งานจากค่ายสารคดีครั้งที่ 10
เรื่อง วิภาดา แหวนเพชร

ภาพ อภินัยน์ ทรรศโนภาส

เรือนไม้ทรงไทย คู่เคียงสายน้า
ส่งไม้ ต่อโลง
แอบยิ้ม ให้อดีต
ต้นไม้ต้นแบบ เรือเลี้ยงชีพ
แง้มมองสายน้า ที่เคยรุ่งเรือง
ต่อโลง ต่อชีวิต
เครื่องคู่มือ เครื่องคู่ไม้
ตอกร่าง สร้างปัจจุบัน

น้ำคือชีวิต…ไม้ต่อชีวิต

คนไทยเกี่ยวข้องและผูกพันกับสายน้ำตั้งแต่เกิดจนตายเพราะภูมิประเทศที่มีแม่น้ำหลายสายที่ลัดเลาะเซาะซึมไปทั่วผืนแผ่นดินไทย  คนไทยนิยมตั้งรกรากถิ่นฐานใกล้แม่น้ำทำให้เราเกิดใกล้แม่น้ำ  เราหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพประมงหรือการเกษตรที่ต้องพึ่งพาน้ำ  และเถ้ากระดูกสุดท้ายของเราก็ต้องฝากไว้กับสายน้ำ  แต่วิถีชีวิตที่ผูกพันกับวายน้ำทำให้มีสิ่งหนึ่งที่เราต้องพึ่งพาไปคู่กันคือไม้  ถ้าสายน้ำแทรกซึมในแผ่นดิน  ไม้เองก็แทรกซึมในชีวิตประจำวันของคนไทยตั้งแต่เกิดจนตายเช่นกัน  เราเกิดในบ้านไม้  เราเดินทางด้วยเรือไม้  และเราตายในโลง

ลมพัดเอื่อยเฉื่อย  กลิ่นหนึ่งลอยมาแตะจมูก  เป็นกลิ่นกึ่งหอมกึ่งเหม็นแต่มีเสน่ห์อย่างประหลาด  เราเดินตามกลิ่นนั้นไปตามทางเชื่อมของชุมชนตลาดน้ำบางน้อยสู่วัดไทรและมาหยุดที่บ้านทรงไทยขนาดย่อมหลังหนึ่งตั้งอยู่ริมโค้งน้ำ  ข้างๆเป็นโรงไม้เก่าหลังคาสังกะสีมีเฟอร์นิเจอร์แปลกตาวางอยู่ด้านหน้า  ส่วนด้านข้างมีไม้กองพะเนินอยู่หลายกอง  เราจึงรู้ว่ากลิ่นที่มีเสน่ห์นี้คือกลิ่นไม้  ภายในโรงไม้มืดสลัว  เสียงรายการวิทยุและเสียงตอกตะปูก็ดังขึ้นพร้อมกันในโสตประสาท   สายตาจึงเพ่งมองเข้าไปภายในและเห็นโลงไม้วางเรียงรายอยู่ในความมืด  เหลือบไปเห็นป้าย THE LAST HOME  ที่อยู่ด้านหน้าโรงไม้จึงเข้าใจได้ว่าที่นี่รับสร้างโลงศพหรือ “บ้านหลังสุดท้าย”  ให้แก่ผู้คนนั่นเอง

ธีระพงษ์ วงศ์เจริญสถิตย์   หรือพี่หน่อยทายาทรุ่นที่สามเปิดประตูโรงไม้ต้อนรับเราด้วยชุดเสื้อกล้ามธรรมดา  ขยับแว่นตาขึ้นไว้บนหัวก่อนจะเดินไปหยิบผ้ามาเช็ดคราบเหงื่อและปัดเศษไม้บนตัวออก  เราวางสัมภาระไว้บนเก้าอี้ไม้ยาวที่ตอกติดกับพื้นไม้ในขณะที่พี่หน่อยขยับเฟอร์นิเจอร์ไม้ลักษณะแปลกตาพร้อมอุปกรณ์ต่างๆที่ตั้งขวางทางไปไว้ด้านข้าง   มองไปรอบๆอู่นอกจากคุณลุงรุ่นกระทงที่กำลังต่อโลงอย่างขะมักเขม้นเห็นเพียงแต่บ้านไม้  เรือไม้  โลงไม้  และกองไม้

