โครงการ “เรื่องเล่าจากลูกที่ก้าวพลาด”
ตีพิมพ์ในหนังสือ “ก้าวที่พลาด”
เรื่อง : “พงษ์”

homedark

จากใจผู้เขียน
เมื่อก่อนผมเป็นคนไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ แต่พอมาอยู่บ้านกาญจนาภิเษก มีเวลาว่างมากขึ้น ก็เริ่มหันมาอ่านหนังสือบ้าง และก็อ่านมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ผมอ่านหนังสือได้เยอะกว่าเมื่อก่อนมาก และการอ่านก็ช่วยฝึกทักษะในเรื่องการเขียนด้วย

สาเหตุที่ผมมาอบรมการเขียนเพราะอยากถ่ายทอดเรื่องของพวกเราเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้แก่คนอื่นๆ ซึ่งผมคิดว่ามันมีประโยชน์มาก การอบรมครั้งนี้นอกจากได้ความประทับใจ และเขียนหนังสือได้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว ยังเป็นเหมือนโอกาสที่สามารถทำให้ผู้ใหญ่ในสังคมรู้ว่าวัยรุ่นแบบเราต้องการอะไรอีกด้วย

หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมอยากเรียนต่อ อยากใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วๆ ไป ถ้าได้เจอป้ามล (ทิชา ณ นคร) เร็วกว่านี้ ผมก็คงจะทำอะไรที่ยั้งคิดมากกว่านี้

ปัง ! ปัง ! ปัง !

เมื่อเสียงปืนดังขึ้น ทุกอย่างก็จบสิ้น ใบหน้าของเขายังอยู่ในความฝันผมเสมอ ความทรงจำอันโหดร้าย ความทุกข์ที่ยาวนานยังตามหลอกหลอน ติดในหัวใจตราบนานแสนนานตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ไม่มีวันไหนที่ผมลืมเหตุการณ์นี้ได้เลย

จากวัยรุ่นที่มีปมด้อยตั้งแต่เด็ก ปัญหาครอบครัวที่แตกร้าว ขาดความรัก ความอบอุ่น การดูแลที่ดี สู่ชีวิตในสังคมที่เขาเป็นคนเลือกทางเดินเอง  เพื่อนคือทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าไงว่าตาม ศักดิ์ศรีของกลุ่มยิ่งกว่าอื่นใด  นี่คือความคิดของผมที่รักเพื่อนมาก มากเสียจนลืมรักตัวเอง และคนที่เราควรรัก ควรให้ความสำคัญ

เมื่อติดเพื่อน ใช้ชีวิตบนเส้นทางเสเพล เกเร เข้าสู่วงเวียนแห่งอบายมุข ทั้งเที่ยวเตร่ ดื่มสุรา เที่ยวนารี และเป็นอันธพาลระรานคนอื่นไปทั่ว  เด็กอายุ ๑๔ ที่เต็มไปด้วยความดื้อรั้นก้าวร้าว เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่เชื่อฟังใครแม้กระทั่งพ่อแม่พัฒนาความรุนแรงจนถึงขีดสุดยากที่จะให้อภัย

วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๘ ขณะนั้นผมอายุ ๑๗ ปีทุกค่ำคืนหลังพระอาทิตย์ลับตา พวกเราเด็กวัดเสนีจะรวมตัวกันอย่างไม่ได้นัดหมายที่ร้านป้าติ๋ม ร้านขายอาหารตามสั่ง ขายเหล้าเบียร์เป็นประจำ พวกเราจะมานั่งเอะอะโวยวายระบายความรู้สึกให้กับขวดเหล้าและเพื่อนร่วมก๊วน

วันนี้มีอุ๋ย ตี่ ต๋อง ลักษณ์ โก้ ปอน พี่โจ้ กี้ ทิดอู๋พรชัย เสือมิ่ง และผม พวกเรานั่งดื่มเหล้ากันอย่างเมามันคุยเรื่องเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผู้หญิง ยาเสพติด ปืน หรือ
เรื่องตลกที่สรรหามาเล่าไม่ซ้ำกันแต่ละวัน

พอเมาได้ที่พวกผมไม่ได้หยุดอยู่ที่ร้านป้าติ๋ม ตามประสาวัยรุ่นก็ต้องอยากเที่ยวต่อเป็นธรรมดา ผม อุ๋ย ตี่ ต๋อง ลักษณ์โก้ ปอน จึงตกลงไปเที่ยวกันต่อที่ร้านอาหาร มีตู้คาราโอเกะให้ร้องเพลง เด็กเสิร์ฟแต่งตัวเซ็กซี่ มีเหล้าให้ดื่ม ซึ่งนั่นเป็นที่ที่เราสร้างความมันให้ชีวิต

