รัก-คลั่ง จากบรรณาธิการฉบับที่ 488 Nationalism

พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ เกี่ยวกับความรัก บทหนึ่งที่หลายคนน่าจะจำได้หรือท่องได้ดีคือ

ความเอยความรัก
เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน?
เพิ่มเพาะเหมาะกลางวางหัวใจ
หรือเริ่มในสมองตรองจงดี

พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง เวนิสวานิช จากสื่อ The Merchant of Venice ของ วิลเลียม เชกสเปียร์

ส่วนอีกบทหนึ่งซึ่งน่าจะคุ้นเคยเช่นกันคือ

ความรักหมีชนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้,
ก็โลดจากคอกไป บยอมอยู่ณที่ขัง,
ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บหวลคิดถึงเจ็บกาย

พระราชนิพนธ์เรื่อง มัทนะพาธา เรื่องราวความรักสามเส้าอันเป็นตำนานแห่งดอกกุหลาบ

นอกจากความรักแบบหนุ่มสาวแล้ว ในยุคสมัยแห่ง รัชกาลที่ ๕ ต่อเนื่องมาถึงรัชกาลที่ ๖ เป็นช่วงเวลาของการสร้าง รัฐชาติ พัฒนาบ้านเมืองให้มีความเจริญเทียบเท่าชาติตะวันตก จึงเกิดการปลูกฝัง “ความรักชาติ” ผ่านอุดมการณ์ “ชาตินิยม”(Nationalism) ที่มีชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็น ศูนย์กลาง ทรงเรียกร้องให้ประชาชนมีความสามัคคี เสียสละ ประโยชน์ส่วนตน หรือแม้แต่สละชีวิตเพื่อส่วนรวม

ดังโคลงสยามานุสสติซึ่งรัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ เมื่อทรงส่งทางไปร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๑

ใครรานใครรุกด้าว แดนไทย
ไทยรบจนสุดใจ ขาดดิ้น
เสียงเนื้อเลือดหลั่งไหล ยอมสละ สิ้นแล
เสียชีพไป่เสียสิ้น ชื่อก้องเกียรติงามฯ

ในสมัยนั้นยังไม่มีนิยามคำว่า “คลั่งชาติ” ศัพท์ทางวิชาการคือ Chauvinism ซึ่งเชื่อว่าชาติตนเองเหนือกว่าชาติอื่นอย่างสุดโต่ง แสดงความรักชาติด้วยอารมณ์ที่รุนแรง ขาดเหตุผล ดั่งความรักที่ “เหมือนโคถึก…ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง” และอาจไปถึงขั้นให้ความรุนแรงกับคนเห็นต่าง

ในบริบทโลกปัจจุบันและสถานการณ์ที่ไทยเผชิญอยู่ น่าคิดว่า รักชาติ กับคลั่งชาติ อย่างไหนที่เราต้องการ

สุดทางหนึ่งน่าจะเป็นความรักชาติอย่างสร้างสรรค์ พัฒนาการศึกษา สร้างสติปัญญา รักษาและปกป้องผลประโยชน์ชาติด้วยความสามัคคีกันแก้ไขปัญหาอย่างมีสติ และด้วยสันติ

แต่อีกสุดทางหนึ่งเป็นความคลั่งชาติอย่างทำลาย ก็จะเห็นการยุยงให้เกิดความเกลียดชังรุนแรง เหยียดหยามผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งเท่ากับการทำลายความสามัคคีกันเองในชาติ

จะรักชาติแบบไหน คลั่งชาติแบบใด พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ เรื่อง พระร่วง ทรงเตือนถึง

แม้เราริษยากันและกัน
มิช้าพลันจะพากันฉิบหาย
ระวังการยุยงส่งร้าย
นั้นแหละเครื่องทำลายสามัคดี

ทว่าหากใครมีความอาฆาตมาดร้ายอย่างถึงที่สุด ก็อยากชวนให้นึกถึงพระราชนิพนธ์แปลที่น่าประทับใจใน เวนิสวานิช ว่า

อันว่าความกรุณาปรานี จะมีโดยบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
เป็นสิ่งดีสองชั้น, พลันปลื้มใจ แห่งผู้ให้และผู้รับสมถวิล

บนสเกลรักถึงคลั่ง ผู้อ่านอยู่ตรงไหน เริ่มเพาะเหมาะกลางวางหัวใจ หรือเริ่มในสมองตรองจงดี ?

สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ
บรรณาธิการบริหารนิตยสาร สารคดี