ราวกับไม้เป็นเจ้าของบ้าน  และพี่หน่อยกับคุณลุงเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยเท่านั้น

พี่หน่อยเดินไปหรี่เสียงวิทยุลงก่อนจะหันมาเล่าด้วยท่าทีสบายๆว่าในขณะที่ทำงานไม้มักจะฟังรายการธรรมะอยู่เป็นประจำ  เพราะช่วยให้จิตนิ่งและมีสมาธิเนื่องจากงานไม้เป็นงานที่ต้องใช้สมาธิสูงเพื่อให้ได้งานที่ประณีตสวยงาม  ก่อนจะเล่าประวัติอันยาวนานเกือบร้อยปีของโรงไม้แห่งนี้ให้ฟัง

“โรงไม้นี้สมัยก่อนคืออู่ต่อเรือเก่าชื่อหน่ำเฮง  เฮงคือชื่อก๋ง  หน่ำชื่อเตี่ย ก๋งเป็นคนไหหลำโล้สำเภามาจากเมืองจีนมาอยู่ตรงนี้  เมื่อก่อนตลาดน้ำบางน้อยเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางเลยก็ว่าได้  จำความได้ก็เห็นเรือจอดฝั่งโน้นตั้งแต่วัดไทรมาตลอดแนวถึงแม่น้ำใหญ่โน่นเลย   มีพ่อค้าแม่ค้ามาจากเพชรบุรี  สุพรรณบุรี  ราชบุรี  มาขายกระบอกไม้ไผ่ขึ้นตาลมะพร้าว  ขายพืชผลการเกษตร  อาหารทะเล  แล้วเมื่อก่อนก็ไม่มีสะพานเดินถึงกันแบบนี้  ไปมาหาสู่ก็ต้องพายเรือ  ก๋งแกก็เห็นช่องทางว่าคนใช้เรือเยอะ  ก็ไปเป็นลูกจ้างเก็บเงินเก็บทองจนเปิดอู่ต่อเรือเพราะมีความรู้เรื่องการต่อเรือมาจากเมืองจีนอยู่แล้ว”

วิถีชีวิตริมน้ำทำให้ความรู้ด้านช่างไม้ที่ก๋งมีต่อชีวิตให้ทุกคนในครอบครัวได้   พี่หน่อยชี้ให้ดูบล็อกเรือลำสุดท้ายที่ยกไว้บนนั่งร้านสูงและเรืออีกลำที่คว่ำไว้ตรงด้านริมสุดของโรงไม้  เรือทั้งสองลำล้วนตกอยู่ในสภาพเดียวกันคือเก่าฝุ่นเขรอะเพราะขาดการดูแลมานาน  แม้ในวันวานมันทั้งคู่เหล่านี้จะเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยชีวิตทุกคนให้อยู่ดีกินดีก็ตาม

“ยุคโน้น  ผมไม่ได้คุยนะ  ที่นี่ดังสุด  เราขายถึงตลาดน้ำดำเนินสะดวก  ไปจนติดกรุงเทพฯ  ที่เราดังเหตุผลหลักคือเราเน้นว่าไม้ต้องแห้ง  ไม้ต้องเป็นของแท้ไม่มีการย้อมแมว  เอาไปใช้จะได้ทนทาน”

