Click here to visit the Website

ป ร ะ ก า ศ ผ ล ก า ร ป ร ะ ก ว ด บ ท ค ว า ม
Sorry, your browser doesn't support Java. รางวัลชมเชย
ทำไมไอน์สไตน์จึงสมควรได้รับการยกย่อง ให้เป็นบุคคลแห่งศตวรรษที่ 20
โดย อุดม นุสาโล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กทม.
หนังสือ Relativity : The Special & The General Theory (คลิกเพื่อดูภาพใหญ่)

     "ไอน์สไตน์" เมื่อกล่าวถึงชื่อนี้แล้ว น้อยคนนักในวงการวิทยาศาสตร์โลกที่จะไม่รู้จัก เพราะไอน์สไตน์ คือผู้พากเพียรสร้างสรรค์ผลงานอันมีคุณค่าในด้านวิทยาศาสตร์ เป็นผู้บุกเบิกแนวความคิดเกี่ยวกับการศึกษาธรรมชาติวิทยา และเป็นผู้ค้นพบทฤษฎีสำคัญๆ มากมาย อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อวงการวิทยาศาสตร์ของโลก ปัจจุบันคำว่า "ไอน์สไตน์" ได้กลายเป็นเครื่องหมายอันแสดงถึงอัจฉริยภาพ สถาบันการศึกษา สินค้า รวมทั้งผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ใช้ภาพถ่ายของท่านมาเป็นตราสัญลักษณ์ แสดงให้เห็นถึงชื่อเสียง และการยอมรับอย่างกว้างขวางของสังคมโลก ที่มีต่อยอดนักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ และกว่าที่จะก้าวมาถึงจุดนี้ได้นั้นก็หมายความว่า วิถีการคิดและการทำงานของท่าน จะต้องเป็นเรื่องราวที่ท้าทายและควรแก่การศึกษายิ่งนัก นอกจากนี้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงชื่อเสียงของท่าน ได้อย่างเด่นชัดก็คือ วงการสื่อสารมวลชนทั่วโลก ต่างยกย่องให้ท่านเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในรอบสหัสวรรษนี้

กับเอลซา ลอเวนทัล ภรรยาคนที่ ๒ (คลิกเพื่อดูภาพใหญ่)      กับคำถามที่ว่า "ทำไมไอน์สไตน์จึงสมควรได้รับการยกย่อง ให้เป็นบุคคลแห่งศตวรรษที่ 20"
     สิ่งที่น่าจะนำไปสู่คำตอบเพื่อใช้อธิบายคำถามดังกล่าว ได้อย่างกระจ่างชัดที่สุดนั้นก็คือ การศึกษาและการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับผลงานอันล้ำค่าของอัจฉริยบุคคล ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่า "บิดาแห่งโลกฟิสิกส์สมัยใหม่" "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" นั่นเอง
     "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ " คือผู้เปิดโลกฟิสิกส์สมัยใหม่ จากพื้นฐานความสนใจในธรรมชาติวิทยาเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้สามารถค้นคว้าทฤษฎีสัมพัทธภาพ และทฤษฎีสนามรวม รวมทั้งค้นพบกฎของเอกภพซึ่งได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดทางฟิสิกส์ที่มีอยู่เดิม อันถือเป็นก้าวสำคัญยิ่งของการเปลี่ยนแปลงในวงการวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน
     ผลงานการค้นคว้าอันโดดเด่นชิ้นแรกของไอน์สไตน์ นั่นก็คือ ทฤษฎีพิเศษแห่งสัมพัทธภาพ ซึ่งมีใจความว่า "วัตถุยิ่งมีความเร็วเท่าใด ก็ยิ่งมีมวลมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีขนาดเล็กลงทุกที" นอกจากนี้ยังค้นพบอีกว่า "ไม่มีวัตถุใดมีความเร็วเท่ากับแสงหรือมากกว่าแสง เพราะเมื่อมีความเร็วสูงถึงขนาดนั้น ความยาวหรือขนาดของวัตถุนั้นก็หดลงจนหมด และความเร็วแสงนั้นยังวัดได้ด้วยความแม่นยำเท่ากับ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที" อีกสิ่งหนึ่งที่กล่าวขวัญถึงกันมาก จากทฤษฎีพิเศษของไอน์สไตน์ก็คือ ความสมมูล (equivalent) ของมวลสารและพลังงาน นั่นคือมวลสารจะเพิ่มขึ้นเมื่อความเร็ววัตถุเพิ่มขึ้น และในขณะเดียวกันพลังงานของวัตถุนั้นก็เพิ่มขึ้นด้วย โดยมีสมการแสดงความสัมพันธ์ดังนี้
     E = mc2
     E = พลังงานที่เพิ่มขึ้น
     m = มวลสารที่เพิ่มขึ้น
     c = ความเร็วของแสง
ไอน์สไตน์ในวัยเยาว์ (คลิกเพื่อดูภาพใหญ่)      นั่นก็คือมวลสารมีความสัมพันธ์กับพลังงาน ซึ่งอาจเขียนเป็นอีกสมการหนึ่งได้ว่า
     E = mc2
     E = พลังงานที่สมมูลกับมวล 
     m = มวลสารของวัตถุ
     c = ความเร็วของแสง
     จากการอ่านสูตรนี้ เราอาจไม่เห็นความมากมายมหาศาลของพลังงาน แต่เมื่อคิดถึง ค่าความเร็วของแสงยกกำลังสอง จึงเห็นได้ว่ามีค่ามหาศาลจริงๆ สมมุติว่าวัตถุนั้นมีมวลสาร 1 กิโลกรัม พลังงานที่ได้ก็จะสูงประมาณ 900,000,000,000 จูล แต่ทั้งนี้เป็นการอธิบายการเกิดพลังงาน ในระดับอะตอมที่เกิดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ภายใน มิใช่การเปลี่ยนแปลง จากการใช้พลังงานเคมีตามปกติ ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงเข้าใจได้ทันทีว่า เหตุใดการแตกตัวของอะตอมธาตุยูเรเนียมเพียง 1 กรัม จึงสามารถให้พลังงานค่ามหาศาลได้ 

