วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : สัมภาษณ์
ประเวช ตันตราภิรมย์ : ถ่ายภาพ

interview01

๑๒ กุมภาพันธ์ปีนี้ถือเป็นวันครบรอบวันเกิด ๒๐๐ ปีของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ไม่มีแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์คนใดที่ส่งผลกระทบต่อโลกในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ สังคม การเมือง ศาสนา ปรัชญา ศิลปะ ฯลฯ ได้เท่ากับงานเขียนของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน

ค.ศ. ๒๐๐๙ หนังสือ The Origin of Species ของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน จะมีอายุครบ ๑๕๐ ปี นับจากการพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ๑๘๕๙ หนังสือเล่มนี้ได้รับยกย่องว่าเป็นหนังสือที่ทรงพลังที่สุดในโลกวิทยาศาสตร์ และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในหนังสือยอดเยี่ยมตลอดกาลของหลายสถาบันทั่วโลกตลอดมา ทั้งยังได้รับการการันตีว่าเป็นหนึ่งในหนังสือที่ “ต้องอ่าน” และ “ทรงอิทธิพล” อย่างยิ่งต่อแนวคิดวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของคนตะวันตกและของมนุษยชาติ

หัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือการพูดถึงทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตโดยการคัดสรรตามธรรมชาติ

แต่ทฤษฎีวิวัฒนาการขัดแย้งกับหลักคริสต์ศาสนาโดยสิ้นเชิง ในพระคัมภีร์ไบเบิลเขียนไว้ว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกและสิ่งมีชีวิตทุกชนิดภายใน ๖ วัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์เลื้อยคลาน นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มาจนถึงมนุษย์ ล้วนถูกสร้างมาในช่วงเวลานั้น ไม่มีวิวัฒนาการสืบต่อกันมาตามทฤษฎีที่ ชาร์ลส์ ดาร์วิน อธิบาย

ตอนที่ ชาร์ลส์ ดาร์วิน มีชีวิตอยู่ แนวคิดของเขาได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากชาวคริสต์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา บางโรงเรียนที่เคร่งศาสนาไม่ยอมให้มีการสอนทฤษฎีวิวัฒนาการ
ทุกวันนี้ยังมีประชากรหลายสิบล้านคนทั่วโลกปฏิเสธทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ทั้งๆ ที่ในวงการวิทยาศาสตร์ด้านธรรมชาติและชีววิทยา ทฤษฎีนี้ถือเป็นเสาหลักของวิชาด้านนี้ไปแล้ว

แม้แต่ในประเทศไทย ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดของดาร์วิน และหนึ่งในนั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่

สารคดี มีโอกาสได้สนทนากับ นาวาโท นายแพทย์ภากร จันทนมัฏฐะ (รน.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์และอาจารย์หน่วยโรคหัวใจ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คริสตชนผู้แสดงความเห็นขัดแย้งกับทฤษฎีของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน อย่างมีเหตุผลที่น่าสนใจ

ลองมาฟังแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์ผู้เชื่อในพระเจ้าและกล้าวิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลกมาช้านาน

ทำไมตอนที่ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ประกาศการค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการจึงได้รับการคัดค้านจากชาวคริสต์ โรงเรียนในอเมริกาบางแห่งก็ยังไม่ยอมให้สอน
เท่าที่ความรู้อันจำกัดของผมมี หลักวิทยาศาสตร์ทั่วไป ไม่มีเรื่องใดขัดแย้งกับพระคัมภีร์ไบเบิล ยกเว้นทฤษฎีของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน เท่านั้นที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรง ในพระธรรมปฐมกาล(Genesis) ของคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า พระเจ้าทรงสร้างฟ้า แผ่นดิน สิ่งมีชีวิตและสัตว์แต่ละชนิดขึ้นมา โดยไม่ได้มีวิวัฒนาการใดๆ จากปลามาสู่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ มาเป็นสัตว์เลื้อยคลาน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
และเป็นมนุษย์ตามทฤษฎีวิวัฒนาการเลย เพราะพระเจ้าทรงสร้างสัตว์แต่ละชนิดขึ้นมาโดยตรง ทรงใช้เวลาในการสร้างจักรวาล โลก และสิ่งมีชีวิต ๖ วัน และวันที่ ๗ ทรงพักผ่อน

หากไปศึกษาไบเบิลฉบับภาษาฮีบรู ๗ วันในที่นี้อาจมิได้หมายถึงวันละ ๒๔ ชั่วโมง แต่หมายถึง ๗ ช่วงเวลา และเวลาของพระเจ้าก็ยาวนานกว่าเวลาของมนุษย์มาก ในไบเบิลกล่าวว่า “เพราะพันปีในสายพระเนตรของพระองค์ เป็นเหมือนวานนี้ซึ่งผ่านไปแล้ว หรือเหมือนยามเดียวในค่ำคืน (สดุดี ๙๐:๔)” หากเทียบ ๖ วันแรกกับจักรวาลที่มีอายุประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านปี โดยแบ่งออกเป็น ๖ ช่วงเวลา แต่ละช่วงเวลาจะไม่เท่ากัน ช่วงเวลาแรกตอนกำเนิดจักรวาลหรือบิ๊กแบงนั้นมีระยะเวลายาวนานกว่าช่วงที่ ๒ เพราะตามหลักทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์กล่าวว่า ในสนามแรงโน้มถ่วงสูง เวลาจะเดินช้าตามแรงโน้มถ่วงที่สูงขึ้น เนื่องจากตอนกำเนิดจักรวาล แรงโน้มถ่วงที่สูงทำให้ช่วงเวลาที่ ๑ ยาวนานกว่าช่วงเวลาที่ ๒ เท่าตัว และช่วงเวลาที่ ๒ จะยาวนานกว่าช่วงเวลาที่ ๓ เท่าตัว เป็นดังนี้เรื่อยๆ จนถึงช่วงเวลาที่ ๖ และหากอาศัยสมการของการยืดออกของเวลาจะพบความสัมพันธ์ระหว่างวันของพระเจ้ากับอายุของจักรวาลที่สอดคล้องกันอย่างเหลือเชื่อ

คุณหมอลองเปรียบเทียบอายุของจักรวาลกับ ๖ วันของพระเจ้า
วันแรกเกิดขึ้นประมาณ ๑๕,๗๕๐-๗,๗๕๐ ล้านปีก่อน ในไบเบิลบอกว่า พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาของการก่อกำเนิดจักรวาลจริง ดาวที่เก่าแก่ที่สุดที่เราค้นพบมีอายุ ๑๖,๐๐๐ ล้านปี ในช่วงนี้เองที่เอกภพเริ่มเย็นลง ทำให้อิเล็กตรอนสามารถจับกับนิวเคลียสอะตอม (atomic nuclei) แล้วก่อให้เกิดแสงขึ้นได้ ตรงกับที่พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” วันที่ ๒ เกิดขึ้นประมาณ ๗,๗๓๐-๓,๗๕๐ ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่พระเจ้าทรงสร้าง “ภาคพื้นฟ้า” นักวิทยาศาสตร์พบว่าดวงอาทิตย์ รวมทั้งกาแล็กซีทางช้างเผือกก่อกำเนิดขึ้นในช่วงนี้พอดี (๔,๖๐๐ ล้านปีที่แล้ว) วันที่ ๓ เกิดขึ้นประมาณ ๓,๗๕๐-๑,๗๕๐ ล้านปีก่อน พระเจ้าทรงสร้างทะเล แผ่นดินแห้ง เกิดชีวิตและพืช นักวิทยาศาสตร์พบว่าทะเลบนโลกเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้พอดี (๓,๘๐๐ ล้านปีที่แล้ว) และมีการค้นพบฟอสซิลของพวกแบคทีเรียที่เรียกว่า Isosphaera เป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ที่สุด มีอายุ ๓,๘๐๐ ล้านปีเช่นกัน วันที่ ๔ เกิดขึ้นประมาณ ๑,๗๕๐-๗๕๐ ล้านปีก่อน พระเจ้าตรัสว่า “จงมีดาวสว่างบนฟ้า” นักวิทยาศาสตร์พบว่าลักษณะบรรยากาศของโลกปัจจุบันเริ่มต้นในช่วงนี้พอดี ท้องฟ้าชัดเจนพอที่จะมองเห็นพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาวได้ วันที่ ๕ เกิดขึ้นประมาณ ๗๕๐-๒๕๐ ล้านปีก่อน พระเจ้าตรัสว่า “น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และนกจงบินไปมา” ช่วงนี้เป็นยุคแคมเบรียนที่สัตว์หลายเซลล์ก่อกำเนิดขึ้น มีการพบฟอสซิลปลาเมื่อ ๕๓๐ ล้านปีก่อน และเกิดสัตว์เลื้อยคลานและแมลงเมื่อ ๓๖๐ ล้านปีก่อน จนถึงวันที่ ๖ เกิดขึ้นประมาณ ๒๕๐ ล้านปีถึง ๘,๐๐๐ ปีที่แล้ว พระเจ้าตรัสว่า “เกิดสัตว์ใช้งาน และมนุษย์” ในทางวิทยาศาสตร์พบหลักฐานว่า เมื่อ ๒๕๐ ล้านปีก่อนเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกถูกทำลาย และเป็นโอกาสให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและมนุษย์ได้ก่อกำเนิด ดังนั้นหากเชื่อในพระเจ้าจะพบว่า พระเจ้าทรงสร้างสิ่งมีชีวิตนั้นๆ ขึ้นมาเลยภายใน ๖ วัน (หรือ ๖ ช่วงเวลา) ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีของดาร์วินที่บอกว่าสิ่งมีชีวิตเริ่มวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ เริ่มจากสัตว์เซลล์เดียว สองเซลล์จนสลับซับซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆ

interview02

คนที่ไม่เชื่อเรื่องวิวัฒนาการมักมองว่าวิวัฒนาการมีเรื่องของความบังเอิญเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
ที่จริงผมตั้งคำถามต่อเรื่องนี้มาก่อนจะเชื่อพระเจ้าแล้ว ทฤษฎีของดาร์วินคือ สิ่งมีชีวิตเกิดมีวิวัฒนาการ และธรรมชาติจะเป็นผู้คัดเลือกเผ่าพันธุ์ที่แข็งแรงให้อยู่รอด อาทิเช่น เดิมมีทั้งยีราฟคอสั้นและคอยาว แต่ยีราฟคอสั้นตายหมดเพราะหาอาหารกินไม่ได้ ผมคิดว่าทฤษฎีวิวัฒนาการยืนอยู่บนพื้นฐานของความบังเอิญมาก กล่าวคือ จู่ๆ เกิดการผ่าเหล่าโดยบังเอิญแล้วได้สิ่งมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือแย่ลงกว่าเดิม ธรรมชาติจะคัดเลือกเอาแต่ตัวที่แข็งแรงให้เหลืออยู่

คำถามคือ เมื่อผมมองดูธรรมชาติ ผมพบว่าธรรมชาติทุกอย่าง สิ่งมีชีวิตทุกชนิด สมบูรณ์แบบด้วยตัวมันเอง ผมถามตนเองว่า จริงหรือที่ความสมบูรณ์แบบนี้เป็นเพียงผลของ “ความบังเอิญ” ร่างกายมนุษย์เราที่สลับซับซ้อนนี้เกิดจากการผ่าเหล่าอย่างสุ่มเท่านั้นจริงหรือ ยิ่งเมื่อมองโอกาสที่จะเป็นไปได้ยิ่งทำให้ตอบคำถามเรื่องนี้ได้ยากยิ่งขึ้น

