นหนังสือต่อไป” สุริยาเล่าเบื้องหลัง
มนชัยเสริมว่าปัจจุบันโครงการแปลหนังสือชะลอการทำงานลง เพราะศูนย์วัฒนธรรมฯ พัฒนาโครงการอื่นขึ้นมาหลายอย่าง บวกกับการเข้ามาของอินเทอร์เน็ต ทำให้ผลงานส่วนใหญ่นำมาเผยแพร่บนโลกออนไลน์หรือเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล (Database) ในระบบของศูนย์วัฒนธรรมฯ มากกว่าการตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม ถึงจะเสียดายอยู่บ้าง แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็แสดงให้รู้ว่าท่านภูมิใจกับจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่สมาชิกรุ่นบุกเบิกสละหยาดเหงื่อเพื่อเป็นรากฐานอันมั่นคงของวัฒนธรรมมอญ
กระบวนการนำคำแปลเข้าระบบคอมพิวเตอร์เป็นอีกขั้นตอนที่น่าสนใจ สุริยานำทางไปยังห้องทำงาน มีหญิงสาวนั่งแปลเอกสารด้วยแล็ปท็อปแป้นพิมพ์ภาษาอังกฤษ เธอพิมพ์คำอ่านเป็นภาษาอังกฤษ แล้วให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลออกมาเป็นอักษรมอญบนหน้าจอ เนื่องจากแป้นพิมพ์ยังไม่รองรับภาษามอญ
เธอชื่อ มงยิน โท่วมอง นักศึกษาชาวมอญที่ข้ามประเทศมาเป็นคลื่นลูกใหม่ และยังเป็นนักร้องนำวงปี่พาทย์มอญประจำศูนย์วัฒนธรรมฯ แห่งนี้



ขับขานบทเพลง เครื่องดนตรีบรรเลงกึกก้อง
ยามบ่ายวงปี่พาทย์มอญประจำศูนย์วัฒนธรรมฯ จะซ้อมบรรเลงพร้อมนักแสดง บทเพลงที่ใช้แสดงนั้นมีเสน่ห์ ทั้งท่วงทำนองจากตะโพน กรับ และฆ้องวงเป็นเครื่องให้จังหวะ ระนาดกับจะเข้ (รูปรทรงเป็นจระเข้) เป็นเครื่องดนตรีนำ ผสมผสานกันเป็นจังหวะเนิบช้าแต่ทรงพลัง ยิ่งมีผู้รำใส่ชุดชาวมอญสีแดงขาว และเสียงใสไพเราะของมงยินข้างเวทีคอยบอกเล่าบรรยากาศอันสวยงามและอาหารของรัฐมอญแล้ว ยิ่งชวนให้ผู้ชมยิ้ม ราวกับได้ไปเยี่ยมบ้านเกิดของพวกเขา
มงยินพูดภาษาอังกฤษคล่องจนทำลายกำแพงภาษาระหว่างฉันกับเธอได้เกือบหมด ด้วยวัย 20 กว่า ๆ ใกล้เคียงกัน บทสนทนาจึงไหลลื่นจนฉันเผลอเรียกเธอว่า “พี่มงยิน”
“ก่อนมาอยู่ที่นี่ฉันเรียนจบปริญญาตรีด้านสัตววิทยาที่รัฐมอญค่ะ”
“เดี๋ยว พี่พลิกจากนักสัตววิทยามาเป็นนักร้องได้ไง หนูงงไปหมดแล้ว”
เราหัวเราะให้กันราวกับเป็นเพื่อนกันมานาน จากนั้นมงยินจึงเริ่มเล่าเส้นทางชีวิตให้ฟัง
ชีวิตวัยรุ่นของเธอก็เหมือนหนุ่มสาวชาวมอญทั่วไป เธอสนใจเรื่องสัตว์จึงตัดสินใจเรียนปริญญาตรีด้านสัตววิทยาที่รัฐมอญ แต่เมื่อเรียนจบแล้วกลับไม่สามารถหางานตรงสายได้ จึงได้รับคำเชิญชวนจากญาติให้เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อทำงานที่ศูนย์วัฒนธรรมมอญ สังขละบุรี
