กริ๊ง…กริ๊ง เสียงออดดังขึ้น ได้เวลาเคารพธงชาติแล้ว วันนี้โรงเรียนจัดงานวันแม่ ทุกคนพาพ่อแม่มาร่วมกิจกรรมอย่างมีความสุข สีหน้าแจ่มใส ร่าเริง เดินทยhอยกันเข้าโรงเรียน เด็กคนหนึ่งนั่งอยู่ตีนสะพานข้ามคลอง นั่งดูครอบครัวคนอื่นด้วยความน้อยอกน้อยใจ…แม่หนูไปไหนทำไมไม่มา ด้วยความเจ็บปวดที่ไม่รู้จะบอกใครก็นั่งกอดเข่าร้องไห้คร่ำครวญ เฝ้าแต่โทษโชคชะตา ทำไมต้องเป็นเช่นนี้ด้วย นั่งอยู่ตีนสะพานอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะวิ่งกลับบ้านโดยคิดว่า ไม่เอาแล้ว ไม่กล้าไปโรงเรียนแล้ว ชั่วโมงนั้นเด็ก ๑๐ ขวบท้อแท้กับชีวิตเหลือเกิน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นวันพ่อ วันแม่ หรือวันไหนๆ พ่อแม่ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว มีเพียงแต่ให้เงินทางโรงเรียนเท่านั้น ซึ่งผมไม่ต้องการเช่นนั้นเลย

คุณเชื่อไหมครับว่าทุกปีในวันลอยกระทง ผมอธิษฐานอย่างมีความหวังว่า สักวันครอบครัวของผมจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข รักกัน เข้าอกเข้าใจกัน ขอเช่นนี้คล้ายกันทุกปีไป

จากปัญหาครอบครัวทำให้เด็กส่วนใหญ่ขาดความรัก ความเอาใจใส่ หนทางมืดมิด แสวงหาความรักจากใครสักคน เมื่อหาไม่ได้ เด็กคนนั้นจะทำเช่นไรเล่าในเส้นทางแห่งชีวิต ลองคิดดูแล้วกันครับ

เนื่องจากเป็นเด็กและเยาวชน ศาลท่านจึงให้ประกันตัว ก่อนมารับฟังคำพิพากษาในศาลชั้นต้น ช่วงเวลา ๑ ปีอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ก่อนรอคำตัดสินของศาล ผมได้กลับไปเรียน ทำตัวดีขึ้น ไปเที่ยวน้อยลง อาจยังมีเกเรบ้าง แต่ก็น้อยกว่าเดิมนิดหน่อยเพราะมีชนักติดหลังอยู่

หนึ่งปีผ่านไป ถึงวันพิจารณาคดีแล้ว…จะทำยังไงดีถ้าผมติดคุก ผมจะมีชีวิตอยู่ได้ไหม ถ้าติดคุกจะเลวให้สุดๆ เลยดีไหม ! ความคิดหลายๆ อย่างประดังเข้ามาในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม่ พ่อ และผม ยืนหน้าบัลลังก์ของศาลในห้องพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน จังหวัดนนทบุรี เพื่อรอคำพิพากษาในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตไว้ในความครอบครอง พกพาอาวุธปืน วัตถุระเบิดไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต

ศาลตัดสินให้ผมไปฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายแห่งหนึ่ง เป็นระยะเวลาขั้นต่ำ ๔ ปี ขั้นสูง ๖ ปี เมื่อผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ชีวิตผมก็ตกอยู่ในเหวลึกอีกครั้ง โลกที่สวยงามกำลังพังไปต่อหน้าต่อตา ตาลายไปหมด ห้องสี่เหลี่ยมอยู่ๆ มันกลับหมุน…หมุน…อยู่อย่างนั้น ชั่วโมงนั้นคิดอะไรไม่ออกเลย ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญ เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ผมหันไปมองหน้าแม่ น้ำตาแม่ไหลออกมาอย่างเศร้าโศก เราโอบกอดกันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะจากกันไปแสนไกล

ผมถูกผู้คุมนำตัวออกจากห้องพิจารณาคดี ตอนนั้นผมใจแทบขาดแต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เดินมองเหลียวหลังกลับไปมองพ่อและแม่ตลอดเส้นทาง ชีวิตนี้หมดหวังแล้วใช่ไหม ไม่เหลืออะไรแล้ว ผมสิ้นหวังอย่างสุดขีด หัวใจเต้นเร็วและแรง แต่ไม่มีแรงที่จะทำอะไร

ผมถูกส่งตัวมาที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายแห่งแรก ในคืนวันหนึ่งของปลายปี พ.ศ.๒๕๔๙ นี่มันเกิดอะไรกับผม ทำไมต้องเป็นเช่นนี้ด้วย หัวผมมันจะระเบิดอยู่แล้ว ก้าวแรกที่สัมผัสเหมือนเราเดินลงเหวผ่านดงหมาป่าอย่างไรอย่างนั้นเลย ผู้คุมที่นั่นดุมาก ทั้งดุทั้งเสียงดัง ทำให้ผมหวั่น…หวั่นไปหมดว่าจะพบเจออะไรต่อไปข้างหน้า แต่ในความคิดว่าชีวิตนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว มันทำให้ผมกล้าที่จะเผชิญสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและไม่กลัว

ผมถูกขังรวมอยู่ในหอนอน ๑ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นดูตัวดำเพราะมีรอยสักเต็มตัว ดูแล้วน่ากลัวเหมือนหนังเรื่อง น.ช.นักโทษชาย เลยครับ ผมไม่พูดจากับใครทั้งนั้นไม่ว่าใครจะมาคุยกับผมก็ตาม ได้แต่นั่งกอดเข่าอยู่คนเดียวในหอนอนอันคับแคบเหมือนคนบ้า

เวลาเช้า ทุกคนต้องลงจากหอนอนให้หมด หอนอนมีทั้งหมด ๕ หอ มีเด็กประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ คน  วันแรกของผมรู้สึกจะเริ่มต้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร ผมมีเรื่องกับขาใหญ่เสียแล้ว พวกเขาเป็นเด็กหอนอนที่ ๓ และยังเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในที่นั้น หรือที่พวกเด็กสถานพินิจฯ มักเรียกกันว่า “คับบ้าน” ด้วยเหตุผลที่ผมเดินกวนประสาท เขาจึงต่อยด้วยความหมั่นไส้ ผมเองไม่รู้ว่าผมเดินกวนตรงไหน (คงจะเดินแกว่งแขนมั้ง)

ความที่ไม่ใส่ใจอะไรแล้ว ไม่เหลืออะไรแล้ว ประกอบกับเป็นคนใจร้อน ผมไม่ให้มันทำผมฝ่ายเดียวอยู่แล้ว ผมสู้ขาดใจ ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามารุมผมอีก ๒-๓ คนหรือมากกว่านั้น ผมไม่หยุด ไม่ว่าใครหน้าไหนเข้ามาก็หยุดผมไม่ได้ แต่ยังโชคดีที่พี่เจ้าหน้าที่เข้ามาเห็นเสียก่อน ไม่อย่างนั้น…ผมเละไปแล้ว ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับผมมาก่อน นี่คงเป็นเวรกรรมที่ผมทำกับคนอื่นไว้มาก

วันอาทิตย์ พ่อ แม่ พี่สาว น้องสาว และแฟนผมมาเยี่ยมผม ผมดีใจเป็นที่สุด แค่เห็นหน้าพวกเขาน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่อายใคร ความเจ็บปวดที่เกินทนทำให้ผมดูอ่อนแอได้ในพริบตา ผมบอกกับแม่ว่า “ผมอยู่ไม่ได้แล้วนะ”

แม่บอกข่าวดีกับผมว่าพรุ่งนี้แม่จะมาประกันตัวผมออก ผมดีใจมากจนน้ำตาแห่งความเสียใจกลับกลายเป็นดีใจแทน ไม่เคยรู้สึกดีใจอะไรแบบนี้มาก่อนเลย เหมือนสวรรค์มาโปรดจริงๆ  ในที่สุดวันรุ่งขึ้นผมก็ได้รับอิสรภาพ โอ้…มันช่างโล่งตัวอะไรเช่นนี้