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตแรกเริ่มมีส่วนประกอบพื้นฐานเป็นกรดอะมิโน ซึ่งเกิดจากการที่ก๊าซไฮโดรเจน มีเทน น้ำ และแอมโมเนีย รวมตัวกันเป็นกรดอะมิโนขึ้นเมื่อหลายพันล้านปีก่อน

ประมาณปี ค.ศ. ๑๙๕๓ ฮาโรลด์ ยูเรย์ (Harold Urey) และ สแตนลีย์ มิลเลอร์ (Stanley Miller) ทดลองเอามีเทน น้ำ แอมโมเนีย และไฮโดรเจนใส่ในหลอดทดลองแล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปเลียนแบบช่วงเวลาที่โลกก่อกำเนิด เขาพบว่า ๗-๑๔ วันถัดมา บางส่วนของสารเหล่านี้ กลายเป็นกรดอะมิโนพื้นฐาน ซึ่งพิสูจน์ว่าอินทรียสารเกิดมาจากอนินทรียสาร

แต่แม้ว่าเป็นไปได้ที่กรดอะมิโนจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่มีใครรู้ว่ากรดอะมิโนมารวมตัวกันเป็นโปรตีนซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญของชีวิตได้อย่างไร และโปรตีนที่จำลองตัวเองได้เกิดได้อย่างไร การทดลองของ โรเบิร์ต เซาเออร์ (Robert Sauer) ได้ทดลอง “สร้าง” โปรตีนใหม่ โดยเอากรดอะมิโนบางตัวออกและใส่ตัวใหม่เข้าไป พบว่าห่วงโซ่ของโปรตีนไม่ยอมรับกันเลย แสดงว่าโปรตีนเป็นเคมีที่มีองค์ประกอบเป็นระเบียบกฎเกณฑ์ตายตัว ไม่ยอมรับห่วงโซ่แปลกแต่อย่างใด

ในการเกิดสายโปรตีนสักหนึ่งสาย การเรียงตัวของกรดอะมิโนจะต้องถูกต้องแน่นอนเท่านั้นจึงจะได้โปรตีนที่สามารถฟังก์ชันได้จริงๆ เช่น A-chain ของอินซูลิน เป็นโปรตีนซึ่งมีกรดอะมิโนอยู่เพียง ๒๑ ตัว โอกาสที่กรดอะมิโนจะมาเรียงตัวจนเกิดสายโปรตีนโดยบังเอิญคือ ๑ ใน ๒,๐๙๗,๑๕๒,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมากครับ ถ้าเราดูสายโปรตีนที่ยาวมากในสมองหรือหัวใจ ช่องทางต่างๆ ที่เป็นประตูปิดกั้นประจุ อาทิ sodium channel เป็นประตูที่โซเดียมจะไหลเข้าเซลล์เพื่อก่อกำเนิดไฟฟ้าหัวใจ sodium channel ประกอบด้วยกรดอะมิโน ๑,๐๕๘ ตัว ตำแหน่งต้องเรียงกันอย่างถูกต้องแม่นยำ หากผิดพลาดอาจหมายถึงชีวิต เช่นกรณีโรคไหลตาย* ซึ่งเกิดในชายหนุ่มแข็งแรง นอนหลับแล้วเสียชีวิต โดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า ปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยโรคไหลตายเสียชีวิตจากการที่หัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง
(ventricular fibrillation) อันเนื่องมาจากความผิดปรกติของ sodium channel จากการผ่าเหล่าของยีน SCN5A

ไม่เพียงแต่ sodium channel ในหัวใจยังมี potassium channel, calcium channel และแต่ละ channel ยังมี “ซับไทป์” (subtype) ต่างๆ อีก เพื่อควบคุมไฟฟ้าหัวใจได้อย่างถูกต้อง เมื่อประมาณ ๒ ปีที่ผ่านมา มีเด็กคนหนึ่งขึ้นไปรับรางวัล ขณะยื่นมือไปรับด้วยความตื่นเต้น เขาก็ล้มลงและเสียชีวิตทันที เราพบว่าเขาเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปรกติของ potassium channel เรียกว่าโรค long QT syndrome จะเห็นได้ว่าระบบร่างกายของมนุษย์และสัตว์สลับซับซ้อนมาก ทุกระบบต้องทำงานประสานกันอย่างถูกต้องแม่นยำเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้

หากมาดูตัวเลข โอกาสที่กรดอะมิโนจะมารวมกันเป็น sodium channel โดยบังเอิญ ยังมีน้อยกว่าโอกาสที่จะถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ต่อเนื่องกัน ๒๒๐ งวดเสียอีก หากเป็นโปรตีนที่จำลองตัวเองได้จะสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นไปกว่านี้มากมาย โรเบิร์ต เซาเออร์ กล่าวว่า โอกาสที่โปรตีนและดีเอ็นเอที่สามารถจำลองตัวเองได้จะเกิดขึ้นโดยบังเอิญนั้นก็เท่าๆ กับโอกาสที่เราจะเจอลอตเตอรี่ตกอยู่บนถนน และบังเอิญใบนั้นถูกรางวัลที่ ๑ และถูกแบบนี้ทุกอาทิตย์ตลอด ๑,๐๐๐ ปี โดยลอตเตอรี่ทุกใบเราเจอโดยบังเอิญ เมอร์เรย์ อีเดน (Murray Eden) แห่งสถาบันเอ็มไอที (Massachusetts Institute of Technology-MIT) ได้คำนวณถึงความซับซ้อนของโมเลกุลของโปรตีนสรุปว่า การสังเคราะห์โปรตีนอย่างง่ายที่สุดที่เกิดโดยบังเอิญจะเกิดได้ ๑ ครั้งในทุกๆ ๑,๐๐๐ ล้านปี ทำให้ผมรู้สึกว่าเกือบเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์เป็นผลมาจากความบังเอิญ เราถูกออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยม หากสังเกตดูจะพบว่าอวัยวะต่างๆ ของมนุษย์และสัตว์จะอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดเสมอ

แต่มนุษย์ก็ยังมีอวัยวะที่หลงเหลือจากวิวัฒนาการในอดีตแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เช่นไส้ติ่ง
ถ้าทฤษฎีวิวัฒนาการถูกต้อง เราน่าจะมีอะไรหลงเหลือมาจากบรรพบุรุษอยู่มาก คืออวัยวะที่เชื่อว่าเหลือมาจากบรรพบุรุษแต่ไม่ได้ใช้ แต่ปัจจุบันพบว่าอวัยวะเกือบทั้งหมดถูกใช้งาน อาทิเช่นไส้ติ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอวัยวะที่เหลือมาจากบรรพบุรุษและไม่ได้ใช้งาน จริงๆ แล้วมันมีหน้าที่ พบว่าไส้ติ่งซึ่งอุดมด้วย lymphoid tissue เป็นเสมือนปราการป้องกันไม่ให้เชื้อโรคจากลำไส้ใหญ่ย้อนเข้ามาในลำไส้เล็ก หรืออย่างเรื่องหนังหนา มนุษย์เรามีผิวหนังหนาที่ฝ่ามือกับฝ่าเท้าซึ่งเตรียมไว้สำหรับเดิน ความหนาของผิวหนังบริเวณนี้เกิดตั้งแต่มนุษย์อยู่ในครรภ์มารดา มิได้เกิดจากการใช้งาน นกกระจอกเทศมีหนังหนาช่วงท้องซึ่งเป็นบริเวณที่ทิ้งตัวลงนอน อูฐมีหนังหนาที่เข่าหน้าเพื่อใช้เวลาคู้ตัวหมอบ ส่วนหมูป่าจะหนังหนาที่ข้อเท้าและขาหน้าซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใช้ยันตัวขณะกินอาหาร

สัตว์ต่างๆ ในโลกล้วนมีหนังหนาเฉพาะบริเวณที่จำเป็นเท่านั้น มันจะไม่มีหนังหนาบริเวณอื่นเลย หากทฤษฎีวิวัฒนาการถูกต้อง สัตว์หลายชนิดน่าจะมีหนังหนาบริเวณที่ไม่จำเป็นบ้าง ซึ่งได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษของมัน เช่นถ้าเรามาจากหมู เราควรมีหนังหนาที่ข้อเท้าหน้า นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ ที่ชี้ว่าสัตว์แต่ละชนิดได้ถูกออกแบบมาแต่ต้นให้เหมาะสมที่สุด ขณะที่วิวัฒนาการเป็นเรื่องการลองผิดลองถูก ธรรมชาติไม่เคยลองผิดลองถูกเลยครับ “ธรรมชาติ” มุ่งสู่ “เป้าหมาย” อย่างแม่นยำเสมอ ซึ่งอธิบายว่าทำไมสิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนแล้วแต่สมบูรณ์แบบในแบบฉบับของมันเอง หากพิจารณาเหตุผลเราจะพบว่า การที่ใครสักคนจะถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ติดต่อกันทุกงวดเป็นเวลา ๑,๐๐๐ ปี ยังมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่าที่จะเกิดสัตว์ชั้นต่ำ ๑ ชนิดขึ้นมาบนโลกโดยบังเอิญ

ผมเคยอ่านเจอนักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งยกตัวอย่างเรื่องนี้ไว้ว่า “สมมุติมีลูกบอลสีแดงลูกหนึ่งอยู่หลังบ้านผม มีคนถามว่าบอลลูกนี้มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ผมตอบว่า ครั้งหนึ่งมีมะพร้าวต้นหนึ่งออกผล แล้วมีลูกมะพร้าวลูกหนึ่งตกลงมา กลิ้งไปใต้ต้นยางพาราพอดี บังเอิญมดมาเจาะลูกมะพร้าวเป็นรู และเกิดลมพัดกิ่งยางพาราหัก ทำให้น้ำยางพาราไหลลงมาในรูมะพร้าวนี้ แล้วมีทรายสีแดงพัดลงไปในรูมะพร้าวผสมกับน้ำยางพารา สุดท้ายมีดินก้อนหนึ่งไปอุดรูนี้พอดี ต่อมาลมพัดจนมะพร้าวตกเหวลงทะเล คลื่นลมในมหาสมุทรทำให้น้ำยางกับทรายสีแดงคลุกเคล้ากัน และความร้อนทำให้ยางจับตัวเป็นลูกบอลในลูกมะพร้าว ต่อมาคลื่นซัดมะพร้าวกระทบหิน เปลือกมะพร้าวแตก ลูกบอล
ข้างในกลิ้งออกมาตามชายหาด สุดท้ายมีเหยี่ยวคาบลูกบอลมาทิ้งไว้หลังบ้านผม”