กิจการของอู่ต่อเรือหน่ำเฮงเคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดจนลูกค้าต้องสั่งเรือไว้ล่วงหน้าถึงสองปี  เพราะมีการบอกต่อกันถึงความประณีตและทนทานของเรือจนมีลูกค้ามาว่าจ้างให้ต่อเรือจากหลายจังหวัดในภาคกลาง    พี่หน่อยชี้ให้เราดูส่วนประกอบต่างๆของเรือที่พี่หน่อยเอามาตอกติดกันจนคล้ายปีกของนกยูงรำแพนและเล่าว่าที่นี่เคยต่อเรือหลายแบบตามความนิยมของยุคสมัย  เริ่มจากเรือพายไปสู่เรือหางยาวขนาด 5 ที่นั่ง  แต่เนื่องจากเตี่ยสมาน  วงศ์เจริญสถิตย์  คุณพ่อของพี่หน่อยมีนิสัยชอบคิดค้นและพัฒนาสิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลาจึงต่อเรือหางยาวแบบ 13 ที่นั่งขึ้นมาและเอาไปลงแข่งในเทศกาลแข่งเรือยาวประจำจังหวัดจนชนะ  ทำให้กิจการดีขึ้นเรื่อยๆจนมารุ่งเรืองถึงขีดสุดเมื่อเตี่ยสมานพัฒนาเรืออีป๊าบ  เรือบรรทุกสินค้าทางการเกษตรที่มีลักษณะหัวเรือท้ายเรือแคบแต่ตรงกลางป่อง  โดยลดความป่องกลางเรือให้เพรียวขึ้นและสูงขึ้นเพื่อสะดวกเมื่อพายในลำคลองเล็กๆ  กลายเป็นที่นิยมไปทั่วคุ้งแควจนมีการซื้อตัวช่างไม้ในอู่ต่อเรือหน่ำเฮงเพื่อลอกสูตรเรือ

“เรืออีป๊าบแบบใหม่มันก็มีผลต่อวิถีชีวิตคนแถวนี้   พอทรงมันเริ่มเปลี่ยนเหมือนเสื้อผ้า เรือมันก็วิ่งได้เร็ว เพรียวกว่าเก่าแต่การใช้งานบรรทุกมันก็ไม่ได้เยอะ  เรือนี้ก็กลายเป็นวิ่งโชว์  เท่ห์กว่า  คนก็ชอบ  หลังจากนั้นเรืออีป๊าบแบบเก่าก็ไม่ทำเลย”

แต่การเปลี่ยนสูตรเรือใหม่สำหรับอู่ต่อเรือร้อยปีอย่างหน่ำเฮงก็ใช่ว่าจะเป็นไปอย่างง่ายดาย  พี่หน่อยเล่าให้ฟังว่าหลังจากเตี่ยสมานต่อเรืออีป๊าบทรงใหม่เสร็จ  ก๋งผู้บุกเบิกกิจการก็เอาขวานสับเรือจนขาดเนื่องจากความจริงจัง  เข้มงวด  และมีระเบียบอย่างมากของก๋งที่คิดว่าเตี่ยสมานทำเรือขึ้นมาเล่นๆ  ใช้ไม้ไปอย่างไร้ประโยชน์

“เราเคารพอุปกรณ์ต่อเรือทุกชิ้นมากเพราะก๋งกับเตี่ยจะสอนว่านี่คือครู  เวลาเขาสอนเราต่อเรือมันไม่มีใบสูตรแบบทุกวันนี้   เวลาสอนกันก็หยิบไม้ออกมาวาง  ชี้ให้เห็นว่าทำตรงไหนได้ตรงไหนไม่ได้  สอนให้เห็นกันผ่านการลงมือทำเนื่องจากขนาดไม้มันไม่เท่ากัน  เราต้องหัดประยุกต์เอาหน้างาน ”

จนกระทั่งถนนเริ่มตัดผ่านเข้ามาแถวตลาดน้ำบางน้อยประมาณปี พ.ศ. 2530  ผู้คนเริ่มใช้รถใช้ถนนและเดินทางเข้าไปตั้งรกรากถิ่นฐานในเมืองเพื่อเปิดกิจการร้านค้า  ตลาดน้ำบางน้อยที่เคยเจริญรุ่งเรืองในอดีตกลายเป็นตลาดเล็กๆของชุมชน  ถนนได้พาเรือหลายลำให้หายไปจากตลาดน้ำบางน้อย  ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่พัดพากิจการอู่ต่อเรือหน่ำเฮงให้หายไปกับสายธารแห่งกาลเวลา  แต่ทว่าเตี่ยสมานกับพี่หน่อยยังมี “ไม้” และ “วิชาช่างไม้” เป็นเหมือนเรือให้พายไปในกระแสน้ำแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้   พายไปสู่หนทางใหม่ของอาชีพช่างไม้นั่นคือ กิจการทำฝาบ้านทรงไทย

