ธนภูมิ ทองรับแก้ว : เขียน
ณภัทร เหมือนโพธิ์ : ภาพ

เช้าวันฝนโปรยเมฆลอยต่ำจนแตะกลางเขาไกลสุดลูกตา เสียงแป้งปาท่องโก๋ยาวใหญ่พองตัวในน้ำมันเดือดสะท้อนเข้าหู กลิ่นหอมลอยฝ่าหยาดฝนเข้าจมูก คลอเคล้าด้วยเสียงจอแจในตลาด เจ้าของร้านอาหารเช้ามุสลิมแท้ใจกลางอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี กำลังขะมักเขม้นทำอาหารให้ลูกค้าทั้งชาวมอญ พม่า กะเหรี่ยง รวมถึงคนนอกจากเมืองกรุงอย่างผม
นอกจากปาท่องโก๋ยังมี “โรตีโอ่ง” อาหารจากฝั่งพม่า ซึ่งทั้งโอ่งและวัตถุดิบต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
“สมัยก่อนพ่อก็ใช้โอ่งมังกรนี่แหละแต่น้ำซึม ผมเลยสั่งจากพม่ามา อันนี้เป็นขนาดสองแผ่น (อบได้ทีละสองแผ่น)” ยูซูปอารีย์ เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา วัย 44 ปี ผู้รับช่วงต่อร้านโรตีจากพ่อกล่าวขณะวางแผ่นแป้งวงกลมบนก้อนผ้าคล้ายลูกประคบขนาดเท่าขันน้ำ เตรียมนำไปแปะในโอ่งร้อนๆ ที่มีถ่านสุมอยู่ภายใน รูปร่างเขากำยำ แขนมีกล้ามเนื้อเห็นเส้นเลือดชัด ปนด้วยรอยแผลเป็นจากความร้อนขอบโอ่ง
ยูซูปอารีย์เป็นตัวแทนความหลากหลายในสังขละบุรีที่มีทั้งชาวพม่า ชาวมอญ ชาวกะเหรี่ยง และชาวมุสลิม พ่อชาวปากีสถานของเขาอพยพเข้ามาในรัฐยะไข่ (เดิมชื่ออาระกัน) ประเทศพม่า แล้วจึงย้ายมาที่ประเทศไทย จนสุดท้ายก็มาขายโรตีโอ่ง กาแฟ และอาหารเช้าที่สังขละบุรี
แม้ดินแดนสังขละบุรีอาจมีภาพเป็นเมืองท่องเที่ยววิถีมอญ แต่ยังมีชาวกะเหรี่ยงและมุสลิมซึ่งเป็นคนส่วนน้อยอาศัยอยู่ด้วย โดยชาวมุสลิมที่อพยพมาจากรัฐยะไข่นั้นมีจำนวนน้อยสุด เพราะส่วนใหญ่มาจากเมืองมะละแหม่งซึ่งใกล้ชายแดนไทยมากกว่า
>




ลูกค้าร้านโรตีหน้าตลาดของยูซูปอารีย์เริ่มมากขึ้น บางคนสวมชุดโต๊ป (เครื่องแต่งกายมุสลิมสำหรับผู้ชาย ลักษณะเป็นชุดคลุมแขนยาว) บ้างก็เป็นชาวมอญนุ่งผ้าซิ่น บ้างก็เป็นนักท่องเที่ยว
“คนมอญก็มี พม่าก็มี มุสลิมก็มี กะเหรี่ยงก็มี เพราะว่ามันเป็นอาหารเช้า ที่พม่าส่วนใหญ่จะกินกันแบบนี้ ตื่นเช้าก็มีคนโทรมาแล้ว ‘ไปเจอกันร้านน้ำชา’” ยูซูปอารีย์กล่าวขณะนวดแป้งปาท่องโก๋
ผมเองก็ขออุดหนุนโรตีโอ่งกับแกงมาซาลาถั่วเขียวและถั่วลูกไก่ แป้งโรตีโอ่งเหนียวเด้งกำลังพอดี แต่ต้องออกแรงฉีกหน่อย นำไปจุ่มกับน้ำแกงมาซาลาถั่วเขียวแล้วตักถั่วราด จะกินกับถั่วลูกไก่ต้มและหอมเจียวทอด หรือกินทั้งแกงและถั่วลูกไก่พร้อมกันก็อร่อย กอปรกับน้ำชาร้อนๆ ให้ซดได้อุ่นอกยิ่งทำให้ยามเช้าที่ฝนโปรยกลายเป็นภาพในอุดมคติ