หากถามว่าเป็นไปได้ไหม คำตอบคือเป็นไปได้ ทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด แต่หากถามว่าเชื่อไหม คงไม่มีผู้ใดเชื่อ ระหว่างลูกบอลสีแดงลูกหนึ่งกับนกตัวหนึ่ง อะไรสลับซับซ้อนกว่ากัน ถ้าไม่เชื่อว่าลูกบอลสีแดงลูกหนึ่งเกิดขึ้นมาได้เอง แล้วทำไมจึงเชื่อว่านกเกิดมาได้เอง ผมพบว่าหลายครั้งที่ผมเชื่อบางอย่างโดยไม่ใคร่ครวญเหตุผลและโอกาสความเป็นไปได้ว่ามากน้อยเพียงใด อีกตัวอย่างเช่น หากเราเอานาฬิกาสักเรือนมาถอดกลไกออก แล้วเอาใส่กล่องเขย่าให้มันรวมกลับเข้ามาเป็นนาฬิกาใหม่เหมือนเดิมก็เป็นได้ แต่หากถามว่าเชื่อไหม คงไม่มีผู้ใดเชื่อ เช่นกันครับ เป็นเรื่องยากที่ผมจะเชื่อว่า รหัสดีเอ็นเอซึ่งสลับซับซ้อนกว่ากลไกนาฬิกามากมายจะมาเรียงกันโดยบังเอิญ

ปัจจุบันพบว่ามนุษย์มีรหัสดีเอ็นเอซึ่งประกอบด้วยคู่เบส (base pair) เพียง ๔ ชนิด คือ A, T, G, C เรียงต่อๆ กัน เช่น ATGGTGCACCTGACTCCTGAGGAGAAGTCTGCGGTTACTGCCCTGTGGGGCAAGGTGAACGTGGATGAAGTTGGTGGT (นี่เป็นรหัสบางส่วนของการสร้างฮีโมโกลบินจากจำนวน ๕๗๖ ตำแหน่ง) เป็นต้น มนุษย์เรามีรหัสแบบนี้ ๓,๐๐๐ ล้านตำแหน่ง ซึ่งต้องถูกต้องแม่นยำมาก หากผิดเพียงตำแหน่งเดียวก็อาจทำให้เป็นโรคร้ายแรงได้ เช่นการผิดจาก A เป็น T ในรหัสการสร้างฮีโมโกลบินเพียงตำแหน่งเดียวจาก ๕๗๖ ตำแหน่ง จะทำให้ร่างกายถอดรหัสกรดอะมิโนตำแหน่งที่ ๖ ในสายโปรตีนฮีโมโกลบินผิด เกิดเป็นโรค Sickle Cell Anemia ขึ้น

จะเห็นว่าความผิดพลาดเพียงตำแหน่งเดียวยังสามารถส่งผลเสียรุนแรงถึงเพียงนี้ การที่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจะวิวัฒนาการมาเป็นชั้นสูง มันไม่ใช่แค่การผ่าเหล่าตำแหน่งเดียว แต่ต้องมีการเพิ่มรหัสพันธุกรรมจำนวนมหาศาล สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่ไม่มีปอดจะเติบโตมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีปอดต้องมีการเพิ่มรหัสพันธุกรรมที่ใช้สร้างปอดเข้าไป มียีนจำนวนมากเพิ่มเข้าไปอีก แบคทีเรียมีรหัสพันธุกรรมเพียงประมาณ ๔.๖ ล้านรหัส ขณะที่มนุษย์มีถึง ๓,๐๐๐ ล้านรหัส จะเห็นได้ว่าต้องมีการ add on รหัสพันธุกรรมจำนวนมากโดยไม่ผิดพลาดเลย แบคทีเรียจึงจะกลายมาเป็นมนุษย์ได้ เฉพาะเรื่องการที่มนุษย์สามารถยืนสองขาตัวตรงก็เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์แล้ว มนุษย์ต้องมีระบบการทรงตัว
ที่ดีเยี่ยม เท้าต้องถูกออกแบบเพื่อการยืนและรับแรงกระแทก ต้องมีกลไกควบคุมให้เลือดไปเลี้ยงสมองอย่างคงที่ ต่อมหมวกไตต้องโดนกระตุ้นให้เก็บเกลือได้มากขึ้นเตรียมพร้อมสำหรับการยืน เพื่อให้ปริมาณเลือดไปเลี้ยงสมองได้เท่าเดิม เชิงกรานต้องถูกออกแบบอย่างดี ผู้หญิงจึงสามารถยืนได้และสามารถคลอดบุตรได้ หลายอย่างพอดีหมด ผมได้แต่ถามตนเองว่าของเหล่านี้มันเป็นผลจากความบังเอิญจริงๆ หรือ ผมคิดว่าต้องใช้ความเชื่ออย่างมากๆ ครับที่จะคิดว่าสิ่งที่สมบูรณ์แบบเป็นเพียงเรื่องของความบังเอิญ

interview03

ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีวิวัฒนาการมักจะพูดถึงเรื่องของตัวเชื่อม ห่วงโซ่ที่หายไป (missing link)
หากวิวัฒนาการถูกต้องจริง เราจะต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงทีละนิดๆ ไปเรื่อยๆ จากสัตว์ชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง เป็น “link” ที่เชื่อมสัตว์ ๒ ชนิดเข้าด้วยกันแต่จนทุกวันนี้เรายังไม่พบตัวเชื่อมดังกล่าวเลย ผู้คนจำนวนหนึ่งยังหวังที่จะพบ “missing link” นี้ ซึ่งจะเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือของทฤษฎีวิวัฒนาการ

ในปี ๑๙๑๒ ชาร์ลส์ ดอว์สัน (Charles Dawson) ได้พบชิ้นส่วนกะโหลกมนุษย์โบราณที่ Piltdown quarry ในประเทศอังกฤษ โดยส่วนหน้าผากเหมือนมนุษย์ในปัจจุบันขณะที่ขากรรไกรยังเป็นลักษณะของเอป (ape) จึงได้ชื่อว่ามนุษย์ Piltdown (Eoanthropus dawsoni) และถูกประกาศว่าเป็น “missing link” ของมนุษย์กับเอป ถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มาก สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเรื่องลวงโลกแห่งศตวรรษเพราะเบื้องหลังเป็นการทำเทียมขึ้นมาโดยเอากะโหลกหน้าผากมนุษย์ปัจจุบันไปฝังรวมกับขากรรไกรของลิง อีกครั้งหนึ่ง มีการค้นพบมนุษย์มีฟันซึ่งแปลก น่าจะเป็นตัวเชื่อมระหว่างเอปกับมนุษย์ อย่างไรก็ตามกลายเป็นเรื่องโกหกอีกเมื่อพบว่าหลักฐานถูกทำปลอมขึ้นจากฟันของหมู

อีกเรื่องที่สำคัญมาก คือความเชื่อว่าสัตว์เลื้อยคลานอย่างไดโนเสาร์มีวิวัฒนาการไปเป็นนก เมื่อมีการขุดพบฟอสซิลของ Archaeopteryx ในแคว้นบาวาเรียทางตอนใต้ของเยอรมนี รูปร่างเหมือนสัตว์เลื้อยคลานแต่มีขนแบบนก ในช่วงนั้นเป็นที่โจษจันมากว่าพบการเชื่อมระหว่างนกกับสัตว์เลื้อยคลานแล้ว แต่เมื่อนักวิทยาศาสตร์ศึกษาก็ยังงงว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ มันเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีขนปีกเหมือนนก หรือเป็นนกที่บินไม่ได้กันแน่ แต่แล้วในปี ๑๙๙๑ มีการค้นพบ Protoavis texensis ในรัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา เป็นสัตว์ขนาดนกยูงที่มีลักษณะเหมือนนกยุคใหม่มาก มันบินได้แน่ๆ คือมีกระดูกไหปลาร้าซึ่งสัตว์เลื้อยคลานไม่มี และมีอายุเก่าแก่กว่า Archaeopteryx ถึง ๗๕ ล้านปี (หากใช้วิธีวัดอายุแบบนักนิยมดาร์วินใช้) แสดงว่า Archaeopteryx ไม่มีทางเป็นบรรพบุรุษของนกยุคใหม่ และ Protoavis texensis ยังชี้ให้เห็นว่านกไม่ได้มาจากสัตว์เลื้อยคลาน แต่มันมีชีวิต
อยู่ในยุคสมัยเดียวกัน หากไปอ่านในไบเบิลจะพบว่าพระเจ้าทรงสร้างนก (รวมถึงสัตว์บินได้เช่นแมลง) และสัตว์เลื้อยคลานขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกัน

ลองดูอีกกรณีศึกษา นักนิยมดาร์วินเห็นพ้องต้องกันว่า ปลาซีลาคานท์ (Coelacanth) น่าจะเป็นบรรพบุรุษของสัตว์บกทั้งมวล ก่อนจะสูญพันธุ์ไปเมื่อ ๓๕๐ ล้านปีก่อน แต่ซีลาคานท์เป็นปลานักสู้ มันตะกายไปที่ปากแม่น้ำ มีขางอกออกมาขึ้นสู่บกอย่างสมศักดิ์ศรี และให้กำเนิดสัตว์บกรวมถึงมนุษยชาติ การค้นพบฟอสซิลปลาชนิดนี้ นักวิทยาศาสตร์ “เชื่อ” ว่า ครีบของมันน่าจะแข็งแรงพอให้มันคลานไปมาบนแผ่นดินได้และประกาศว่าพบ “ห่วงโซ่ที่หายไป” ต่อมาในปี ๑๙๓๘ ชาวประมงลากอวนที่นอกแหลมกู๊ดโฮป พบปลาหน้าตาประหลาดและพบว่ามันคือปลาซีลาคานท์ ซึ่งเข้าใจว่าสูญพันธุ์ไปกว่า ๓๕๐ ล้านปีแล้ว เมื่อศึกษาการดำเนินชีวิตของซีลาคานท์พบว่าปลาชนิดนี้อาศัยอยู่ในน้ำลึก ๒๐๐ เมตร เมื่อขึ้นสู่ผิวน้ำมันจะตายเนื่องจากการลดลงของความดัน ซึ่งพิสูจน์ว่ามันขึ้นบกไม่ได้ และมันไม่ได้เดินเกร่ที่ก้นทะเล มันก็ว่ายน้ำเหมือนปลาอื่นๆ นั่นแหละ นอกจากนี้ครีบของมันเมื่อเทียบกับขนาดลำตัวก็ไม่ได้แข็งแรงไปกว่าครีบปลาทองจนจะสามารถกลายเป็นแขนขาของสัตว์บกได้ ซีลาคานท์จึงไม่อาจเป็นห่วงโซ่เชื่อมปลากับสัตว์บกอย่างที่เข้าใจกัน

ที่สำคัญคือซีลาคานท์ปัจจุบันหน้าตาเหมือนฟอสซิลทุกประการ หมายความว่ารูปร่างหน้าตาของมันไม่เปลี่ยนแปลงเลยตลอด ๓๕๐ ล้านปี ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีวิวัฒนาการที่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตต้องมีการผันแปรไปเรื่อยๆ การพบซีลาคานท์ที่มีชีวิตกลับไปสนับสนุนทฤษฎี stability of species คือสิ่งมีชีวิตมีแนวโน้มที่จะรักษาสปีชีส์ของตนเอาไว้ไม่ผันแปรไป การเจอผึ้งที่อยู่ในแท่งอำพันอายุเป็นแสนปีเทียบกับผึ้งปัจจุบัน พบรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกประการ ก็สนับสนุนทฤษฎี stability of species และขัดแย้งอย่างรุนแรงกับทฤษฎีวิวัฒนาการ