แต่พวกเราไม่ได้ไปตัวเปล่า ผมมีอาวุธติดตัวไปด้วย เพราะการไประรานคนอื่นไว้ทำให้พวกเรามีคู่อริทั่วหล้าอาณาจักรเหมือนกัน–อาวุธปืนขนาด ๙ มม. ๑ กระบอก พร้อมกระสุน๙ นัด ระเบิดลูกเกลี้ยง ๑ ลูกที่ซื้อมาจากเพื่อนต่างจังหวัดเมื่อหลายเดือนก่อน ผมเป็นคนติดของพวกนี้มากเพราะคิดว่าจะทำให้ดูเท่ในสายตาเพื่อน แล้วยังเพิ่มอำนาจให้กับกลุ่มพวกเราอีกด้วย เป็นความเชื่อแบบผิดๆ ที่เหลวไหลทั้งเพ

พวกเรามาถึงร้านคาราโอเกะก็ดื่มเหล้ากันอย่างเมามัน เป็นร้านอาหารที่ไม่ใหญ่มากนัก มีโต๊ะทั้งหมดประมาณ ๑๐ โต๊ะ แต่บรรยากาศดีเยี่ยมสไตล์ร้านอาหารเพื่อชีวิต  พวกเรานั่งอยู่ด้านหน้าร้านติดกับถนนพอดี สาวเสิร์ฟคอยให้บริการอยู่ข้างกายของพวกเรา  สักพักก็มีกลุ่มผู้ชาย ๓-๔ คนเข้ามาในร้าน เป็นคนตัวใหญ่ ดูจากหน้าตาอายุเยอะแล้วละ

“พวกเขาเป็นพ่อค้ายาบ้าแถวๆ นี้” ปอนบอกผมในตอนที่พวกเขาเข้ามานั่งในร้านแล้ว เพราะปอนก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ใช้ยาเสพติดตัวยงเหมือนกัน จึงรู้ถึงวงการนี้ดีว่าคนไหนทำอะไร เป็นอะไร  ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะพวกเขาไม่ได้มีเรื่องกันมาก่อนและไม่ได้กวนประสาทอีกด้วย แค่เดินผ่านหน้าพวกเราไปนิ่งๆ เท่านั้นเอง

งานเข้า…เด็กหนองเพรา คู่อริของเพื่อนผมมาเต็มเลย พวกนี้จะไม่ถูกกับเพื่อนผมเอามากๆ โดยเฉพาะไอ้อุ๋ย ไอ้ต๋อง ไอ้ลักษณ์  พวกมันเดินกวนประสาทมากเหมือนกับตัวเงินตัวทองที่เดินอยู่ริมบ่อน้ำ (โยกซะ) แถมยังมองหน้าพวกผมยังกับว่าจะกินเลือดกินเนื้อเลยทีเดียว วัยรุ่นกลุ่มนี้ประมาณ ๑๐ คนเดินผ่านพวกผมไปนั่งโต๊ะฝั่งตรงข้าม

สักพักอุ๋ยก็ปรึกษาว่าจะเล่นพวกเด็กหนองเพรา ลักษณ์สนับสนุน ส่วนพวกผมก็ไม่พูดอะไร ถ้าจะเอาก็เอา ไม่กลัวอยู่แล้ว ผมยังไม่ทันบอกอุ๋ยเลยว่าอาวุธผมเอาไว้ที่ใต้เบาะมอเตอร์ไซค์ของลักษณ์ มันก็เอาขวดโซดาไปตีหัวคนหนึ่งในกลุ่มนั้นแล้ว เลือดเต็มหน้าเต็มตาเลย ไม่ทันเสียแล้ว พวกเรายกพวกตะลุมบอนกันชนิดไม่รู้ใครเป็นใคร เพราะมันค่อนข้างจะมืด

พวกเราไล่ตีกันจนมาอยู่กลางถนน พ่อค้ายาบ้ากลุ่มนั้นเดินมาพร้อมตะโกนบอกให้หยุดเสียงดังลั่น พวกเราสองกลุ่มก็หยุด แล้วหันมองด้วยความแปลกใจว่าต้นเสียงมาจากไหน…เรื่องของวัยรุ่น…มายุ่งอะไรด้วย