ในอดีตอำเภอสังขละบุรีตั้งอยู่บริเวณแอ่งน้ำไม่ไกลจากตลาดแห่งนี้ โดยคนแถวนี้จะรู้จักกันในชื่อ “อำเภอเก่า” ซึ่งพ่อของยูซูปอารีย์ วัย 99 ปี ก็เคยเปิดร้านขายโรตีโอ่งที่นั่นก่อนจะส่งต่อให้เขา
แอ่งน้ำท่วมไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นผลพวงจากการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณหรือเขื่อนเขาแหลม ซึ่งขวางกั้นทางน้ำจนท่วมอำเภอเก่าในหุบเขา ชาวบ้านจึงต้องอพยพมายังพื้นที่นี้
หลังจากเก็บร้านโรตีเสร็จ ยูซูปอารีย์ก็พาผมไปเยี่ยมชมร้านอาหารตามสั่งของเขาอีกฟากถนน สายฝนหยุดแล้ว แสงแดดยามสายเริ่มให้ความอบอุ่น
“ผมจำได้แค่ว่าต้องวิ่งหนีน้ำ” ยูซูปอารีย์กล่าว เมื่อผมถามถึงความทรงจำสมัยที่ยังไม่มีเมืองบาดาล
“สมัยก่อนกับตอนนี้บรรยากาศแตกต่างกันมากไหม” ผมถามต่อ
“20 ปีที่แล้วกับปัจจุบันแตกต่างกันเยอะครับ สมัยก่อนยังไม่มีเทศบาล ความเจริญรุ่งเรืองยังไม่มี สถานที่ท่องเที่ยว นักท่องเที่ยว ก็ยังไม่เยอะเหมือนปัจจุบัน”
“แล้วดีกับเราไหม”
“ดีนะ” เขากล่าว “ยอดขายดีขึ้น โดยเฉพาะช่วงหยุดยาว เศรษฐกิจจะดีขึ้นเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามา”
สำหรับยูซูปอารีย์การย้ายอำเภอและปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ต่างจาก มูฮัมหมัดอีซา ธารพนาไพร หรือลุงซ่า วัย 56 ปี อาชีพขับรถสองแถว ผู้สืบเชื้อสายมาจากบังกลาเทศ ซึ่งยูซูปอารีย์เคารพนับถือเหมือนพี่ชายแท้ๆ
“ถ้าให้เลือกระหว่างอำเภอเก่ากับที่นี่นะ ผมเลือกที่เก่าดีกว่า” ลุงซ่าตอบ “อยากกินนู่น อยากกินนี่ ไม่มีการซื้อหรอก ไปสอย(ผลไม้)เอา หาปู หาปลากินสบาย พอเจริญปุ๊ปทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองไปหมด”
แม้ความคิดและความทรงจำต่ออำเภอเก่าจะแตกต่างกัน แต่ทั้งสองคนมีความเห็นตรงกันคือชาวสังขละบุรี ทั้งมอญ กะเหรี่ยง และมุสลิมล้วนไม่แบ่งแยก
>>



ใกล้เที่ยงวันก็เข้าใกล้เวลาละหมาดกลางวันของชาวมุสลิม ผมได้ยินเสียงอะซานขณะเดินเข้าใกล้มัสยิดประจำชุมชนอีกฟากของถนนใหญ่
เด็กนักเรียนกว่า 90 ชีวิต ซึ่งมาเรียนอ่านอัลกุรอาน ณ มัสยิดฎียาอุ้ลอิสลาม ส่งเสียงเซ็งแซ่ในเวลาพักเที่ยง บ้างก็กินข้าวกลางวัน บ้างก็เล่นกับแมว บ้างก็เตะบอลกัน แต่เมื่อใกล้ถึงเวลาละหมาดก็ถึงคราวสงบ เสียงของเด็กนับร้อยเลือนหายไปในสายลม