แล้วโลมาหรือวาฬก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีวิวัฒนาการจากที่เคยอยู่บนบก ครีบของมันก็คือมือในอดีต
ถ้าสมมุติว่าเราค่อยๆ ลงไปในน้ำและอยู่ในน้ำ ผมเอาลูกผมลงน้ำ หลานผมลงน้ำ ผมเชื่อว่าเหลนผมจะไม่มีครีบคล้ายโลมา หรือจมูกจะไม่เลื่อนไปอยู่ข้างหลังไว้โผล่หายใจ มันเป็นไปไม่ได้ ความคล้ายกันของสิ่งมีชีวิตอาจสะท้อนถึงผู้สร้างคนเดียวกัน ใช้พิมพ์เขียวใกล้เคียงกันสร้างบางอย่างออกมา ดีเอ็นเอหรือพิมพ์เขียวของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็มีแบบของมัน ต่างกันเล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้ไปเป็นครีบแทนที่จะเป็นขา ตรงนี้เป็นห้านิ้วก็เป็นพังผืด สำหรับผมแล้วสิ่งนี้มิได้สะท้อนถึงความบังเอิญ แต่สะท้อนถึงผู้สร้างเป็นคนเดียวกัน

พวกที่ไม่เชื่อเรื่องวิวัฒนาการมักมองว่าทฤษฎีวิวัฒนาการสนับสนุนการล่าอาณานิคม
การขยายอาณานิคมไปในเอเชีย แอฟริกา รวมทั้งอเมริกา จะต้องมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามการฆ่าคนเป็นข้อห้ามในพระคัมภีร์ไบเบิล พระเจ้าสอนให้มนุษย์เมตตาต่อผู้ที่ด้อยกว่า หญิงม่าย เด็กกำพร้า คนต่างด้าว และผู้ยากไร้ แต่ทฤษฎีวิวัฒนาการช่วยทำให้การขยายอาณานิคมเป็นไปได้ง่ายขึ้น เพราะคนจำนวนหนึ่งถูกทำให้เชื่อว่า ผิวขาวเหนือกว่าผิวดำและผิวเหลือง เผ่าพันธุ์ที่แข็งแรงกว่าย่อมอยู่รอดได้ จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะทำลายล้างเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอ ในเรื่องนี้ก็ขัดแย้งกับศาสนาคริสต์อย่างรุนแรงครับ เพราะพระเจ้าสั่งให้ปกป้องดูแลผู้ที่อ่อนแอ ที่จริงแล้วทฤษฎีวิวัฒนาการขัดแย้งกับความเชื่อของศาสนาใหญ่ๆ ไม่ว่าศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮีบรู ฮินดู รวมทั้งศาสนาพุทธด้วย

interview04

หลักฐานเรื่องนกฟินช์ที่ดาร์วินพบบนเกาะกาลาปากอสว่ามีถึง ๑๓ พันธุ์ โดยมีลักษณะบางอย่างแตกต่างกันอันทำให้มันเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่ ซึ่งดาร์วินคิดว่า นี่คือ “วิวัฒนาการ” จนเกิดนกสายพันธุ์ใหม
คำถามที่สำคัญคือ ๑๓ พันธุ์นี้เป็นสปีชีส์ใหม่หรือเป็นสปีชีส์เดิมที่มีการผันแปร เราต้องแยกความสามารถในการปรับตัว (adaptation) กับวิวัฒนาการ (evolution) คนสามารถปรับตัวได้ เช่นคนผิวขาว ถ้าโดนแสงอาทิตย์จัดๆ ผิวก็คล้ำขึ้น นี่ต่างกันมากกับการเกิดสปีชีส์ใหม่

ดาร์วินพบว่านกฟินช์บนเกาะกาลาปากอสมีจะงอยปากยาวกว่านกฟินช์ที่อื่น ทั้งนี้เพื่อใช้เจาะแมลงใต้เปลือกไม้หนาๆ บนเกาะซึ่งแห้งแล้ง นอกจากนี้ท่านพบว่านกฟินช์อีกหลายพันธุ์มีลักษณะพิเศษบางอย่างที่ทำให้มันเหมาะสมกับถิ่นอาศัย และดาร์วินคิดว่านี่คือการวิวัฒนาการ อย่างไรก็ตาม การศึกษาในระยะเวลาอันยาวนานพบว่า ในปีที่แห้งแล้งจะงอยปากนกฟินช์จะยาว ๑๑ มม. จะไม่สั้นกว่านี้เพื่อมันจะสามารถอยู่รอดได้ แต่ถ้าปีไหนฝนตกหนัก ลูกนกเกิดใหม่จะมีจะงอยปากสั้นลง คือเฉลี่ย ๙ มม. ทั้งที่พ่อแม่ของมันมีจะงอยปากยาว ฉะนั้นการที่บอกว่านกฟินช์จะงอยปากยาวเป็นสปีชีส์ใหม่อาจไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก

ในปี ๑๙๘๓ โจนาทาน ไวเนอร์ (Jonathan Weiner) บันทึกว่า “นกฟินช์ตะบองเพชรบนเกาะ Daphne Major พันธุ์สแกนเดนตัวหนึ่งไปเกี้ยวนกฟินช์ฟอร์ทิสตัวเมียตัวหนึ่ง มันผสมพันธุ์กันเกิดลูกมา ๔ ตัว และลูก ๔ ตัวนี้ให้กำเนิดหลานอีก ๔๖ ตัว” เช่นกัน ปีเตอร์และโรสแมรี แกรนต์ (Peter and Rosemary Grant) เข้าไปทำงานบนเกาะนี้กว่า ๑๐ ปี ก็พบการผสมพันธุ์ข้ามกลุ่มให้ลูกนกที่สามารถให้กำเนิดหลานได้

เกิดคำถามว่า นกฟินช์ ๑๓ สายพันธุ์ที่เกาะกาลาปากอสซึ่งดาร์วินเข้าใจว่ามีวิวัฒนาการจนเกิดเป็นสปีชีส์ต่างๆ “อาจ” จะไม่ใช่ก็ได้ เพียงแต่มีลักษณะบางอย่างต่างกัน มันจึงสามารถผสมพันธุ์กันได้และให้กำเนิดลูกหลาน เพราะตามหลักแล้วสัตว์ต่างสปีชีส์ผสมข้ามพันธุ์กัน อย่างม้ากับลาออกมาเป็นล่อ ล่อจะเป็นหมันมีลูกต่อไม่ได้ แต่นกฟินช์ต่างพันธุ์มีลูกที่ให้กำเนิดหลานได้ ดังนั้น การที่ดาร์วินเข้าใจว่านกฟินช์ที่มีรูปร่างและพฤติกรรมที่แตกต่างกันบนเกาะกาลาปากอสมีการ “วิวัฒนาการ” จนมีสปีชีส์ที่ต่างกันออกไป “อาจ” เป็นเรื่องเข้าใจผิด มันยังคงเป็นสปีชีส์เดียวกัน การที่นกฟินช์ “ไม่ชอบ” ผสมพันธุ์ข้ามกลุ่ม ต่างกันมากกับ “ไม่สามารถ” ผสมพันธุ์กันได้ เช่นสุนัขพูเดิลอาจจะไม่ชอบเลือกลาบราดอร์เป็นคู่ แต่มันสามารถผสมพันธุ์และให้ลูกที่สามารถสืบพันธุ์ต่อไปได้ เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นสปีชีส์ Canis familiaris เหมือนกัน

นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังซึ่งบันทึกการเปลี่ยนแปลงของปริมาณฝนกับการเปลี่ยนแปลงของจะงอยปากนกฟินช์ที่สั้นยาวได้นั้น เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า microevolution หรือการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและการดำรงชีพ นักวิวัฒนาการเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ อย่าง microevolution นี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เป็น macroevolution หรือวิวัฒนาการจนกลายเป็นสปีชีส์ใหม่ได้ อย่างไรก็ตามไม่เคยพบหลักฐานของ macroevolution และเรื่องนี้ขัดแย้งอย่างรุนแรงกับทฤษฎี stability of species ซึ่งมีหลักฐานสนับสนุน

แสดงว่าคุณหมอเชื่อในการปรับตัว (microevolution)
เรื่องการปรับตัวผมเชื่อครับ การที่สัตว์ต่างๆ มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ผมกลับมองอีกมุมหนึ่งว่านี่คือการสรรค์สร้างอันยอดเยี่ยมของพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตให้มีความสามารถในการปรับตัวสูงมาก แต่มิได้แปลว่าเราจะสามารถวิวัฒนาการเปลี่ยนไปเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เราก็ยังคงเป็นชนิดเดิม

นักวิทยาศาสตร์บอกว่าในช่วงสั้นๆ ไวรัสบางตัวมีวิวัฒนาการแล้ว
แบคทีเรียบางชนิดดื้อต่อยาปฏิชีวนะ หรือเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ผันแปรตัวเองเพื่อดื้อยาต้านไวรัส เกิดขึ้นได้ครับ แต่หากถามว่ามันได้เปลี่ยนตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ครับ มันยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตเดิม เพียงแต่สร้างสารบางอย่างได้ ตัวอย่างเช่นเชื้อแบคทีเรียอีโคไล (E. Coli) อาจจะสร้างสารไปทำลายเพนนิซิลลิน (Penicillinase) มันจึงดื้อต่อเพนนิซิลลิน แต่ก็ยังคงเป็นอีโคไลอยู่นั่นเอง มิได้เปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่

ไม่เรียกว่าเป็นวิวัฒนาการ
แล้วแต่จะเรียกครับ จะเรียกวิวัฒนาการก็ได้ แต่ผมอยากเรียกว่า “การปรับตัว” ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่เท่านั้น เช่นความสามารถในการผันแปรของไวรัสเอชไอวีสูง แต่มันก็ยังเป็นไวรัสเอชไอวีอยู่นั่นเอง ไม่ได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงขึ้น ในเรื่องนี้พอไปอ่านไบเบิลผมรู้สึกประทับใจ เนื่องจากเราคงทราบว่าเชื้อเอดส์มาจากลิงชนิดหนึ่ง แล้วเข้าใจว่าคนไปมีเพศสัมพันธ์กับลิง จากนั้นก็ติดมาถึงคนและแพร่ระบาดจนผู้คนต้องล้มตายมากมาย ไบเบิลได้บันทึกว่า ถ้ามนุษย์มีเพศสัมพันธ์กับสัตว์เมื่อใด ความวิบัติก็จะมาถึง พระเจ้าห้ามเด็ดขาด ผมตกใจว่าทำไมเรื่องแบบนี้จึงถูกเขียนไว้ในไบเบิลตั้งนานแล้ว

 