ผมยืนตรงกลางกลุ่มเพื่อนพอดี ทั้งสองคนเดินตรงมาที่ผมไม่พูดอะไร คนหนึ่งต่อยผมเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง ด้วยความเป็นคนตัวใหญ่ แข็งแรง ทำให้ผมฟุบลงกับพื้น แต่ผมก็ต้องรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะกลัวโดนกระทืบ พอลุกขึ้นได้ ๑ ใน ๒ ของพวกเขาก็เอามีดดาบฟันเข้ากลางหลังผม แต่มีดคงไม่คมหรือผมหนังเหนียวก็ไม่รู้นะ ทำให้ไม่ถึงกับเข้า แค่แสบๆ เท่านั้นเอง ในขณะเดียวกันเด็กหนองเพราก็รวมตัวกับกลุ่มพ่อค้ายาบ้าไล่ตีพวกผม พวกผมต้านคนจำนวนมากกว่าไม่ได้ จึงต้องหนีกลับมาตั้งหลักที่ปากซอยวัดเสนี ลักษณ์เอารถมอเตอร์ไซค์ออกมาได้ แต่ยังมีรถของปอนและผมที่ยังอยู่ที่ร้าน

ด้วยความโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ไม่คิดอะไรแล้ว…คิดแต่จะเอาคืนให้ได้ ผมจึงคว้าอาวุธมาไว้ที่ตัวพร้อมรถไอ้ลักษณ์ย้อนกลับไปที่เดิม ผมบอกกับเพื่อนว่า “ใครไม่ไปกูไปเอง”

ผมขับรถกลับไปด้วยความรวดเร็วโดยมีเพื่อนขับรถตามหลังมาห่างๆ ผมไปถึงเป็นคนแรก เห็นพ่อค้ายาบ้า ๒ คนนั่งอยู่ในร้านตรงโต๊ะที่ผมนั่ง ส่วนคนอื่นสลายตัวไปหมดแล้ว

หลังจากนั้นผมลงจากรถทันที เดินตรงไปหน้าร้าน ผมนำระเบิดที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ดึงสลักแล้วปาใส่เขาอย่างเต็มแรง…ตูม ! เสียงดังสนั่นลั่นเมืองเลย แต่กลับไม่โดนใครแม้แต่คนเดียว เพราะผมปาแรงเกินไปทำให้เลยเข้าไปในร้านใต้ตู้คาราโอเกะ ร้านเละตุ้มเป๊ะเลย

เขาเดินออกมานอกร้านด้วยความมึนงง แล้วจะเอาเก้าอี้มาตีผมอีก ผมจึงชักปืนขนาด ๙ มม. ยิงใส่เขาไม่ยั้งด้วยระยะหนึ่งช่วงตัวเท่านั้นเอง ๙ นัดเข้าหน้าอกทุกนัด  ความโกรธเกลียด เก็บกด และโมโหทั้งหลายถูกระเบิดออกมาในเวลานั้น

เพื่อนขับรถมาถึงพอดี ผมรีบกระโดดขึ้นรถทันที ในขณะนั้นได้หันหน้ากลับไปมอง เห็นเขายืนนิ่งยังกับว่าไม่รู้ตัวว่าโดนยิงจากนั้นเขาทรุดลงมองผมตาไม่กะพริบเลย ดูแล้วน่าจะอาฆาตมากทีเดียว

เขาไปตายที่โรงพยาบาลตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เพราะความใจร้อน ทำอะไรไม่ยั้งคิดและเป็นคนโมโหร้าย ทำให้ผมต้องหนีหัวซุกหัวซุน ต้องมาอาศัยญาติพี่น้องที่ต่างจังหวัดเป็นที่หลบซ่อนตัวอยู่อย่างหวาดระแวง ทำให้คนรักต้องเป็นห่วง เพื่อนที่เคยคิดว่ารักนักรักหนาหายหัวหมด ไม่มีใครยินดีที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเลย มีแต่ตีตัวออกห่างเพื่อให้ตัวเองรอด นี่หรือเพื่อนที่เรารัก ?