“ตอนแรกฉันไม่ได้ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมของตัวเองเลย ฉันแค่รู้ว่าฉันชอบร้องเพลง”
เริ่มแรกเธอไม่ได้มีไฟแรงกล้าในการสานต่อวัฒนธรรมมอญอย่างผู้ใหญ่หลายคน แต่เธอมีน้ำเสียงอันไพเราะที่สัมผัสได้
เส้นทางการเป็นนักร้องเริ่มต้นเมื่อนักร้องนำวงปี่พาทย์คนเก่าที่เธอเรียกว่า “รุ่นพี่” เห็นแววและฝึกให้เธอร้องเพลงประกอบวงปี่พาทย์มอญอย่างจริงจัง เธอฝึกอยู่ราว 1 ปี กระทั่งรุ่นพี่ต้องไปเรียนต่อ เปิดโอกาสให้มงยินได้ขึ้นเวทีในฐานะนักร้อง ตั้งแต่วันนั้นวัฒนธรรมที่ส่งผ่านเสียงเพลงก็ซึมซับเข้ามาในหัวใจทีละนิดจนกลายเป็นความฝันของเธอ
“ฉันอยากเป็นนักร้องวงปี่พาทย์มอญที่มีชื่อเสียงค่ะ ที่สำคัญคืออยากให้คนรู้จักเพลงปี่พาทย์และวัฒนธรรมของเรามากกว่านี้ด้วย”
ใบหน้ามงยินยิ้มกว้างที่สุดตอนพูดถึงความฝัน
รอยยิ้มนั้นทำให้อุ่นใจได้ว่าเสียงใสดั่งกระดิ่งเงินนี้จะอยู่คู่วงปี่พาทย์มอญประจำศูนย์วัฒนธรรมฯ แห่งนี้ไปอีกนาน


นิทานพื้นบ้าน ตำนานที่แฝงด้วยประวัติศาสตร์มอญ
จะเข้รูปจระเข้สีทองอร่ามวางอยู่บนเวทีหลังจบการแสดง เช่นเดียวกับพิณและกรับรูปจระเข้ตัวเล็กคล้ายกับเป็นแม่ลูกกัน
มงยินขอตัวไปเปลี่ยนชุดที่ใส่แสดง ฉันเลยได้แต่นั่งจ้องเครื่องดนตรีเหล่านี้แล้วตั้งสมมติฐานไปเรื่อย กระทั่งหญิงท่าทางใจดีเดินผ่านมาให้ฉันตั้งคำถามแบบเจ้าหนูจำไม
“ทำไมต้องเป็นจระเข้ใช่ไหม มันมาจากตำนานเก่าเกี่ยวกับเจ้าชายเมืองมอญที่เป็นเพื่อนกับจระเข้”
ได้ยินดังนั้นฉันก็กลายเป็นเด็กน้อยที่อยากฟังนิทานสนุกๆ จากผู้ใหญ่ชื่อ อรัญญา เจริญหงษ์ษา เลขานุการสภาวัฒนธรรมอำเภอสังขละบุรี
นิทานว่าด้วยเจ้าชายของกษัตริย์เมืองมอญที่หลงรักเจ้าหญิงซึ่งอยู่อีกฟากแม่น้ำ เจ้าชายจึงผูกมิตรกับจระเข้ตัวหนึ่งเพื่อขี่หลังข้ามแม่น้ำไปหาเจ้าหญิงจนทั้งสองชอบพอกันในที่สุด แต่วันหนึ่งระหว่างเจ้าชายขี่จระเข้ข้ามแม่น้ำตามปรกติ มีจระเข้อีกกลุ่มเข้ามารุมกัดเพื่อนรักของเขาจนตาย เจ้าชายซาบซึ้งที่จระเข้ตัวนั้นทำให้เขาได้พบรักกับเจ้าหญิงจึงให้เหล่าบริวารสร้างเครื่องดนตรีต่าง ๆ เป็นรูปจระเข้เพื่อระลึกถึงเพื่อนสนิทของตนเอง เกิดเป็นเอกลักษณ์เครื่องดนตรีมอญที่สร้างต่อกันมา
“หงส์ที่อยู่ตามเสาวัดมอญหรือที่ปักไว้บนชุดของนักแสดงก็เป็นอีกหนึ่งตำนาน” อรัญญาว่าต่อ