แสดงว่าคุณหมอไม่เชื่อเรื่องการคัดเลือกของธรรมชาต
ผมเชื่อว่าธรรมชาติมีการคัดเลือก “ตัว” ที่แข็งแรง แต่ไม่ใช่ “เผ่าพันธุ์” ที่แข็งแรง อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าถ้าเราเชื่อแบบนั้นจนหมดก็น่าคิดเหมือนกัน อาทิเราเป็นหมอ เราเห็นเด็กคนหนึ่งเกิดมาอ่อนแอ เราควรรักษาเขาหรือไม่ ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง มีคนเสนอความคิดนี้ออกมาว่า หากเราพยายามรักษาเด็กที่มียีนด้อย ถ้าเขาโตขึ้นเขาจะแพร่ยีนด้อยให้แก่ลูกหลาน และเผ่าพันธุ์มนุษย์จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ ดังนั้นควรปล่อยให้ทารกที่อ่อนแอตายไปเสีย ถ้าเราเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการแล้วเราทำตาม ก็ไม่ต้องรักษา ปล่อยให้เสียชีวิตไป แต่ในความเป็นจริงเราคงทำไม่ได้ บางทีเราต้องยอมรับว่าสัตว์ตัวที่เกิดมาอ่อนแอ พ่อแม่อาจจะทิ้งให้ตายก็ตาม หากนั่นเป็นสัตว์ เขามีกลไกของเขา แต่มนุษย์แตกต่างออกไปมาก ผมเองเชื่อว่า ชีวิตเป็น “ของขวัญ” จากพระเจ้า ไม่มีผู้ใดสร้างชีวิตได้ เด็กๆ ทุกคนเกิดมา ไม่ว่าเขาจะแข็งแรงหรืออ่อนแอ ไม่ว่าเขาจะเกิดมาด้วยความตั้งใจของผู้เป็นพ่อแม่หรือไม่ก็ตาม ล้วนมีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า

มีคนจำนวนหนึ่งบอกว่า คนกับลิงมีดีเอ็นเอใกล้เคียงกันมาก ผมเองยอมรับว่าเป็นอย่างนั้น คนกับลิงชิมแปนซีมีดีเอ็นเอต่างกัน ๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีก ๙๕ เปอร์เซ็นต์ซ้ำกัน แต่ต้องไม่ลืมว่านั่นคือ ๕ เปอร์เซ็นต์ของจำนวนดีเอ็นเอ ๓,๐๐๐ ล้านตำแหน่ง มันหมายถึง ๑๕๐ ล้านตำแหน่งที่ต่างกัน ซึ่งบังเอิญยากครับ สมมุติมีคนบอกว่า เด็กคนหนึ่งทำข้อสอบที่มีตัวเลือก ๔ ตัวเลือก ถูกหมดทั้ง ๑๕๐ ล้านข้อโดยอาศัยการเดาสุ่ม คงไม่มีผู้ใดเชื่อใช่ไหมครับ

ในเรื่องนี้ผมมีความเห็นตรงข้ามครับ เหมือนการประดิษฐ์รถยนต์ สมัยก่อนอาจจะมี ๒ สูบ ต่อมา ๔ สูบ เดิมต้องใช้มือหมุนในการติดเครื่อง ต่อมาใช้แบตเตอรี่สตาร์ตแทน ถามว่าสิ่งนี้คือวิวัฒนาการหรือเปล่า คงไม่ใช่ ลองดูรถฟอร์ดรุ่นแรกสุดกับรุ่นถัดๆ มา ไม่ว่าจะเป็นฟอร์ดทันเดอร์เบิร์ด ฟอร์ดมัสแตง จะพบว่ามีการเปลี่ยนรูปแบบรถให้ดีขึ้น แต่ก็ยังคงความใกล้เคียงกันอยู่เพราะเป็นทีมวิศวกรของฟอร์ดออกแบบ เช่นกันครับ ผมมองว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ส่วนหนึ่งนั้นสะท้อนถึงผู้สร้างเป็นคนเดียวกัน ซึ่งผมเชื่อว่าผู้นั้นคือองค์พระเจ้าครับ

เรื่องอายุของโลก ถ้าเชื่อว่าโลกอายุไม่เกินหมื่นปี ไดโนเสาร์อายุ ๖๐ กว่าล้านปีนี่ก็ไม่จริง
เราต้องทราบก่อนว่าการคาดคะเนอายุไดโนเสาร์อยู่บนพื้นฐานอะไร อายุของฟอสซิลบอกได้จากชั้นหิน โดยอาศัยหลักวิชาที่เรียกว่า Stratigraphy โดยกำหนดว่าการตกตะกอนอยู่ที่ ๐.๒ มิลลิเมตรต่อปี อายุของไดโนเสาร์ถูกกำหนดจากความลึกของการขุดนี้เอง ดังนั้น หากขุดพบซากที่ระดับความลึก ๑๕,๐๐๐ เมตร ซากนั้นก็น่าจะมีอายุ ๗๕ ล้านปี เป็นต้น แต่ทั้งหมดนี้เกิดจากการคาดคะเนครับ ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วตะกอนตกในอัตราเท่าไร

ที่น่าสนใจคือ นักวิทยาศาสตร์กำหนดให้ยุคพรีแคมเบรียน แคมเบรียน ไซลูเรียน จูแรสสิก และยุคอื่นๆ การตกตะกอนไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย คือ ๐.๒ มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งแท้จริงแล้วด้วยอัตรานี้จะมีปัญหามาก หากเราจะกลบฝังไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่อย่าง แบรคคิโอซอรัส ด้วยอัตราการสะสมตะกอน ๐.๒ มิลลิเมตรต่อปี เป็นไปไม่ได้ ไดโนเสาร์ตัวนั้นจะถูกทำลายโดยสัตว์กินซากเสียก่อน

การกลบไดโนเสาร์ทั้งตัวให้อยู่ในสภาวะฟอสซิลต้องเร็วกว่านี้มากมาย มีการขุดพบต้นไม้ต้นหนึ่งที่กลายเป็นถ่านหินสูง ๔๐ ฟุต ซึ่งตั้งแสดงอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ที่ลอนดอน ต้นไม้ต้นนี้เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าการกลบฝังน่าจะเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด ไม่อย่างนั้นด้านบนต้องเน่าเปื่อยไปเสียก่อน ถ้าเราคำนวณการฝังต้นไม้สูงขนาดนี้ภายในปีเดียว แสดงว่า Stratigraphy ที่เราใช้คำนวณ คำนวณผิดไป ๖ หมื่นเท่าจาก ๐.๒ มม. ต่อปีเป็น ๔๐ ฟุตต่อปี ซึ่งแปลว่าเราอาจคะเนอายุไดโนเสาร์ผิดไป ๖ หมื่นเท่าของความเป็นจริง ที่บอกว่าอายุไดโนเสาร์ ๖๐ ล้านปีเป็นวิธีการคะเนเท่านั้น

คุณหมอเชื่อว่าไดโนเสาร์อายุเท่าไร
ผมเองยอมรับว่าไม่แน่ใจครับ ก่อนหน้านี้ผมเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าไดโนเสาร์มีอายุหลายร้อยล้านปี แต่ปัจจุบันนี้ผมเปิดใจกว้างขึ้นว่าอาจไม่เก่าแก่ขนาดนั้น เมื่อได้ศึกษาถึงเบื้องหลังการคะเนอายุไดโนเสาร์ อายุของโลกก็เช่นกัน ถูกคะเนโดยการสลายตัวของยูเรเนียมเป็นตะกั่ว และการสลายตัวของโพแทสเซียมเป็นอาร์กอน หลักการ “เชื่อ” ว่า ตะกั่ว ๒๐๖ ได้มาจากการสลายตัวของยูเรเนียม ๒๓๘ เท่านั้น และยูเรเนียม ๒๓๘ มีค่าครึ่งชีวิต ๔,๕๐๐ ล้านปี หากเราพบแหล่งหินหนึ่งซึ่งประกอบด้วยยูเรเนียม ๒๓๘ ครึ่งหนึ่ง และตะกั่ว ๒๐๖ อีกครึ่งหนึ่ง ก็น่าจะบอกได้ว่าหินก้อนนั้นมีอายุ ๔,๕๐๐ ล้านปี ซึ่งบังเอิญเท่ากับอายุโลกพอดี

วิธีนี้จะแม่นยำได้ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่า เริ่มต้นมียูเรเนียม ๒๓๘ เท่าไร และมีตะกั่ว ๒๐๖ เท่าไร สิ่งเดียวที่เรารู้คืออัตราการสลาย นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมุติฐานว่า โลกเมื่อเริ่มแรกนั้นไม่มีตะกั่ว ๒๐๖ อยู่เลย เป็นยูเรเนียม ๒๓๘ ทั้งหมด นี่เป็นการคาดคะเนทั้งหมดที่อาจจะไม่จริงก็ได้ เพราะการสลายยูเรเนียมมาเป็นตะกั่วยังให้ฮีเลียมด้วย เมลวิน คุก (Melvin Cook) ได้คำนวณว่า หากโลกมีอายุ ๔,๕๐๐ ล้านปีจริง การสลายยูเรเนียมจะก่อให้เกิดฮีเลียมในบรรยากาศ ๑๐,๐๐๐ พันล้านตัน แต่ในความเป็นจริงเราพบเพียง ๓.๕ พันล้านตัน หากใช้วิธีนี้คำนวณโลกจะมีอายุเพียง ๑๗๕,๐๐๐ ปี มันตอบคำถามไม่ได้ว่าถ้าโลกมีอายุยาวนานขนาดนั้นจริง ฮีเลียมหายไปไหนมากมาย มีหลายอย่างแย้งกันเอง นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อดาร์วินก็จะเลือกเชื่อมุมที่เข้าได้กับทฤษฎีของเขา แต่ไม่ตอบเรื่องฮีเลียมหรือเรื่องการกลบฝังไดโนเสาร์ นักวิทยาศาสตร์ยินดีที่จะใช้วิธีอะไรก็ได้ที่ทำให้ไดโนเสาร์และโลกมีอายุเก่าแก่ เพราะหากโลกและไดโนเสาร์มีอายุน้อย มันหมายถึงความล่มสลายของทฤษฎีวิวัฒนาการ ทั้งนี้มิได้หมายความว่าผมไม่เชื่อว่าโลกเก่าแก่ เพียงแต่วิธีวัดอายุโลกยังมีช่องโหว่บางเรื่อง และแม้โลกเก่าแก่จริงก็มิได้หมายความว่าทฤษฎีวิวัฒนาการจะถูกต้อง

ที่น่าสนใจคือ ดังที่กล่าวไปแล้ว สิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่ปรากฏขึ้นบนโลกคือ Isosphaera เกิดเมื่อ ๓,๘๐๐ ล้านปีที่แล้ว พร้อมๆ กับการกำเนิดทะเลเมื่อ ๓,๘๐๐ ล้านปีก่อน ดูเหมือนว่าทันทีที่สิ่งแวดล้อมของโลกจะเกื้อกูลชีวิตได้ก็เกิดชีวิตขึ้นทันทีโดยไม่รอความบังเอิญเลย