ใครกันเล่าที่ยืนเคียงข้างเราในวันที่พายุโหมกระหน่ำ พ่อแม่เท่านั้น พ่อแม่จริงๆ ใช่…ผมยังมีอีกคนหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ “จิ๊ก” แฟนผมเอง รู้ทั้งรู้ว่าผมเป็นคนไม่ดี แต่เธอก็ไม่รังเกียจผม อยู่เคียงข้างผมในวันที่ปัญหารุมเร้า เหตุผลนี้แหละที่ผมรักเธอมาก

“ฮือ…ฮือ…มอบตัวเถอะลูก หนีไป ๒๐ ปีหนูคิดว่าจะรอดเหรอ ? แม่จะช่วยลูกเอง เรามาสู้คดีแล้วกันนะ แม่รักโตนะ…มอบตัวเถอะลูก  ฮือ…ฮือ…”

เสียงร่ำไห้ของแม่ทำให้ผมใจอ่อนและยอมให้แม่พาไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในที่สุด หลังหนีมาเกือบ ๑ เดือน ตอนมอบตัวผมรู้สึกปลอดภัยที่มีแม่อยู่ข้างๆ และไม่รู้สึกกลัวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

ไม่รู้สิว่าทำไม หรือนี่เป็นสิ่งที่ผมแสวงหามาทั้งชีวิต

ก่อนจะมาถึงวันนี้ คุณคงอยากรู้ว่าหนึ่งชีวิตหนึ่งคนต้องพบเจอกับอุปสรรคอะไรต่อมิอะไรมากมาย ไม่ว่าจะสมหวัง ผิดหวังสุขหรือทุกข์ บ้านหรือครอบครัวซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นบนเส้นทางแห่งชีวิตของผมเป็นอย่างไร

“คำว่าครอบครัวเป็นยังไงเหรอ”

“คำว่าบ้านแสนสุขอยู่ที่ไหน”

ผมเฝ้าถามตัวเองเสมอว่าควรให้ความรักความสำคัญกับใครดี ระหว่างตัวเอง คนอื่น หรือครอบครัว เพราะตั้งแต่จำความได้ผมไม่เคยได้รับความรัก ความอบอุ่น การเอาอกเอาใจอย่างที่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งควรจะได้รับ

บ้านของผมตั้งอยู่แถววัดเสนีในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งห่างจากตัวเมืองไม่ไกลนัก แต่กลับสงบเงียบ ไร้ความสับสนวุ่นวายอย่างเมืองศิวิไลซ์ อาจเพราะยังไม่มีถนนใหญ่ตัดผ่านนั่นเอง บ้านของผมเป็นบ้าน ๒ ชั้น ข้างบนเป็นไม้ ข้างล่างเป็นปูน มีเนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ล้อมรอบด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ สวนไม้นานาพรรณ ผืนนาของคนในพื้นที่หลายร้อยไร่ ลำคลองหน้าบ้านใสสะอาด ดูสบายตาเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจได้เป็นอย่างดี เมื่อมองข้ามคลองไปก็จะเห็นวัดที่สวยงามเด่นสง่าอยู่ตรงหน้า และเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่อยู่ข้างวัดมักพากันกระเซ้าเย้าแหย่กันอย่างสนุกสนาน

ผมเกิดวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๐ เป็นลูกคนที่ ๓ ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ๔ คน โดยมีพี่สาว พี่ชาย และน้องสาวอย่างละคน

ปัจจุบันผมอายุ ๒๑ ปี คุณเชื่อไหมครับว่าตั้งแต่เด็กจนกระทั่งวัยรุ่นผมไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่เลย ไม่เคยรู้ว่าความรักจากพ่อแม่เป็นเช่นไร มันเป็นช่วงเวลาที่เคว้งคว้าง โดดเดี่ยวเดียวดายมากที่สุดในชีวิต

ตั้งแต่จำความได้ พ่อแม่ของผมก็เข้าไปอยู่ในวงจรของยาเสพติดเสียแล้ว เด็กคนนี้รับรู้และเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่ทำ ไม่ว่าจะเป็นการค้ายาบ้า อาวุธปืน เมียน้อยของพ่อ หรือการใช้ความรุนแรงในครอบครัว การที่ครอบครัวอยู่ในสภาพเช่นนี้ บอกได้เลยว่าไม่มีวันไหนที่มีความสุข

เด็กคนหนึ่งต้องอยู่กับน้องสาวตามลำพังตั้งแต่เล็ก เห็นจะมีแต่ลุงพันกับป้าอี๊ดที่เลี้ยงดูคอยเป็นห่วงเป็นใยผมมาเปรียบเสมือนลูกของเขาคนหนึ่ง ลุงพันเป็นพี่ของพ่อ นิสัยดีสุดๆ เลยแกเป็นคนขยันทำมาหากิน จิตใจงาม ชอบช่วยเหลือคนในชุมชนเสมอ มองเห็นความแตกต่างระหว่างพี่น้องสองคนนี้คือลุงกับพ่อได้อย่างชัดเจน