ทนายได้ยื่นอุทธรณ์ว่า ขณะนี้ผมเป็นเยาวชน กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ในระดับ ปวส. ปีที่ ๑ ไม่อยากให้เสียเวลาเสียอนาคต จึงขอประกันตัวเพื่อเรียนต่อให้จบระดับ ปวส. เพื่ออนาคตของเด็กและเยาวชนเอง ซึ่งศาลก็อนุมัติให้ประกันตัวได้ แต่ผมต้องรอคำตัดสินในศาลอุทธรณ์ ก็ถือว่าต่อชีวิตผมไปได้อีกหน่อย

บทเรียนที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ถึงความเจ็บปวดในการสูญเสียอิสรภาพและคนที่รัก แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นความสูญเสียที่มีสิ่งตอบแทน เมื่อผมมองเห็นถึงความรักของพ่อแม่เป็นครั้งแรก

ระหว่างรอคำตัดสิน ผมไม่ค่อยเที่ยวกับเพื่อนมากนัก กลับมาตั้งใจเรียนมากขึ้น ใจเย็นมากขึ้น แต่บางครั้งก็มีใจร้อนบ้าง ตอนนี้ความฝันของผมคือการเรียน เรียนให้ดีที่สุด เพื่อการศึกษาจะทำให้ผมดีขึ้นมาบ้าง คิดถึงอนาคตบ้าง ไม่มากก็น้อย และอาจช่วยผมได้เมื่อศาลอุทธรณ์มองเห็นความดีที่ได้ทำ

“ก่อนที่จะรักใครลองหันหลังมองตัวเองเสียก่อน ว่าข้างหลังเรานี้มีใครบ้างที่เดินตามเรามา อยู่กับเราในวันที่เราล้มเสียใจ ร้องไห้ คอยประคับประคองเราอยู่ใกล้ๆ แต่เรากลับเห็นมันยากเหลือเกิน หรือเพราะเราไม่ได้ใส่ใจมันต่างหาก”

ในวันที่หลงอยู่ในอุโมงค์ที่มืดมิดหาทางออกไม่เจอ ไม่พบแม้กระทั่งแสงสว่าง มีแต่ความโหดร้ายอยู่ทุกย่างก้าว จะมีใครยอมรับฟังเราได้ทุกเรื่อง ทุกปัญหา ทุกเวลา  จะมีสักกี่คนหนอรู้ใจเรา

ผมเชื่อว่าความรัก ความอบอุ่น ความเข้าใจ ทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีได้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะแย่สักแค่ไหนก็ตาม ขอเพียงเวลาให้เขาปรับปรุงตัวสักหน่อย ให้ได้พิสูจน์ตัวเอง ขอเพียงโอกาสสักครั้ง สำหรับคนโง่ๆ คนหนึ่ง

เพื่อนผู้หญิงของผมชื่อ “จิ๊ก”

เธอเป็นคนน่ารัก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชอบรับฟังปัญหาผู้อื่น ให้คำปรึกษาได้เป็นอย่างดี ให้ความสนใจกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะเพื่อนที่สนิท เอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือเธอเป็นคนที่ชอบถาม อยากรู้อยากเห็นสิ่งที่เธอไม่รู้ไปทุกเรื่อง…จนบางครั้งผมรำคาญคำถามเธออยู่บ่อยครั้ง–ก็ถามอยู่ได้นี่ครับ

เธอเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งผมเทียบไม่ได้เลย ผมเสเพลไปวันๆไปเรียนก็เหมือนไม่ได้ไป เรียนมั่งไม่เรียนมั่ง พบแต่เรื่องตีรันฟันแทงกันแทบทุกวัน ไม่ว่าจากเพื่อนหรือจากตัวผมเอง เหตุก็แค่เพียงต่างสถาบันและความเชื่อแบบผิดๆ เท่านั้นเอง เด็กช่างก็เป็นแบบนี้แหละครับ แต่ก็อย่าเหมารวมไปหมด เด็กที่ตั้งใจเรียนก็ยังมีอยู่นะครับ

เราเจอกันครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม ก่อนที่จะเกิดคดีความไม่กี่วัน ตอนนั้นเราอายุ ๑๗ ปี เธอมาหาเพื่อนแถวบ้านผม ซึ่งเพื่อนคนนั้นผมก็รู้จักเป็นอย่างดี ด้วยความเป็นผม…ที่เห็นผู้หญิงไม่ได้ ต้องจีบแล้ว จึงไปขอร้อง “เปิ้ล” ซึ่งเป็นเพื่อนของเธอให้ช่วยขอเบอร์โทรศัพท์ให้

ด้วยความสนิทกับเปิ้ล ผมก็ได้เบอร์โทรศัพท์เธอมาจนได้ เราโทร. คุยกัน ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี จิ๊กเป็นคนที่คุยด้วยแล้วมีความสุข เธอจะหาเรื่องดีๆ มาพูดด้วยเสมอ ฟังดูแล้วอบอุ่นดีครับ แต่สำหรับวัยรุ่นอย่างผม คนที่หวังผลประโยชน์ตอบแทนเห็นแก่ตัว ไม่เห็นคุณค่าของเธอ ไม่หวังความรักที่เธอให้มาอย่างจริงใจ หวังเพียงแต่เรื่องเซ็กซ์เท่านั้น

…………………………………………………………………

ด้วยความเป็นวัยรุ่นที่ใจร้อน ไม่คิดถึงผลกระทบที่จะตามมา อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่าง ชีวิตนี้เกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว จะไปแคร์อะไรมันมากมาย ใช้มันให้คุ้ม แค่ความคิดก็ไม่น่าคบหาสมาคมด้วยแล้วใช่ไหมครับ

ผมฆ่าคนตาย ก่ออาชญากรรมร้ายแรง ต้องหนีหัวซุกหัวซุน เพื่อนที่คิดว่ารักนักรักหนาและตายแทนกันได้หายหัวกันหมด ไม่เห็นแม้กระทั่งเงา ไม่มีใครช่วยเราได้เลย มีแต่ความว่างเปล่าในหัวใจ มืดมิดเหมือนอยู่ในถ้ำกลางป่าใหญ่ จะมีใครบ้างไหมมาช่วยเราออกจากป่าที่น่ากลัวนี้ได้ และนำพาไปพบแสงสว่างที่สวยงามและสดใสอีกครั้ง

นอกจากครอบครัวแล้ว จิ๊กเป็นคนหนึ่งที่ยืนเคียงข้างผมเสมอมา เธอไม่ทิ้งไปไหนแม้ในวันที่เราหมดหนทางเดินต่อ ช่วงเวลานั้นผมอยากได้อ้อมกอด อยากมีเพื่อนคุย อยากมีใครบางคนไว้เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าอย่างน้อยผมก็ยังมีค่า ซึ่งเธอทดแทนสิ่งที่ขาดหายนี้ได้

ผมเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะคำขอร้องของแม่ โดยที่จิ๊กให้กำลังใจเสมอมา อดทนกับนิสัยแย่ๆ ของผมมาตลอด แล้วเมื่อความผูกพันมันเพิ่มมากขึ้นทุกวัน อิสระมันก็ยิ่งลดลงจนน่าใจหาย แต่ถึงอย่างไรผมก็รู้สึกว่ามันเป็นการสูญเสียที่แสนคุ้มเมื่อความรักที่ผมได้กลับมาคือสิ่งที่ช่วยยืนยันให้ผมมั่นใจได้ว่า ค่ำคืนที่ฟ้าไร้ดาว เราคงไม่เดียวดาย วันที่ฝนกระหน่ำโปรยปราย คงไม่เหน็บหนาว

และการได้แอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ผมรัก จะมีปัญหาใดที่ผมผ่านมันไปไม่ได้

…………………………………………………………………