นักชีววิทยาบอกว่าทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นเสาหลักของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ คุณหมอเห็นด้วยไหม
ผมยอมรับว่าศาสนจักรในอดีตใจแคบมาก เช่นการเอาผิดกับกาลิเลโอ ทั้งนี้ทั้งนั้นทำให้คนจำนวนไม่น้อยเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อศาสนจักร การที่กาลิเลโอบอกว่าโลกกลม แล้วไบเบิลกล่าวว่าโลกแบนหรือ คำตอบคือไม่ใช่ครับ แท้จริงไบเบิลบันทึกว่าโลกกลม โดยกล่าวว่า “พระเจ้าประทับอยู่บนขอบโค้งของโลก” (He sits enthroned above the circle of the earth) เขียนไว้ในพระธรรมอิสยาห์บทที่ ๔๐ ข้อ ๒๒ บันทึกไว้ประมาณ ๘๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ความเก่าแก่ของไบเบิลทำให้หลายคนเข้าใจว่าไบเบิลล้าหลัง เมื่อผมศึกษาจริงๆ กลับพบสิ่งที่ตรงกันข้าม

หากอ่านประวัติศาสตร์จะพบว่าแนวคิดโลกแบนมาจากพวกอริสโตเติลซึ่งอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูง ศาสนจักรรับความคิดนี้เข้ามา ไบเบิลไม่เคยกล่าวว่าโลกแบน ตรงกันข้าม ไบเบิลบันทึกมานานมากแล้วว่าโลกกลม นอกจากนี้เราทราบว่าโลกเราลอยอยู่กลางอวกาศเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา แต่ในไบเบิลเขียนไว้ชัดเจนนะครับว่า “พระเจ้าทรงแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า” (He suspended the earth over nothing. Job ๒๖:๗) จากพระธรรมโยบซึ่งมีอายุกว่า ๓,๐๐๐ ปี เพียงแต่คนโบราณไม่สามารถเข้าใจได้

ผมคิดว่าไบเบิลมีหลักฐานรองรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ ขณะที่ทฤษฎีวิวัฒนาการต้องใช้ความเชื่อมากๆ วิวัฒนาการที่เราเดาว่าอันนี้เปลี่ยนมาจากอีกตัวหนึ่ง ทั้งที่เราไม่เคยเจอตัวเชื่อมเลย ฟอสซิลต่างๆ ชี้ให้เห็นว่าไดโนเสาร์ส่วนหนึ่งอยู่ๆ เกิดขึ้นมาแล้ววันหนึ่งมันก็หายไป ไม่มีลูกหลานของมัน ไม่มีตัวใกล้เคียง ไทรเซอราทอปส์ มีสามเขา เราพบมันอย่างนั้น สเตโกซอรัส เราก็เจอมันอย่างนั้น เราพบมันเป็นฟอสซิลโดดๆ มันเกิดมาแล้วหายไป แต่ไม่เคยเจอตัวเชื่อมเลย

ธรรมชาติทุกชนิดจะมุ่งไปสู่จุดสุดยอดของมันเสมอ เหตุใดจึงเชื่อว่าเกิดจากความบังเอิญ เช่นวันหนึ่งเราเจอรูปวาดรูปหนึ่งตกอยู่ เราจะเชื่อว่าสีมันหกตกลงไปโดนเอง หรือเชื่อว่ามีผู้วาดมันขึ้น เช่นกัน โลกของเรา จักรวาลทั้งหมด สิ่งมีชีวิตทั้งปวง ทั้งหมดนี้เป็นผลของความบังเอิญจริงๆ หรือ เป็นเพียงผลพวงจากการระเบิดหรือบิ๊กแบงครั้งหนึ่งจริงๆ หรือ ผมคิดว่าต้องใช้ความเชื่อเยอะมากจริงๆ ครับ

ผมพบว่าโลกของเราถูกออกแบบมายอดเยี่ยมเพื่อเกื้อกูลชีวิต ตัวอย่างเช่น ขนาดของโลกใหญ่กว่านี้ได้ไหม ผมว่าไม่ได้นะครับ หากโลกใหญ่กว่านี้มากๆ แรงโน้มถ่วงมหาศาลจะทำให้ภูเขารับน้ำหนักตัวเองไม่ได้ มันจะแบนราบ โลกจะเป็น “water world” หรือไม่ก็ไม่มีมหาสมุทรขนาดใหญ่เลย ดวงอาทิตย์ใหญ่กว่านี้ได้ไหม คิดว่าไม่ได้นะครับ ถ้าใหญ่กว่านี้ปฏิกิริยานิวเคลียร์จะไม่เสถียร ซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตในดาวบริวาร ดวงอาทิตย์เล็กกว่านี้ได้ไหม ความร้อนก็จะไม่พอ โลกต้องแลกด้วยการเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น เมื่อเข้าใกล้การหมุนรอบตัวเองก็จะช้าลง เมื่อหมุนช้าลงอุณหภูมิกลางวันกับกลางคืนจะต่างกันอย่างรุนแรง ดาวฤกษ์ที่จะ support life ได้ ต้องเป็นดาวแคระเหลือง (yellow dwarf) ประเภท G2 อย่างเช่นดวงอาทิตย์ของเรา ซึ่งมวล อายุของดาว สเปกตรัมของแสงเหมาะแก่ชีวิตบนดาวบริวาร

การเคลื่อนไหวของเหล็กใต้โลกเปรียบเสมือนไดนาโมขนาดยักษ์ เพื่อสร้างสนามแม่เหล็กโลกเกิดเป็น “Van Allen ring” ปกป้องโลกจากลมสุริยะ ไม่เช่นนั้นบรรยากาศจะถูกทำลายจนหมด นี่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโลก แกนของดาวอังคารมีกำมะถันปนมากเกินไป ทำให้เหล็กไม่บริสุทธิ์พอที่จะสร้างสนามแม่เหล็กที่ “well organized” ขึ้นมาได้ โลกยังมี plate tectonic เพื่อสร้างภูเขาและมหาสมุทร มี earth’s albedo เพื่อควบคุมอุณหภูมิ มีดวงจันทร์ที่มีขนาดพอดี เพื่อเกื้อกูลชีวิต นี่เป็นตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้นที่ชี้ให้เห็นว่า โลกถูกสร้างมาเพื่อสิ่งมีชีวิตจริงๆ

ในปี ๑๙๙๔ ดาวหาง Shoemaker-levy 9 พุ่งเข้าชนดาวพฤหัสบดีและก่อให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง หากไม่มีดาวพฤหัสก็มีความเป็นไปได้ที่มันจะพุ่งชนโลก ซึ่งจะก่อให้เกิดแรงระเบิดเท่ากับ TNT ๖ หมื่นถึง ๑.๒ แสนล้านตัน นับเป็นโชคดี ? ที่ระบบสุริยะของเรามีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ ได้แก่ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์อยู่ในวงโคจรรอบนอก แรงดึงดูดมหาศาลของมันได้คอยปกป้องโลกของเราไว้ หากปราศจากดาวเคราะห์ทั้งสอง โอกาสที่โลกจะถูกชนจะเกิดขึ้นทุกหมื่นปี ซึ่งชีวิตจะก่อกำเนิดไม่ได้

ผมมองว่าทั้งชีวิตบนโลก รวมถึงโลกและระบบสุริยะที่เกื้อกูลชีวิตนี้ ถูกออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบเกินกว่าที่จะเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงผลของ “ความบังเอิญ” ครับ

คุณหมอเป็นนักวิทยาศาสตร์ อ่านข้อมูลใหม่ๆ มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนไบเบิลไหมครับ
เยอะมากครับ เช่น ไบเบิลสั่งว่าพี่น้องห้ามแต่งงานกัน ปัจจุบันพบว่าจริงครับ เพราะโอกาสได้ยีนด้อยสูง ไบเบิลสั่งว่าคนต้องล้างมือหากไปแตะต้องศพ เมื่ออ่านประวัติศาสตร์จะพบว่าน่าตกใจ คือเมื่อประมาณ ๒๐๐ ปีที่ผ่านมา เมื่อแพทย์ทำคลอด มารดาจะตายมากกว่าพยาบาลทำคลอดหลายเท่าตัว อัตราการสูญเสียมารดาที่ทำคลอดโดยแพทย์ในสมัยนั้นอาจสูงถึง ๑ ใน ๖ ทั้งนี้เป็นเพราะนักเรียนแพทย์ต้องผ่าศพแล้วมาทำคลอดโดยไม่ได้ล้างมือ คนสมัยโบราณไม่ทราบว่าการแตะต้องศพจะนำเชื้อโรคมาได้ ราวปี ๑๘๒๐ คุณหมอท่านหนึ่งแนะนำให้แพทย์ใช้คลอรีนล้างมือก่อนทำคลอด ปรากฏว่าคุณหมอท่านนั้นถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากแพทย์ท่านอื่น ทั้งที่มันได้ผลจริง เพราะการแพทย์สมัยนั้นไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องจุลชีพและการป้องกันการติดเชื้อ กว่ามนุษย์จะมีความรู้เรื่องแบคทีเรียต้องรอผลงานของท่านปาสเตอร์ (Louis Pasteur) ประมาณปี ๑๘๘๐ ประเด็นที่น่าสนใจคือ มนุษย์เพิ่งทราบเรื่องนี้ไม่นาน แต่ไบเบิลสอนมานานแล้วว่าเมื่อแตะต้องศพต้องล้างมือ ไบเบิลสอนอะไรที่เป็นศาสตร์ใหม่มาก แต่เราไม่ทราบเหตุผล เช่นไบเบิลบอกว่าคนยิวต้องขริบ โดยกำหนดให้ทำในวันที่ ๘ หลังคลอด เราพบไม่นานมานี้ว่าวิตามินเคซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการแข็งตัวของเลือดจะสูงขึ้นสู่ระดับที่ปลอดภัยเมื่อเด็กอายุได้ ๘ วัน ดังนั้นหากขริบทันทีวันแรกหลังคลอด อาจมีเลือดออกรุนแรงได้

เรื่องของการล้างมือ เรื่องของโลกกลม โลกลอยอยู่กลางอวกาศ มีบันทึกไว้นานแล้ว เพียงแต่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้ นอกจากนี้ไบเบิลยังกล่าวว่า มนุษย์ทั้งโลกสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์คู่เดียว คืออดัมและเอวา ซึ่งผมเองก็ตั้งคำถามในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม สเปนเซอร์ เวลส์ (Spencer Wells) ได้เดินทางไปทั่วโลกและเก็บตัวอย่างเลือดจากหลายชนเผ่า อาทิ อะบอริจินในออสเตรเลีย, ชุกชีในทุนดรา ไซบีเรีย, ชาวหุบเขาในอัฟกานิสถาน, นอมาดในทะเลทรายแอฟริกา และที่อื่นๆ ทั่วโลก และโดยการศึกษาดูความสัมพันธ์ของ Y chromosome สามารถยืนยันว่าผู้ชายในโลกนี้มีบรรพบุรุษร่วมกันเพียงหนึ่งเดียว รวมถึงการศึกษา mitochondrial X chromosome ก็ยืนยันว่าผู้หญิงทั้งโลกมีบรรพบุรุษร่วมกันเพียงหนึ่งเดียวเช่นกัน การศึกษาของ เฮย์, เจ. และเมย์นาร์ด สมิท (Haigh, J. and Maynard Smith) ค้นพบสิ่งเดียวกัน มนุษย์ทั้งโลกมาจากพ่อแม่คู่เดียว