เมื่อสมัยครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าและพระอานนท์ได้ล่องเรือในมหาสมุทรชมพูทวีปเพื่อเผยแผ่ศาสนา ระหว่างทางทั้งสองพบเกาะเล็กๆ บนเกาะมีหงส์สองตัวยืนอยู่ด้วยขาข้างเดียว เห็นดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงยิ้มให้หงส์สองตัวนั้น พระอานนท์เกิดความสงสัยจึงถามพระพุทธเจ้าว่าเหตุใดจึงยิ้ม พระพุทธเจ้าจึงทำนายว่าในภายภาคหน้า เกาะนั้นจะกลายเป็นแผ่นดินขนาดใหญ่ มีพืชพันธุ์ธัญญาหารสมบูรณ์และเฟื่องฟูไปด้วยวัฒนธรรม อันเป็นจุดกำเนิดของชื่ออาณาจักรหงสาวดี ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า “เมืองที่มีหงส์”
ตำนานสองเรื่องนี้ไม่ใช่แค่นิทานก่อนนอนเพื่อความบันเทิง แต่แทรกไปด้วยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เข้าใจง่ายไม่น่าเบื่อ และฉันเชื่อว่านิทานเหล่านี้คือเครื่องมือชั้นดีในการถ่ายทอดเรื่องราวของบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น แต่แล้วอรัญญาก็เอ่ยบางอย่างที่สะกิดใจฉัน ใบหน้าของเลขานุการหญิงใจดีเปลี่ยนเป็นยิ้มขม
“คนมอญที่ศูนย์ฯ นี้บางคนหนีมาจากเมียนมา บางคนถึงอยู่ในไทยมาครึ่งชีวิตก็ยังไม่ได้สัญชาติไทย”
ราวกับถูกโลกความเป็นจริงกระแทกใส่หน้า ชาวมอญหลายคนที่ฉันพูดคุยด้วย รวมทั้งมนชัยและสุริยานั้น แนะนำตัวเองเพียงชื่อจริงแล้วละนามสกุลไว้ ฉันคิดไปเองว่าพวกเขาไม่ได้พูดถึง เพราะฉันไม่ได้ถามตั้งแต่แรก
ไม่ใช่เลย พวกเขาไม่ได้ลืมหรือไม่อยากแนะนำตัว แต่เพราะพวกเขาไม่มีสิทธิตั้งนามสกุล ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานคนสัญชาติไทย
อำเภอติดชายแดนอย่างสังขละบุรี มีผู้พลัดถิ่นอยู่ไม่น้อย สถานการณ์ความไม่สงบภายในเมียนมาในเวลานี้ยิ่งบีบบังคับให้ชาวเมียนมาต้องข้ามชายแดนมาตายดาบหน้าในประเทศเพื่อนบ้าน บางคนอาจต้องการที่พักพิงถาวรดังเช่นสมาชิกของศูนย์วัฒนธรรมฯ แห่งนี้ แม้จะได้รับสิทธิไม่เท่าคนสัญชาติไทย
เรื่องราวภายใต้รอยยิ้มของคนที่นี่คืออะไร คงไม่มีใครเหมาะสมที่จะตอบได้ดีกว่าสมาชิกของศูนย์วัฒนธรรมฯ แห่งนี้


ความรู้ที่ต้องหลบซ่อน
ความสงสัยพาฉันย้อนกลับไปหา มนชัย ผู้อาวุโสของศูนย์วัฒนธรรมฯ ซึ่งยินดีตอบคำถามและเล่าเรื่องราวของสมาชิกวัยนักศึกษาราว 40 คน
นักศึกษาชาวมอญแทบทั้งหมดในศูนย์วัฒนธรรมฯ กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีด้านศิลปวัฒนธรรมหรือนิเทศศาสตร์ ส่วนหนึ่งที่ได้รับทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัย เลือกเดินทางมาฝึกงานที่นี่ แต่เนื่องจากเมียนมาอยู่ในภาวะสงครามซึ่งการศึกษาถูกจัดลำดับไว้หลังความอยู่รอด หนุ่มสาวผู้ต้องการไขว่คว้าอนาคต จึงต้องเดินทางข้ามประเทศโดยยังไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล
เมื่อนักศึกษาได้รับอนุญาตจากทหารชายแดนและเดินทางมาถึงที่นี่อย่างปลอดภัย จะไม่สามารถออกจากพื้นที่อำเภอสังขละบุรีตลอดระยะเวลาการฝึกงานราว 6 เดือนถึง 1 ปี เนื่องจากไม่มีเอกสารยืนยันการเข้าเมืองจากรัฐบาลเมียนมา ระหว่างนั้นศูนย์วัฒนธรรมฯ จะช่วยจัดการเรื่องวีซาและเอกสารจำเป็นให้หากมีความประสงค์จะศึกษาต่อต่างประเทศ แต่หากต้องการกลับเมียนมาหลังฝึกงานเสร็จ ก็ยินดีประสานงานกับมหาวิทยาลัยต้นสังกัด เพื่อส่งตัวกลับไปเรียนต่อจนจบปริญญาตรี
“ทางทหารชายแดนเขาเข้าใจว่านักศึกษามาเพื่อเรียน เขาก็ให้เข้ามา” มนชัยทิ้งท้าย
ศูนย์วัฒนธรรมมอญ สังขละบุรีแห่งนี้ จึงกลายเป็นพื้นที่สีเทาทางกฎหมาย บางคนอาจพูดว่าการลักลอบเข้าประเทศเพื่อศึกษาต่อเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ขณะเดียวกันกฎหมายที่ตีความตามตัวบท อาจตัดสินว่าเป็นความผิดที่กลายเป็นภัยความมั่นคงได้ เป็นสองชุดความคิดซึ่งยังไม่มีข้อสรุปแน่นอน
“ทุกวันนี้มีรถหกล้อรับส่งนักเรียนจากชายแดนมาโรงเรียนไทยทุกวัน ถ้าใช้กฎหมายไปจับเด็กเหล่านั้นให้ติดคุกจะเกิดอะไรขึ้น” ข้าราชการคนหนึ่งในสังขละบุรีให้ความเห็น
คำตอบชัดเจนว่าเด็กเหล่านั้นก็จะหลุดออกจากระบบการศึกษา ซ้ำต่อไปยังหางานยากเนื่องจากมีประวัติอาชญากรรมติดตัวตั้งแต่เด็ก สุดท้ายพวกเขาอาจตกเข้าไปในวังวนของกิจกรรมสีเทา
“ในสถานการณ์ที่เมียนมายังคงมีความวุ่นวาย การให้การศึกษาเขา คือการให้ชีวิตใหม่”
ไม่ใช่แค่การให้ความรู้ที่นำไปพัฒนาชีวิตได้ แต่ยังหมายถึงความมั่นคงในชีวิตและสิทธิในการฝันว่าอยากเป็นอะไรในอนาคต

รอยยิ้มของชาวมอญนักสู้
ระหว่างการแสดงวงปี่พาทย์ ฉันเห็นวัยรุ่นชาวมอญรุ่นร่ายรำและเล่นดนตรีอันเป็นรากเหง้าที่ยึดโยงพวกเขาไว้ด้วยกันเมื่อต้องจากบ้านเกิด สุริยาตีระนาดซึ่งเป็นเครื่องดนตรีนำของวง เปรียบได้กับแม่ทัพหญิงผู้ห้าวหาญ กำลังนำทัพทหารรุ่นใหม่ต่อสู้กับมรสุมชีวิต เพื่อก้าวสู่อนาคตที่หนุ่มสาวทั้งหลายใฝ่หา
ศูนย์วัฒนธรรมมอญ สังขละบุรี ไม่ได้เป็นแค่แหล่งความรู้ แต่คือบ้านหลังเล็กของหนุ่มสาวผู้ต้องการคว้าอนาคตของตัวเองมาไว้ในกำมือ ฉันนึกถึงวลีที่มนชัยพูดพร้อมรอยยิ้ม
“สิ่งที่คนรุ่นผมทำ คือการรักษาไม่ให้วัฒนธรรมหายไป ส่วนคนรุ่นใหม่จะฟื้นฟูและทำให้มันงอกเงยต่อไป”
หากจะกล่าวว่า ไผ่เป็นผู้บันทึกเรื่องราวของชาวชาติพันธุ์ เป็นผู้เฝ้ามองผ่านรอยต่อแห่งกาลเวลา เป็นผู้ผ่านทุกห้วงเวลาร่วมกับชาวชาติพันธุ์ ราวกับผู้ใหญ่คนสำคัญคนหนึ่งในหมู่บ้าน ฉันเชื่อว่าก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงแต่อย่างใด