     ผลงานชิ้นที่สองก็คือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป เมื่อ พ.ศ. 2459 ไอน์สไตน์ได้ประกาศทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปขึ้น อันเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของผู้สังเกตที่มีความเร็วไม่คงที่ เนื้อหาของทฤษฎีทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับแรงดึงดูดระหว่างมวล และมีการพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ด้วย ผลของการเคลื่อนที่ที่มีความเร่งนั้นจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับอัตราความเร่ง และความเร่งนี้ก็เหมือนกับแรงดึงดูด เช่น ถ้าไปยืนอยู่บนดาวที่มีมวลมาก น้ำหนักของเราก็จะสูง แต่ถ้าไปอยู่ที่ดาวพุธ ซึ่งมีมวลเพียง 1 ใน 25 ของมวลบนโลก น้ำหนักของเราจะน้อยลงเหลือเพียง 1 ใน 3 ของนน้ำหนักที่ชั่งบนโลกเท่านั้น ไอน์สไตน์ได้พัฒนาทฤษฎีแห่งการดึงดูดของมวล และกระทำได้เสร็จสมบูรณ์ในทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปนี้ ดังนั้นเราอาจเรียกทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปว่า "ทฤษฎีแห่งการดึงดูดระหว่างมวลของไอน์สไตน์" ก็ได้จากการคำนวณของไอน์สไตน์ พบว่าแรงดึงดูดระหว่างวัตถุขนาดใหญ่ เช่นดาวเคราะห์กับดวงอาทิตย์ จะได้ผลลัพท์คล้ายกับของนิวตันที่เคยเสนอไว้ว่า "วัตถุทั้งหลายในเอกภพ จะดึงดูดกันด้วยแรงดึงดูดระหว่างมวล" ไอน์สไตน์สามารถคำนวณได้ว่า การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์นั้นเป็นวงรี แต่เมื่อครบรอบแล้วก็ไม่เวียนกลับรอบเดิม หากแต่โคจรเป็นวงรีในลักษณะเกลียวเอียงไปเรื่อย แต่ระยะห่างระหว่างวงโคจรเดิมนั้น น้อยมาก กว่าจะย้อนกลับมาที่เดิมก็ใช้เวลาถึง 34 ล้านปี คือ 34 ล้านรอบ