ไม่เพียงเรื่องทางการแพทย์ แต่ยังรวมถึงฟิสิกส์ยุคใหม่ เรื่องของทฤษฎีสัมพัทธภาพ พระเจ้าตรัสว่า พันปีในสายตามนุษย์เท่ากับ ๑ วันของเราเท่านั้นเอง เขียนไว้ในพระธรรมสดุดี “เวลา” ของพระเจ้ากับของเรานั้นต่างกัน ตามทฤษฎีของไอน์สไตน์ เวลาของแต่ละคนไหลไม่เท่ากัน ขึ้นกับว่าเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าไร และเราอยู่ในสนามแรงโน้มถ่วงอะไร อีกกรณีหนึ่งซึ่งผมประหลาดใจมาก คือเรื่องที่ไบเบิลเขียนว่า “พระเจ้าดำรงอยู่ก่อนการกำเนิดเวลา” (…before the beginning of time) ตอนเด็กๆ ผมคิดว่า “เวลา” มีมาแต่ไหนแต่ไร และจะมีไปเรื่อยๆ แต่ความจริงไม่ใช่ “เวลา” มีจุดกำเนิดโดยก่อกำเนิดพร้อมกับบิ๊กแบง ก่อนหน้าการกำเนิดเวลาไม่มีเวลา และพระเจ้าเป็นผู้เดียวที่กล่าวว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนหน้าการกำเนิดเวลา

แต่ละวันที่วงการโบราณคดีเจริญก้าวหน้าขึ้น ทำให้ไบเบิลได้รับความเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ก่อนหน้าปี ๑๘๕๐ ผู้คนรู้จักอัสซีเรียจากพระคัมภีร์เท่านั้น ต้องขอบคุณนักโบราณคดี ๒ ท่าน คือ ออสติน เฮนรี ลายาร์ด (Austen Henry Layard) และ ฮอร์มุซด์ รัสสัม (Hormuzd Rassam) ผู้เผยวันเวลาที่หายไปของชาวอัสซีเรียกลับมาให้ชาวโลกได้ประจักษ์ และเมือง Ur อันเก่าแก่ถูกค้นพบในปี ๑๙๑๒ หลังจากสูญหายไปจากประวัติศาสตร์โลกกว่า ๖,๕๐๐ ปี ในช่วงเวลานี้มีเพียงพระคัมภีร์เท่านั้นที่ยืนยันการมีอยู่จริงของเมือง Ur การขุดค้นเมืองเจริโคเมื่อไม่นานมานี้ (ค.ศ. ๑๙๓๐) พบว่ากำแพงเมืองที่แข็งแรงและหนามากของเมืองได้พังทลายลงโดยแบะออกตรงตามพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ นอกจากนี้ยังพบธัญพืชจำนวนมากบรรจุอยู่ในภาชนะในสภาพที่เกือบเต็ม อันแสดงว่าเมืองดังกล่าวอยู่ในสภาวะสงครามในช่วงสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งตรงตามพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า เจริโคถูกล้อมอยู่เพียง ๗ วัน และชาวอิสราเอลที่เอาชนะชาวเมืองนี้ได้ไม่ได้แตะต้องสมบัติในเมืองจริงๆ (ในสมัยนั้นธัญพืชถือเป็นสมบัติที่มีค่ามาก เนื่องจากใช้เป็นอาหารและเป็นเมล็ดพันธุ์เพื่อการเพาะปลูกในปีต่อๆ ไป)

มีการใช้เรือดำน้ำลงไปในทะเลแดง และพบซากรถม้าศึกของอียิปต์จมอยู่เต็มไปหมด ตรงตำแหน่งที่โมเสสข้ามทะเลแดงเมื่อกว่า ๓,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ไบเบิลอีกตอนหนึ่งกล่าวถึงว่า พระเจ้าทรงให้กำมะถันและไฟตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและโกโมราห์ พระเจ้าทรงเผาเมืองบาปทั้งสองนี้ด้วยไฟกำมะถัน เมื่อเร็วๆ นี้นักโบราณคดีไปขุดพบเมืองโบราณแถบทะเลสาบเดดซีใกล้กับภูเขามาซาดาและภูเขาโสโดม ทั้งเมืองเป็นขี้เถ้าหมด เครื่องประดับโลหะระเหิดเป็นไอติดอยู่ตามผนัง และยังพบก้อนกำมะถันที่มีความบริสุทธิ์ถึง ๙๘ เปอร์เซ็นต์ Sulpher ball นี้ถือเป็น “unique” เพราะไม่พบที่อื่นอีกเลยในโลก กำมะถันที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ต้องใช้ไฟถลุงที่ ๕,๐๐๐ องศา แม้แต่เตาถลุงที่ดีที่สุดก็ไม่อาจทนความร้อนขนาดนี้ได้ ไม่มีผู้ใดทราบว่าอะไรตกใส่โสโดมและโกโมราห์ แต่ต้องเป็นไฟที่รุนแรงมาก ผมพบว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดเล่มหนึ่ง

interview05

อะไรคือแรงบันดาลใจให้คุณหมอมานับถือศาสนาคริสต์
ผมเฝ้าถามตนเองว่า ชีวิตต้องการอะไรกันแน่ ความที่ตนเองโชคดีพอมีฐานะบ้างและได้รับการยอมรับ ผมกลับพบว่าอะไรบางอย่างหายไปในชีวิตของผม ผมมีบ้าน มีอาชีพ มีครอบครัวที่ดี มีเพื่อนๆ ที่น่ารัก และการยอมรับทางสังคม แต่ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าอะไรหายไป นอกจากนี้ เนื่องจากเป็นหมอโรคหัวใจ ผมได้เห็นวาระสุดท้ายของชีวิตบ่อยๆ ผมพบว่าบุคคลที่ยิ่งประสบความสำเร็จในโลกมากยิ่งทุรนทุรายต่อความตาย ผมถามตนเองว่า วันหนึ่งผมต้องมาติดอยู่ในเครื่องช่วยหายใจ แล้วผมจะถืออะไรในมือที่มั่นใจได้ว่าจะเผชิญวาระสุดท้ายอย่างสงบ และผ่านไปอีกโลกด้วยความมั่นใจ ผมเชื่อเสมอมาว่า ชีวิตคนเราไม่ได้จบลงที่ความตาย

ผมไปโบสถ์ครั้งแรกเพราะได้พบเพื่อนคนหนึ่งที่นับถือคริสต์ ความรู้สึกแรกคือคิดว่า ทำไมเขาจึงงมงายถึงเพียงนี้ทั้งที่มีความรู้สูง แต่บางสิ่งในใจบอกผมว่า ก่อนที่จะตัดสินว่าอะไรจริงหรือไม่จริงก็ควรศึกษาก่อน ผมยังจำวันแรกที่ไปโบสถ์ได้ดี คุณพ่อคุณแม่ทราบว่าจะไปโบสถ์ท่านก็ไม่ได้ทัดทานและยังกำชับให้แต่งตัวอย่างดี เนื่องจากท่านทั้งสองเป็นนักเรียนอังกฤษและคนอังกฤษในสมัยนั้นจะแต่งตัวดีที่สุดเพื่อไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ ในวันนั้นนอกจากผมแล้วยังมีผู้มาโบสถ์เป็นครั้งแรกอีกผู้หนึ่ง เป็นคนขายลูกชิ้นปิ้ง การแต่งกายของเราสองคนต่างกันอย่างมากมาย อย่างไรก็ตามผู้ซึ่งมีหน้าที่สอนพระคัมภีร์ในวันนั้นได้ต้อนรับเราทั้งสองอย่างเท่าเทียมกัน นั่งเรียนพระคัมภีร์ด้วยกัน ซึ่งผมประทับใจมาก อย่างน้อยคนของพระเจ้าก็ไม่ได้มองคนที่ฐานะ ไม่ได้ให้ความสำคัญของมนุษย์แบบที่โลกนี้มอง

ตอนไปโบสถ์แรกๆ ตอบตามตรงว่าไปจับผิดเขา เพราะรู้สึกว่าพวกคริสต์เป็นคนน่ารักแต่เข้าใจผิดหลายเรื่อง เลยไปขอไบเบิลมาอ่านเพื่อจะจับผิด แต่พอยิ่งอ่านยิ่งพบว่าไบเบิลมีความแม่นยำในหลายด้านสูงมากจนผมมิอาจปฏิเสธได้ ดังเรื่องต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ผมพบว่าลักษณะการเขียนไบเบิลก็น่ามหัศจรรย์มากเช่นกัน เมื่อ ๑๐๐ กว่าปีก่อน มีอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ท่านหนึ่งชื่อ อีวาน ปานิน (Ivan Panin) เขาไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า และได้ศึกษารวมถึงทดสอบไบเบิลเพื่อจับผิด ปานินพบว่า บางตอนของไบเบิลมีบางอย่างแปลกๆ เขาจึงถอดรหัสออกมาเป็นคณิตศาสตร์ พระคัมภีร์เก่าถูกบันทึกเป็นภาษาฮีบรู ซึ่งภาษาฮีบรูนั้นตัวอักษรใช้แทนตัวเลขด้วย เรียกว่า numeric value (เช่นเดียวกับภาษาโรมัน I = ๑, V = ๕, X = ๑๐ เป็นต้น) และเขาพบความมหัศจรรย์ทางคณิตศาสตร์ของไบเบิล เช่น

เฉพาะประโยคแรกของไบเบิลในภาษาฮีบรูประกอบด้วยคำ ๗ คำ, อักขระ ๒๘ ตัว (๔ x ๗), คำนาม ๓ คำ มีอักขระ ๑๔ ตัว, ค่า numeric value ของคำนามทั้งสาม คือ ๗๗๗ (๑๑๑ x ๗), ค่า numeric value ของอักษรตัวแรกและตัวท้ายของทั้ง ๗ คำเท่ากับ ๑,๓๙๓ (๑๙๙ x ๗) และการคำนวณแบบอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับเลข ๗ ทั้งหมด ๒๑ แบบ เฉพาะประโยคแรกของไบเบิล (เลข ๗ เป็นเลขของพระเจ้า)

ไม่เพียงเท่านี้ ปานินทดสอบไบเบิลทั้งเล่มก็พบความสอดคล้องกันทางคณิตศาสตร์อย่างน่าอัศจรรย์ เช่นหากกล่าวถึงพระเจ้าจะเป็นเลข ๗ หากพูดถึงความชั่วร้ายเป็นเลข ๑๓ และเมื่อพูดเรื่องความสมบูรณ์แบบและความรอดจะเป็นเลข ๘ เป็นต้น

จำนวนคำทั้งหมดในไบเบิล ชื่อของผู้ที่บันทึกไบเบิล บุคคลที่ถูกกล่าวถึงก็สอดคล้องกันทางคณิตศาสตร์ จากคนที่ต่อต้านพระเจ้า ปานินกลับกลายเป็นผู้ศรัทธา และผลงานตีพิมพ์ของท่านถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากนักคณิตศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและชิคาโก ปานินกล่าวว่า ยินดี
ให้ถอดข้อเขียนของท่านออกถ้าพิสูจน์ได้ว่าข้อเขียนเหล่านั้นผิด ซึ่งแม้จะมีผู้โจมตีปานินอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อเขียนของท่านผิด