กิจการต่อฝาบ้านทรงไทยช่วงแรกเริ่มจากการต่อฝาศาลาหอฉันท์ให้วัดวาอารามในพื้นที่เพราะเจ้าอาวาสเชื่อในฝีมืองานไม้ของอู่ต่อเรือหน่ำเฮง  เตี่ยสมานกับพี่หน่อยจึงยึดฝาบ้านทรงไทยของตนเองไว้เป็นต้นแบบและอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมกันมานานทดลองต่อฝาศาลาหอฉันท์จนประสบผลสำเร็จ  ทำให้วัดอื่นๆในพื้นที่ใกล้เคียงเช่นวัดโกรกกราก  วัดบางน้อยในและวัดภุมรินทร์  ต่างมาว่าจ้างให้ช่วยบูรณะฝาโบสถ์และศาลาวัด  แต่เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นทำให้ลูกค้าลดน้อยลงในเวลาไม่นาน  เตี่ยสมานจึงเริ่มต่อโลงควบคู่กันไปเพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องใช้ในวาระสุดท้ายของชีวิต  ในขณะที่พี่หน่อยก็รับทำฐานชุกชีสำหรับวางพระประธานให้วัดต่างๆ   โดยถอดแบบฐานชุกชีมาจากหนังสือของกรมศิลปากร  ซึ่งพี่หน่อยย้ำกับเราหลายครั้งเลยว่า “ตาแตก”  เพราะพี่หน่อยต้องดูจากภาพและถอดออกมาทีละด้าน  หัดประกอบทีละชั้นเป็นเวลาสามวันสามคืนกว่าจะสำเร็จ

“สมัยก่อนเขาบอกว่าคนรวยอยู่ตึก  คนจนอยู่บ้านไม้  แต่ตอนนี้กลับกัน  สุดท้ายคนรวยก็ต้องมีพื้นที่ส่วนตัว  ค้าขายได้เงินมาก็ปลูกบ้านไม้อยู่ริมคลองเพื่อพักผ่อน  กลุ่มลูกค้าเราเลยต้องเป็นคนรวยจริงๆ ซึ่งหาได้ยากมากเพราะไม้มันแพงขึ้นทุกวัน  สุดท้ายปี 2540 ก็ต้องปิดกิจการอีกรอบ  หลังจากนั้นเราก็คิดว่าจะทำอะไรต่อ  ตอนแรกก็คิดจะทำเฟอร์นิเจอร์ขายแต่ก็ไม่ทำเพราะผมคิดว่าผมไม่ได้เรียนด้านนี้มา  การดีไซน์สู้เค้าไม่ได้  อีกอย่างคือมันมีการแข่งขันค่อนข้างสูงเรื่องราคานอกจากเราฉีกแนว  ดูแล้วไปได้ยาก  เราเลยเอาโลงเป็นหลักแล้วค่อยทำอะไรเติม”

ในที่สุดพี่หน่อยซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่สามผู้ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในโรงไม้แห่งนี้มาตั้งแต่จำความได้ก็ก้าวเข้ามารับผิดชอบกิจการต่อโลงต่อจากเตี่ยสมาน  ในขณะที่พี่น้องอีกสี่คนที่เหลือของพี่หน่อยต่างออกไปประกอบอาชีพของตนเอง