ไอน์สไตน์ในวัย ๗๔ ปี (คลิกเพื่อดูภาพใหญ่)      ยังมีทฤษฎีอีกหลายอย่างที่ไอน์สไตน์ได้เสนอขึ้น นอกจากทฤษฎีสัมพันธภาพอันลือลั่นแล้ว ยังมีทฤษฎีสนามรวม ( Unified Field Theory) ที่ไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึงมากนัก ไอน์สไตน์ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับสนามรวม แก่สาธารณชนขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2493 อันเป็นการขัดแย้งกับกฎกลศาสตร์ของนิวตัน โดยไอน์สไตน์ได้อ้างถึงความสัมพันธ์ระหว่างสนามพลังงานต่างๆ ว่าเป็นจริง ด้วยการพิสูจน์ โดยเรขาคณิตแบบใหม่ที่มีมิติของเวลาเพิ่มเข้ามาด้วย เนื่องจากเรขาคณิตของสสารที่เคลื่อนไหวนี้มีความสัมพันธ์กับเวลา การใช้เรขาคณิตแบบเดิมที่สสารคงที่อันเป็นหลักกลศาสตร์แบบเก่าของนิวตันนั้น จึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ไอน์สไตน์เสนอแนวความคิดว่า ความโน้มถ่วงและรังสี (การแผ่รังสี) มีกฎร่วมกันอยู่ คือ กฎกำลังสองกลับ นั่นก็หมายความว่าความโน้มถ่วงกับการแผ่รังสีน่าจะเกิดจากสนามรวมอย่างเดียวกัน นั่นคือขณะที่มีคนสังเกตเห็นรังสีเคลื่อนที่ รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าก็จะกลายเป็นความโน้มถ่วง และด้วยเหตุนี้ การอธิบายกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์จึงง่ายเข้าด้วยการใช้กฎเพียงอย่างเดียว ก็สามารถครอบคลุมกฎต่างๆ ที่เคยอธิบายมา และตามความคิดของไอน์สไตน์ ถือว่าหลักนี้เสนอความเป็นจริงตามจักรวาลแล้ว
     แม้บางเรื่องจากทฤษฎีของไอน์สไตน์ จะถูกพิสูจน์แล้วว่าผิดพลาด แต่สิ่งที่ยังถูกต้อง และเป็นที่ยอมรับอยู่นั้นมีมากมาย ทั้งยังเป็นที่ประทับใจของนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังอยู่ตลอดเวลา ทั่วโลกต่างยกย่องกันว่า ไอน์สไตน์เป็นบิดาแห่งฟิสิกส์ เชิงทฤษฎีรุ่นใหม่อย่างแท้จริง และยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้บุกเบิกสู่ยุคนิวเคลียร์ ทฤษฎีต่างๆของไอน์สไตน์ นอกจากจะให้แนวทางที่ใหม่แก่โลกฟิสิกส์แล้ว ยังลบล้างข้อเสนอของนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น นิวตัน หรือชเรอเดงเจอร์ก็ตาม
     ปัจจุบันเรื่องราวของไอน์สไตน์ยังคงได้รับการกล่าวถึงอยู่เสมอ สำหรับทฤษฎีทางฟิสิกส์ของเขานั้น ยังมีการศึกษา ค้นคว้า และทดลองเพื่อพิสูจน์และประยุกต์ใช้อยู่ตลอดเวลา และเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการค้นพบว่ามีทฤษฎีใหม่ที่ขัดแย้งกับทฤษฎีของไอน์สไตน์ที่กล่าวไว้ว่า "ไม่มีวัตถุอื่นใดในโลกที่เดินทางผ่านสุญญากาศหรือเดินทางผ่านที่ซึ่งไร้อากาศได้เร็วกว่าแสง"
ไอน์สไตน์สีไวโอลินคลอกับเปียโนที่เล่นโดย เอลซา (คลิกเพื่อดูภาพใหญ่)      เมื่วันพฤหัสบดีที่ 13 ก.ค. 2543 สถาบันวิจัย NEC แห่งนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกาได้ตีพิมพ์ผลงานค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับการพิสูจน์ได้ว่า ยังมีสิ่งที่เดินทางได้เร็วกว่าแสงเผยแพร่ต่อสาธารณชน ซึ่งเป็นผลงานของ 3 นักวิทยาศาสตร์คือ หวาง หลี่จุ้น อเลกซานเดอร์ คูซมิค และอาร์เธอร์ โคการิง นักวิทยาศาตร์ทั้ง 3 คนได้ศึกษาโดยอาศัยทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagneticm) และทฤษฎีกลศาตร์ (quantum mechanics) โดยทำการทดลองด้วยการใช้สื่อกลางพิเศษคือ เซเซียมอะตอมส์ บรรจุในหลอดทดลองขนาด 6 ซม. (2.4 นิ้ว) จากนั้นใช้แสงเลเซอร์ลำแสงเรียบ ยิงผ่านเข้าไปด้วยเวลา 3 ในส่วน 1 ล้านของ 1 วินาที ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นคือ อะตอมของก๊าซเซเซียม ทำหน้าที่กำหนดรูปแบบสูงสุดต่ำสุด