ชายชราในชุดโต๊ปขาวสว่าง สวมหมวกกะปิเยาะห์สีเดียวกับชุด เคราหงอกยาวจดอก นั่งอยู่แถวหน้าสุด ต่อท้ายด้วยเหล่าเด็กหนุ่มที่แต่งกายคล้ายกัน ต่างเพียงสีสันของชุด เขาคือฮูเซนอารีย์ (ไม่มีนามสกุล) วัย 99 ปี พ่อของยูซูปอารีย์ ผู้เริ่มต้นกิจการโรตีโอ่งตั้งแต่อำเภอเก่ายังมีชีวิต
บทสนทนาระหว่างผมกับเขามีเพียงความเงียบระหว่างการรับสลาม (จับมือทักทาย) หลังจากละหมาดเสร็จ แต่ในห้วงความสงัดนั้นกลับทำให้ใจผมฟู ราวกับความเชื่อของเราไร้ซึ่งขอบเขต
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กนักเรียนกลับมาอีกครั้ง พวกเขาเริ่มเตะบอล ตะกร้อ หรือวิ่งไล่จับกันสนุกสนาน เด็กเหล่านี้มีทั้งเชื้อสายปากีสถานและบังกลาเทศ เสียงหัวเราะที่แว่ววนในอากาศได้เปลี่ยนให้ศาสนสถานแห่งนี้กลายเป็นสนามเด็กเล่นอันไร้พรมแดนทางชาติพันธุ์
นอกจากนักเรียนที่วิ่งเล่นอยู่ในสนามยังมีอีก 11 คนที่ต้องกินอยู่ในมัสยิดเพื่อเรียนท่องจำอัลกุรอานทั้งเล่มเพื่อเป็นอาจารย์สอนศาสนาต่อไป
ข้างลานกว้างและมัสยิดมีทางบันไดขนาดเล็กนำไปยังระเบียงที่มีโถงนอน เมื่อผมเดินขึ้นไปก็ได้กลิ่นเนื้อทอดที่กำลังอุ่นในหม้อตีเข้าจมูก ในห้องมีเสียงของเด็กสวมเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นรวมกลุ่มกันเล่นเกมโทรศัพท์มือถือ
เด็กที่โตสุดอายุ 16 ปี ส่วนอายุน้อยสุดคือ 11 ปี โดยที่นี่ให้เริ่มเข้าเรียนได้ตั้งแต่อายุ 9 ปี การมาอยู่กินในมัสยิดไม่ได้ทำให้พวกเขาหลุดออกจากระบบการศึกษา เพราะยังต้องเรียนผ่านระบบการศึกษานอกระบบ (กศน.)
อิบรอฮีม วัย 12 ปี เด็กชายผิวคล้ำใส่เสื้อทีมฟุตบอลสีแดงกับกางเกงบอลสีดำเล่าให้ผมฟังว่าที่นี่จะปิดเทอมทุก 3 เดือนให้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน
“ปิดเทอมก็ไปเล่นบ้านเพื่อนบ้าง เตะบอลกับเพื่อนบ้าง” เขาตอบ
ผมถามต่อว่ามีเพื่อนเป็นมอญหรือกะเหรี่ยงบ้างไหม
“มีครับ มีหมดเลย” เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
>>>


ยามบ่ายล่วงเลยเข้าสู่ยามเย็น ตลาดเช้าที่ยูซูปอารีย์ขายโรตีได้เปลี่ยนเป็นถนนคนเดินที่มีร้านรวงมาตั้งเต็มสองข้างทาง จากตลาดชุมชนกลายเป็นตลาดของนักท่องเที่ยวไปโดยพลัน บรรยากาศย่ำค่ำแตกต่างจากตอนเช้าตรู่ จากของป่าและของสดกลายเป็นของสำเร็จรูปและน้ำปั่น จากผ้าซิ่นกลายเป็นกระโปรง จากชุดโต๊ปกลายเป็นเสื้อยืด