“ พี่น้องคนอื่นเรียนได้ดิบได้ดีกันหมด  ส่วนเราถูกวางตัวให้รับช่วงต่อมาตั้งแต่เด็ก  คิดว่าคงเป็นเพราะเตี่ยเขาเห็นลักษณะของเรา  เห็นสิ่งที่เราทำผ่านๆตา  ช่วงตอนประถมทำงานไม้ไปประกวดตามเขตการศึกษา ผมได้ที่สอง  ตอนที่ทำงานฝีมือส่งครู  ครูก็ด่าว่าผมให้พ่อทำให้ทั้งที่ผมทำเอง  ผมก็ต้องทำใหม่อีกชิ้นซึ่งมันก็เหมือนเดิม  คิดว่าเป็นตรงนี้  ลักษณะของเราดูจะไปได้”

แม้ว่ากิจการโลงศพในช่วงแรกยังไม่เป็นที่รู้จักแต่ด้วยฝีมือช่างที่ขัดเกลาอย่างประณีตจากรุ่นสู่รุ่นทำให้ลูกค้าเรือเก่าและคนในพื้นที่ไว้วางใจให้พี่หน่อยสร้างบ้านหลังสุดท้ายให้พวกเขา  จากกิจการโลงช่วงแรกที่ต้องมีหน้าร้านเพื่อให้คนรู้จักกลายเป็นกิจการต่อโลงขายส่งอย่างเดียวเพราะลูกค้าสามารถโทรมาสั่งได้โดยตรงเมื่อสูญเสียคนในครอบครัว  นอกจากนี้พี่หน่อยยังส่งโลงศพให้ร้านโลงในจังหวัดใกล้เคียงเช่นเพชรบุรีและราชบุรี   ซึ่งบางเจ้าเป็นลูกค้าเรือเก่าที่รู้กิตติศัพท์ของความประณีตในงานช่างไม้ของอดีตอู่ต่อเรือหน่ำเฮงเป็นอย่างดี

พี่หน่อยพาเราเดินเข้าไปในพื้นที่สำหรับทำโลงศพ  บนพื้นไม้ที่ยกสูงขึ้นมามีโลงสีขาวที่เพิ่งประกอบเสร็จใหม่ๆสามสี่ใบวางอยู่  ใกล้กันเป็นม้าเตี้ย 2 ม้า สำหรับวางโลงที่กำลังประกอบขึ้นมาใหม่   ช่างสูงวัยท่านหนึ่งกำลังวัดขนาดโลงและเตรียมเลื่อย  อากาศภายในร้อนอบอ้าวจนเหงื่ออาบร่างกายช่างแต่ทว่าช่างสูงวัยยังคงมีสมาธิกับงานไม้ตรงหน้า  พี่หน่อยชี้ให้ดูไม้สักที่ตากอยู่ด้านนอกเพื่อเอามาทำโลงไม้สักแท้  ซึ่งพี่หน่อยจะเป็นผู้รับผิดชอบเองทุกขั้นตอน

“ จริงๆต่อโลงง่ายกว่าต่อเรือหรือฝาบ้านมาก   มันจะแตกต่างตรงขาโลงซึ่งแล้วแต่หัวเราว่าจะประยุกต์ยังไง  อย่างที่เห็นโลงไม้สักเราทำเป็นขาสิงห์ซึ่งที่อื่นไม่มีทำ  ก็หัดทำมานานแล้ว  จริงๆขาสิงห์มันก็ไม่ได้ยากมากแต่มันช้า  เราก็ต้องมากล่อมให้ได้ทรงมัน  ฟักนี่ต้องฟักด้วยตา  โลงเรายังลงเดือย  ทรงก็เป็นทรงโบราณแต่มีการปรับปรุงนิดหน่อย  ให้ข้างล่างเล็กข้างบนกว้าง  เพราะโลงเวลาเราประกอบฐานฐานมันจะใหญ่กว่า  เวลาเรามองด้วยตาเปล่าถ้าสมมติเราทำตั้งโลงขึ้นไปคุณจะมองว่าโลงข้างบนปากเล็ก  มันหลอกตาเรา”