ด้วยความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน ซึ่งรวมตัวกันเป็นตัวกระตุ้นแสง ให้ไปปรากฏบนอีกด้านหนึ่งของหลอดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น หากเทียบกับการเดินทางของแสงในสุญญากาศ นักวิทยาศาตร์ทั้ง 3 ให้ข้อสรุปว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวคือ การเดินทางที่ใช้เวลาแตกต่าง จากการเดินทางของแสงในสุญญากาศ 6 หมื่น 2 พันล้านส่วนของ 1 วินาที ทำให้จุดสูงสุดของตัวกระตุ้นแสง เดินทางไปยังอีกด้านหนึ่งของหลอด ก่อนที่ตัวกระตุ้นแสงจะไปถึงด้านที่ใกล้กว่าของหลอด คำอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวค่อนข้างจะเข้าใจยากพอสมควร นักวิทยาศาตร์ทั้ง 3 คนจึงตั้งชื่อว่า ปรากฏการณ์ negative delay หรือ negative velocity ซึ่งหมายถึงปรากฏการณ์ความเร็วที่ตรงข้ามกับความเชื่อของคนทั่วไป การทดลองและการค้นพบที่ว่า คลื่นแสงเดินทางเร็วกว่าแสง ครั้งนี้มิใช่ครั้งแรก โดยหนึ่งในการทดลองก่อนหน้านี้เป็นผลงานของนักวิทยาศาตร์ชาวอิตาลี แต่ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่มีหลักฐานอธิบายสิ่งที่ค้นพบได้ชัดเจนที่สุด
หนังสือ " ไอน์สไตน์ ผู้พลิกจักรวาล"      จากการทดลองเพื่อค้นหาข้อมูลมาหักล้างทฤษฎีของไอน์สไตน์ดังกล่าว ซึ่งเป็นความพยายามของนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่นั้น แสดงให้เห็นถึงความสนใจในผลงานของอัจฉริยบุคคลที่ชื่อว่า "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" อย่างแท้จริง และถึงแม้ว่าทฤษฎีใหม่ ที่ไม่ตรงกับทฤษฎีของไอน์สไตน์ที่ถูกค้นพบ โดยนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่นั้น จะเป็นที่ยอมรับของวงการวิทยาศาสตร์โลกหรือไม่ก็ตาม นั่นคือสิ่งที่เราต้องติดตามกันต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถประจักษ์ได้ในขณะนี้ก็คือ ผลงานทุกชิ้นที่ไอน์สไตน์ได้สร้างสรรค์ขึ้น คือตัวจักรสำคัญที่คอยขับเคลื่อน และกระตุ้นให้นักวิทยาศาตร์รุ่นใหม่ได้ตื่นตัว ร่วมระดมความคิด และเข้าห้องทดลองเพื่อพิสูจน์กฎ และทฤษฎีต่างๆ ด้วยแรงบันดาลใจที่ว่า จะพบความรู้ใหม่นอกกรอบกำแพงที่ไอน์สไตน์ได้ว่าไว้ การปลุกเร้าให้นักวิทยาศาตร์รุ่นใหม่ ได้รู้จักเรียนรู้ รู้จักพยายามหาคำตอบ และรู้จักถ่ายทอดแนวความคิดใหม่ๆ ออกมาใช้กับนวัตกรรมอันล้ำยุค ในโลกยุคปัจจุบันนี้เอง จะเป็นเสมือนบันไดก้าวแรกในการเสริมสร้างความมั่นคง เพื่อจรรโลงโลกของเราให้ยั่งยืนต่อไป ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าไอน์สไตน์ คือผู้จุดประกายและเป็นเสมือนผู้บุกเบิกให้วงการวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะโลกของฟิสิกส์สมัยใหม่ ได้รับความสนใจและแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
     ด้วยผลงานที่ฝากไว้เป็นประโยชน์ต่อวงการวิทยาศาตร์โลก และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด ผนวกเข้ากับตำนานแห่งความอัศจรรย์ทางความคิด ของอัจฉริยบุคคลท่านนี้ คงไม่มากเกินไปใช่ไหมหากจะประกาศให้โลกได้รับรู้ว่า
     "ไอน์สไตน์ คือผู้สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งศตวรรษที่ 20"

อ่านบทความ รางวัลที่ ๑ โดย ศุภฤกษ์ อัศววิภาพันธุ์
รางวัลชมเชย นางสาวเขมิกา ธีรพงษ | นางสาวปิยาภัสร์ จารุสวัสดิ์ | นางสาวพิมพ์พร ไชยพร | นายภูมรินท์ สุริยาสาคร | นางสาวยุพิน พิมเสน | นางสาวออมฤทัย เล็กอำนวยพร | นายอุดม นุสาโล

Sarakadee@sarakadee.com
สำนักพิมพ์ สารคดี | สำนักพิมพ์ เมืองโบราณ | วารสาร เมืองโบราณ | นิตยสาร สารคดี
[ วิริยะบุคส์ | มีอะไรใหม่ | เช่าสไลด์ | ๑๐๘ ซองคำถาม | สั่งซื้อหนังสือ ]

สำนักพิมพ์ สารคดี