ผมซื้อเนื้อปิ้ง ไส้กรอกอีสาน และลูกชิ้นปิ้ง แล้วนั่งลงบนโต๊ะใกล้ร้านโรตีโอ่งที่ตอนนี้เงียบสงัดต่างจากบรรยากาศยามเช้า ไม่มีกลิ่นโรตี เสียงน้ำมัน เม็ดฝน หรือชาวมอญ กะเหรี่ยง และมุสลิม มานั่งจิบชา มีเพียงนักท่องเที่ยวเคลื่อนตัวเป็นคลื่นไปตามร้านค้า
แสงอาทิตย์ใกล้ลาลับ ผมกลับไปยังมัสยิดฎียาอุ้ลอิสลามอีกครั้ง เสียงอะซานดังขึ้นอีกครั้งเหมือนตอนเที่ยงวัน ต่างก็เพียงมีชาวบ้านมาร่วมละหมาดมากกว่า ความพิเศษของวันนี้คือหลังการละหมาดเย็นจะมี “บายาน” ซึ่งเป็นการนำคำสอนบางส่วนในอัลกุรอานมาอ่าน คล้ายการเทศน์ในศาสนาพุทธ
เมื่อละหมาดเสร็จผู้ต้องการรับบายานจะมานั่งเป็นครึ่งวงกลมล้อมรอบผู้ให้บายาน ซึ่งในคืนนี้เป็นอาลิ (ไม่มีนามสกุล) ครูของเหล่านักเรียนกินนอน เขาเริ่มพูดภาษาอาหรับกึกก้องไปทั่วโถงละหมาด พร้อมกวาดสายตามองผู้รับบายานที่มีทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ รวมถึงเหล่านักเรียนทั้ง 11 ชีวิต ซึ่งต้องวางแผนการใช้ชีวิตในวันถัดไปกับอาจารย์หลังจบบายาน แล้วจึงค่อยกลับเข้านิวาสสถาน
>>>>

แม้อาทิตย์จะลาลับ ทุกคนจะหลับใหล แต่เวลาเที่ยงคืนยูซูปอารีย์ต้องลืมตาตื่นมาตัดแป้งและทอดโรตี เนื่องจากพ่อค้าแม่ขายเจ้าอื่นจะมารับโรตีของเขาไปเร่ขายทั่วสังขละบุรี ประมาณตีสามถึงตีสี่ของทุกวัน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับการตั้งเขียงหมู ตั้งอ่างปลา และลงผักสดของผู้คนในตลาดเช้า
ผมไปถึงตลาดเช้าอีกวันราว 6 โมงเช้า ฝนยังคงตกเอื่อยๆ ตลอดราวกับเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอสังขละบุรี ผมสั่งกาแฟกับไข่ลวก ก่อนจะเหลือบไปเห็นข้าวบุหรี่ (บิรยานี/biryani) หรือข้าวหมกตามแบบฉบับปากีสถาน เลยสั่งมาอีกหนึ่งจาน
นอกจากร้านของยูซูปอารีย์แล้วข้างๆ ยังมีร้านโรตีอีกร้านหนึ่ง เลยออกไปเป็นร้านขนมครกของชาวมอญ ลึกเข้าไปในตลาดมีผักสดของกะเหรี่ยง เดินไปอีกไม่ไกลก็มียำหัวหมูของชาวพม่า คงไม่ผิดจากที่ยูซูปอารีย์และลุงซ่าบอกผมว่าที่สังขละบุรีนี้ไม่มีการแบ่งแยก
“ทั้งหมดเท่าไรครับ” ผมถามน้องสาวของบังยูซูปที่กำลังชงกาแฟ
เธอยิ้มมุมปากและบอกผมว่า
“…..”
อ้างอิง
พันตำรวจเอกจรูญ ศรีสมบัติ. (2546). ผลกระทบต่อประชาชนที่ถูกอพยพออกจากพื้รที่สร้างเขื่อนศึกษาเฉพาะกรณีการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์. สถาบันพระปกเกล้า. https://www.kpi-lib.com/elib/cgi-bin/opacexe.exe?op=mmvw&db=Main&skin=S&mmid=1839&bid=5297