พี่หน่อยเดินลงบันไดลงมาพื้นดินด้านล่างของโรงไม้   มีโลงสีขาวประมาณ 10 ใบวางไว้บนม้าเตี้ย  ด้านริมสุดเป็นโลงไม้สำหรับประกอบพิธีในศาสนาคริสต์มีพลาสติกหุ้มรอบๆ   ส่วนด้านหลังเป็นโลงไม้สักหุ้มพลาสติกประมาณสิบใบวางกองกันเป็นระเบียบแต่ทว่ามีฝุ่นจับเขรอะบ่งบอกถึงระยะเวลาที่วางไว้นาน  พี่หน่อยบอกว่าโลงนี้ไม่ใช่โลงที่ไม่มีคนซื้อ  แต่เป็นโลงที่ญาติๆและลูกค้าเรือเก่ามาสั่งต่อไว้ล่วงหน้าเพราะอยากเลือกบ้านให้ตัวเองในวาระสุดท้ายของชีวิต

“เรื่องโลงศพ สมัยก่อนมีคำอยู่คำ  คนซื้อไม่ได้ใช้  คนใช้ไม่ได้ซื้อ  แต่โลงศพที่นี่คนซื้อได้ใช้เพราะว่าซื้อไว้ล่วงหน้าได้เห็นได้เลือกว่าจะเอาผ้าสีอะไรแบบไหน  คือเขาเชื่อเรื่องงานของเราว่าละเอียดเพราะเราต่อเรือมาก่อน”

พี่หน่อยพาเราไปทางหลังโรงไม้เพื่อไหว้ศาลพระวิษณุซึ่งเป็นครูของช่างทุกคนและเดินนำไปชมต้นสักข้างโรงไม้ที่พี่หน่อยปลูกไว้ 17 ปี   บริเวณใกล้กันมีกองไม้กองใหญ่ที่พี่หน่อยเตรียมเผาทำเป็นถ่าน  และมีราวตากไม้สักยาวจนถึงตัวบ้านเรือนไทย  ใต้บ้านมีกองไม้รูปร่างแปลกตาที่พี่หน่อยสะสมไว้ทำงานอดิเรกคืองานประดิษฐ์จากไม้  พี่หน่อยเชิญเราเข้าชมบ้านเรือนไทย  เราถึงกับต้องอุทานออกมาเพราะภายในบ้านเหมือนแกลลอรี่แสดงผลงานศิลปะ  มีภาพวาดบุคคลที่สวยไม่แพ้ศิลปินเก่งๆแขวนไว้เต็มผนังทั้งสี่ด้าน  พี่หน่อยเล่าให้ฟังว่าเป็นภาพผลงานของพี่น้องทั้ง 5 คนเอาไว้ดูต่างหน้าเพราะทุกคนวาดรูปเก่งมาก  อีกทั้งภายในบ้านมีงานไม้ที่แปลกสะดุดตาอยู่หลายชิ้นเช่นโต๊ะไม้ขาเดียว  โต๊ะไม้ขาจักร  โคมไฟไม้และฐานพระประธาน  ทำให้เราเผลอคิดว่านี่คือแกลลอรี่แสดงผลงานศิลปะมากกว่าจะเป็นบ้านคน

“เวลาว่างเราชอบทำงานไม้  เราอยากรู้ว่าไม้มันทำอะไรได้บ้างแล้วคนเขาไม่ทำอะไรกัน  เราก็สนุก  ก็ลองทำหมดนะ  ป้ายทะเบียนรถไม้ กระจกรถไม้ เกียร์ไม้ ถอดออกมาดูเลย  มีอะไรอีก  โกฏิไม้ก็ทำ  แล้วก็พวกเฟอร์นิเจอร์ข้างล่างอย่างที่เห็น  ทุกอย่างไม่เคยดูไม่เคยอ่านไม่ลอก  มันเกิดจากอารมณ์ตอนนั้น  พวกเฟอร์นิเจอร์ไม้ข้างล่างวิธีทำก็หยิบมาแล้วเอามาคิด  มาจากความรู้สึกล้วนๆ  เราชอบงานดิบ  ชอบอะไรที่มีอายุ ตามธรรมชาติ มันสวยของมัน แค่จับมันมารวม เป็นชิ้นงาน มันก็สวยของมันอย่างนี้  ไม้มันมีเสน่ห์ตรงนี้  ”