ปานินได้ทดลองให้ “หัวกะทิ” เหล่านี้สร้างประโยคที่มีคุณสมบัติเหมือนในไบเบิลตอนปฐมกาลบทที่ ๑ ข้อ ๑ ซึ่งแม้พยายามเท่าใดก็ไม่มีผู้ใดสร้างประโยคที่มีคุณสมบัติแบบประโยคแรกของไบเบิลได้ แม้จะใช้ภาษาอังกฤษซึ่งมีความหลากหลายมากกว่าภาษาฮีบรูก็ตาม

นอกจากเรื่องคณิตศาสตร์ ไบเบิลยังถูกใส่รหัสไว้ด้วย วันที่ ๑ กันยายน ค.ศ. ๑๙๙๔ เชม กูรี (Chaim Guri) ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งเพื่อส่งต่อให้นายกรัฐมนตรียิตซัก ราบิน เตือนท่านเกี่ยวกับการปองร้าย ข้อมูลนี้ได้มาจากการถอดรหัสไบเบิลซึ่งถูกค้นพบโดย เอลียาฮู ริปส์ (Eliyahu Rips) นักคณิตศาสตร์และควอนตัมฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยเยล ในขณะนั้นราบินมิได้สนใจคำเตือนของ เอลียาฮู ริปส์ แต่แล้วคำเตือนล่วงหน้ากว่า ๓,๐๐๐ ปีก็เป็นจริง ราบินถูกสังหารโดยชาวอิสราเอลซึ่งไม่ปรารถนาจะปรองดองกับชาวอาหรับ ในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๙๕ ณ กรุงเทลอาวีฟ

รหัสไบเบิลถูกค้นพบโดยบังเอิญตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๔ ในพระธรรมโตราห์ (Torah) ซึ่งพบว่า เมื่ออ่านเว้นทุกๆ ๗ ตัวอักษรจะได้ข้อความบางอย่าง เมื่อถึงยุคของคอมพิวเตอร์ทำให้ถอดรหัสได้มากมาย โดยอ่านเว้นตั้งแต่ ๒-๒,๐๐๐ ตัวอักษร อ่านไปข้างหน้าก็ได้ ย้อนหลังก็ได้ หรืออ่านเว้นแบบอนุกรมก็ได้ จะพบข้อความต่างๆ มากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ในโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสังหารประธานาธิบดีอันวาร์ ซาดัต แห่งอียิปต์ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่ ๒ เรื่องไวรัสเอดส์ รวมไปถึงเหตุการณ์ ๙/๑๑ และแม้แต่สึนามิในเอเชีย อย่างไรก็ตามมีผู้แย้งว่าทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญก็ได้

เรื่องน่าตื่นเต้นอีกเรื่องหนึ่งคือการพยากรณ์ว่าอิสราเอลจะตั้งประเทศใหม่ได้ เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก เพราะอิสราเอลสูญชาติไปตั้งแต่ ค.ศ. ๗๐-๗๓ เมื่อกองทัพโรมันตีเยรูซาเลมแตก แล้วชาวอิสราเอลก็กระจัดกระจายไปทั่วโลก อย่างไรก็ตามพวกเขายึดมั่นในพันธสัญญาที่ว่า พระเจ้าจะพาชาวยิวกลับมายังดินแดนคานาอันอีกครั้ง เรื่องนี้ถูกซ่อนในพระธรรม Ezekial ว่า พระเจ้าจะลงโทษอิสราเอลเป็นเวลา ๙๐๗,๒๐๐ วัน นับจากเดือนนิสาน (Nisan) เมื่อ ๕๓๖ ปีก่อนคริสตกาล (ปีที่พระเจ้าไซรัสปล่อยยิวกลับบ้านหลังจากตกไปเป็นเชลยที่บาบิโลน) มาจนถึงวันที่อิสราเอลตั้งประเทศได้เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๔๘ ไม่ผิดแม้แต่เดือนเดียว ความแม่นยำของไบเบิลในด้านต่างๆ ทำให้ผมยอมจำนนและเปิดใจต้อนรับพระเจ้าเมื่อประมาณ ๑๐ ปีที่ผ่านมา

ผมพบว่าศาสนาคริสต์ไม่ใช่เรื่องของพิธีกรรม แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เมื่อผมต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในใจ นั่นคือการเริ่มความสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่ละวันพระองค์จะค่อยๆ สอนผม พระเจ้าพูดกับผมผ่านทางไบเบิล และบางครั้งผ่านทางความคิด และผมพูดกับพระองค์ผ่านทางคำอธิษฐาน

ผมมิได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนศาสตร์ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่คนที่เก่งกาจ ผมเป็นเพียงหมอโรคหัวใจธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นที่มีความรู้ความสามารถจำกัดมาก และเป็นเพียงคนบาปที่มิได้มีคุณความดีอะไร แต่พระเจ้าทรงเมตตาให้ผมได้รู้จักพระองค์ และด้วยความสัมพันธ์นี้ ผมพบสิ่งที่เฝ้าหามานาน นั่นคือสันติสุขที่ไม่เคยพบมาก่อน พบการเติมเต็มให้แก่จิตวิญญาณ นับจาก ๑๐ ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน ผมพบว่าการตัดสินใจเชื่อในองค์พระเจ้าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม

คริสต์ศาสนาสอนให้คนเชื่อในพระเจ้าโดยไม่ต้องตั้งคำถามหรือไม
พระเจ้าไม่ได้บอกว่าห้ามตั้งคำถามนะครับ เราถามได้แต่ก็ต้องมีศรัทธาในพระองค์ หากไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริงก็ไม่มีทางจะรู้จักพระองค์ได้ ดังได้กล่าวแล้ว ศาสนาคริสต์เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ เราจะมีความสัมพันธ์กับผู้ที่เราไม่คิดว่ามีอยู่จริงๆ ได้อย่างไร

สมัยก่อนผมก็เคยคิดว่า การที่ต้องศรัทธาก่อนไม่ดี เป็นเรื่องงมงาย แต่ที่จริงชีวิตเราทั้งชีวิตอยู่บนความเชื่อ เช่นเวลาเราขึ้นรถแท็กซี่ เราต้องเชื่อก่อนว่าเขาจะพาเราไปถึงที่หมาย เราจึงยอมขึ้นรถ เราขึ้นเครื่องบินโดยไม่มีใครขอดูใบขับขี่กัปตัน เราทานยาที่คุณหมอสั่งโดยไม่เคยไปตรวจองค์ประกอบทางเคมีของยานั้น และหลายครั้งที่เราทานยาโดยเราไม่ได้ศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของยาด้วยซ้ำ เราอ่านข่าวหนังสือพิมพ์โดยไม่เคยไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุจริงๆ ผมพบว่าเกือบทุกอย่างในชีวิตเริ่มต้นจากความเชื่อก่อน เพียงแต่ผมไม่เคยนั่งลงวิเคราะห์อย่างจริงจัง สมัยก่อนที่จะรู้จักพระเจ้าผมรู้สึกว่าศาสนาคริสต์งมงาย ให้เชื่อก่อนได้อย่างไร แต่ความจริงเราอาศัยความเชื่อในการดำรงชีวิตทุกๆ วัน

พระเจ้าไม่เคยห้ามมนุษย์ถามพระองค์ เมื่อศึกษาไบเบิลจะพบว่าหลายครั้งที่มนุษย์ทูลถามพระเจ้า และพระองค์ทรงตอบ แม้เมื่อไม่นานมานี้มีเด็กกำพร้ายากจนผู้หนึ่งชื่อ จอร์จ วอชิงตัน คาร์เวอร์ (George Washington Carver) เขาชอบตั้งคำถามกับพระเจ้า และเรียกพระองค์ว่า “Mr. Creator” พระเจ้าทรงตอบเขา ทำให้เขาเป็นอัจฉริยะทางการเกษตรและกลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของอเมริกา พระเจ้าไม่เคยห้ามมนุษย์ถามพระองค์ครับ ตรงข้าม พระเจ้าอยากให้เราพูดคุยและมีความสัมพันธ์กับพระองค์

นักวิทยาศาสตร์กับพระเจ้าไปด้วยกันได้ไหม
ยิ่งวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ายิ่งทำให้สิ่งที่ปรากฏในไบเบิลได้รับการพิสูจน์มากขึ้น ยกเว้นทฤษฎีวิวัฒนาการเท่านั้น สื่อต่างๆ ใช้คำว่า “วิวัฒนาการ” บ่อยจนคนจำนวนมาก (รวมทั้งผมเองในอดีต) เข้าใจว่าวิวัฒนาการเป็นเรื่องที่ถูกต้องแน่นอน แต่ความจริงแล้วทุกวันนี้วิวัฒนาการก็ยังคงเป็นทฤษฎี ไม่ใช่กฎ

ทฤษฎีของดาร์วินยังตอบอะไรไม่ได้หลายอย่าง ไม่เคยอธิบายว่าชีวิตเกิดมาได้อย่างไร เรื่องการคัดเลือกของธรรมชาติ บอกว่ามีกระต่ายวิ่งเร็วกับกระต่ายวิ่งช้า ต่อมากระต่ายวิ่งช้าสูญพันธุ์หมดเพราะโดนหมาป่าจับกิน แต่ไม่เคยบอกว่าหมาป่าวิ่งเร็วมาจากไหน ทำไมความบังเอิญจึงสรรค์สร้างสิ่งที่ดียอดเยี่ยมได้ ทำไมฟอสซิลทั้งหลายจึงเป็นฟอสซิลโดดๆ ทำไมไม่เคยเจอ “missing link” เป็นต้น ทฤษฎีของดาร์วินมีช่องโหว่มากมาย แต่ผมคิดว่าคนอยากจะยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมนุษย์ยากที่จะยอมรับได้ว่าตนเองถูกสร้างขึ้นมา มนุษย์เป็นผู้สร้างสิ่งของต่างๆ มากมาย เราภาคภูมิใจเวลาเราสร้างรถยนต์ คอมพิวเตอร์ หรือหุ่นยนต์ รู้สึกถึงความอัจฉริยะของมนุษย์ แต่เราสร้างต้นไม้สักต้นไม่ได้ มดตัวเล็กๆ สักตัวก็ไม่ได้ เรากลับบอกว่าต้นไม้กับมดเป็นแค่เรื่องบังเอิญ เราอคติหรือเปล่า

ผมอดคิดไม่ได้ว่า อีโก้ของมนุษย์ (รวมทั้งผมเอง) สูงมาก จึงยากที่จะเชื่อว่าเราเป็นเพียงผู้ถูกสร้างขึ้นมา แต่ถ้าเรายอมลด “ตัวตน” ของเราลงมา ถ่อมใจและยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างเราขึ้นมา ถามพระองค์ว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร บางทีโลกของเราอาจไม่วุ่นวายเดือดร้อนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

และมนุษย์ทั้งหลายอาจพบความสุขแท้จริงที่ทุกคนไขว่คว้าก็เป็นได้

 


* ชื่อโรค “ไหลตาย” หรือ “ใหลตาย” ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าควรใช้ ไ หรือ ใ ในภาษาถิ่นอีสานใช้ “ไหล” ซึ่งแปลว่า ละเมอ เนื่องจากโรคนี้มีลักษณะของการนอนละเมอก่อนตาย ในขณะที่ “ใหล” มาจาก “หลับใหล” คือนอนหลับสนิทแล้วตายไปในที่สุด (ที่มา : จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๓)