เวลาผมอยู่บ้านคนเดียวก็มักจะเดินไปบ้านลุงพันเป็นประจำเพื่อไปหาค่าขนมเป็นรายได้พิเศษ ไพ่นกกระจอก ผมรู้จักตั้งแต่ผมยังเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมเติบโตมากับบ่อนการพนันประจำหมู่บ้าน หรือทุกคนในชุมชนเรียกกันว่า “บ่อนยายอี๊ด” ป้าอี๊ดสอนให้ผมทำไพ่นกกระจอกตั้งแต่เด็ก และนี่เป็นอาชีพของผมในวัยเด็กจนจบมัธยมต้น

วันหนึ่งๆ จะได้เงินประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ บาท ซึ่งมากอยู่สำหรับเด็กอย่างผม และการนั่งทำไพ่ ๕ ชั่วโมง สำหรับพวกพี่ๆ พอย่างเข้าวัยรุ่น ช่วยเหลือตัวเองได้ ก็หนีความสับสนวุ่นวายในครอบครัวไปใช้ชีวิตในแบบของเขา

พี่สาวออกจากบ้านเพื่อไปเรียนต่อในกรุงเทพฯ พักอยู่กับเพื่อนเขา มีสังคมแบบเพื่อนช่วยเพื่อน หนึ่งปีกลับมาบ้านให้เห็นหน้าสักหนสองหนจะได้มั้ง ส่วนพี่ชายก็เที่ยวเตร่ ติดยาบ้า เกเร แต่เขาก็เรียนหนังสือนะ แถมทำงานช่วยเหลือตัวเองอีก เขาพักอาศัยอยู่กับตา ญาติฝ่ายแม่ของผม ซึ่งมีฐานะค่อนข้างดี ตาเลี้ยงพี่ชายผมมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นจึงเอาไปอยู่ด้วย สุดท้ายก็คงเหลือน้องสาวเล็กๆ กับตัวผมนี่แหละต้องอยู่กับพ่อและแม่ต่อไป เอ๊…“อยู่” หรือเปล่านะ ?

จริงๆ แล้วพ่อไม่เคยอยู่ติดบ้านเลย ไปไหนมาไหน ผลุบๆโผล่ๆ แถมยังดื่มเหล้าเมายาเป็นประจำ  วันไหนอยู่บ้านแทนที่จะอยู่กับลูกๆ กลับมีเพื่อนมาเต็มบ้านไปหมด เหมือนกับว่ากำลังจัดปาร์ตี้อะไรสักอย่าง แน่นอนคงเป็นยานรกอีกแล้ว

ส่วนแม่ก็อยู่ไม่ติดบ้านเช่นกัน วันๆ เอาแต่ไปเล่นไพ่ วันไหนเล่นได้ก็จะอารมณ์ดี แต่ถ้าวันไหนเสียมาละก็ ข้าวสักจานก็อย่าหวังได้กินเลย  ผมจะอยู่กับแม่มากกว่าพ่อ เพราะจะขอเงินแม่ได้ง่าย ก็ประเภทที่ว่าเอาเงินไปแล้วจะไปเล่นที่ไหนก็ไป คือเขาจะเล่นไพ่ว่างั้น  แต่แทนที่ผมจะไปเล่นกับเพื่อนตามประสาเด็ก กลับต้องมาเลี้ยงน้องที่ยังไม่รู้ประสีประสาอีก

พ่อและแม่ถูกตำรวจจับคาบ้านด้วยข้อหาค้ายาบ้าและมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตอนนั้นผมอยู่ ป.๖ ผมกับน้องสาวตัวเล็กๆ จึงย้ายมาอยู่กับลุงพันและป้าอี๊ด  จนผมอายุ ๑๖ ปี พ่อแม่จึงถูกปล่อยตัว ผมและน้องสาวจึงได้กลับไปอยู่กับพ่อแม่อีกครั้ง ถึงพวกเขาจะเข็ดหลาบไม่กล้าทำความผิดอีก แต่ก็กลับมาทดแทนสิ่งที่ผมขาดหายไปไม่ได้หรอก นั่นคือความรัก ความอบอุ่น

…………………………………………………………………