พี่หน่อยเดินนำเรามาสู่หน้าโรงไม้อีกครั้งเพื่อแสดงให้เห็น “ความรักในงานไม้” ของพี่หน่อย  ตรงขื่อคานหน้าบ้านพี่หน่อยตีระแนงไม้ยาวลงมาเพื่อเก็บรักษาอุปกรณ์ช่างไม้เก่าๆที่ใช้มาตลอดสามรุ่นผ่านการตอกติดไว้กับระแนงไม้   ทั้งกบไสไม้  เลื่อยอก เลื่อยฉลุ  เตาฟู่  และเดือยไม้เก่าๆเอามาแขวนเรียงกันเป็นโมบายสวยงาม  แต่สิ่งที่สะดุดตาเราอย่างมากคือคันเบ็ดรูปร่างประหลาดตรงหน้าบ้าน

“นี่เป็นงานประดิษฐ์อีกชิ้น  เพิ่งทำไม่นาน  มันเป็นเรื่องที่ต้องอธิบายหน่อย  เครื่องมือช่างสามอย่างที่มีความจำเป็นที่เขาเรียกว่าเป็นครู  คือเต๊าหรือรางประทัดไว้ดึงเชือกแล้วตีเส้นโค้ง  แล้วก็จะมีฉากและไม้ศอก  คือสามอย่างนี้คือเครื่องยึดเหนี่ยวของช่างไม้  เราก็เอากาฝากไม้สักมาทำเป็นคันเบ็ดเพราะที่จริงเราทำอาชีพหากินกับไม้สัก  กาฝากไม้สักแปลว่าเราอาศัยไม้สัก เราพึ่งพาไม้สัก โดยที่มีเครื่องมือสามชิ้นคือรางประทัด  ไม้ศอก และฉากมาร้อยไว้กับด้ายเป็นคันเบ็ด  เปรียบเหมือนให้เหยื่อมาติด  มาซื้อผลงานของเรา”

เมื่อถามถึงอนาคตของกิจการต่อโลงพี่หน่อยก็ยิ้มน้อยๆและเล่าว่าตนเองมีลูกชายและลูกสาว แต่จะไม่บังคับให้ใครทำอะไร  ให้ลูกเลือกทำในสิ่งที่ชอบ  ส่วนตนเองชอบงานไม้ก็จะทำงานไม้ต่อไปแม้ว่าทุกวันนี้กิจการจะไม่รุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อนก็ตาม  เราหันมองไปรอบๆอดีตอู่ต่อเรือหน่ำเฮง  อนาคตของไม้ที่กองพะเนินอยู่ไม่รู้ว่าจะลงเอยในทิศทางไหน   จะฝ่าคลื่นลมแห่งความเปลี่ยนแปลงได้นานเท่าไหร่  แต่เราก็มั่นใจในฝีมือของนายช่างใหญ่รุ่นที่สามของอดีตอู่ต่อเรือแห่งนี้ว่าต้องสร้างสรรค์งานไม้ที่แข็งแรงทนทานพอจะสู้เกลียวคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยนั้นได้แน่นอน

เสียงรายการธรรมะในวิทยุดังขึ้นคลอๆกับเสียงตอกตะปู  เมื่อตั้งใจฟังเราจึงคลายข้อกังวลใจโดยสิ้นเชิง

“อดีตก็ผ่านไปแล้ว  อนาคตยังมาไม่ถึง  พระพุทธองค์ทรงสอน ไม่ให้โหยหาอดีต  ไม่ให้วาดหวังอนาคต  และจงอยู่กับปัจจุบัน  จะทำอะไรก็ว่าไปไม่ต้องใส่ใจกับอดีต”

ภาพสุดท้ายที่เราเห็นจากโรงต่อโลง  The Last home คือชายวัยกลางคนสวมแว่นตาหยิบค้อนกับตะปูมาตอกลงบนไม้สักรูปร่างแปลกตาด้วยความตั้งใจ

เราจึงเข้าใจว่าเขากำลังทำปัจจุบันให้ดีที่สุด