หากดูกันในรายละเอียดจะเห็นได้ว่าคำบรรยายนรกขุมต่างๆ ในจักรวาลแบบเขาพระสุเมรุนี้ เต็มไปด้วย “เครื่องมือเหล็ก” เช่นใน “ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา” เล่าถึงนรกชั้นสัญชีวะหรือสัญชีพ นรกชั้นแรก ว่า “มีสัณฐานเป็น ๔ เหลี่ยมดุจหีบ กว้างแลยาวนั้นได้ ๑๐๐ โยชน์ ฝาผนังทั้ง ๔ ด้านแลพื้นเบื้องต่ำ ฝาปิดเบื้องบนนั้น แล้วไปด้วยเหล็ก”

ร่องรอยจากยุคโลหะ - สุเมรุจักรวาล ตอนที่ 72

ขณะที่ “นายนิรยบาล” ผู้คุม “ถือมีดแลพร้า และขวานถากขวานผ่า ศาสตราวุธต่างๆ คอยสับฟันทิ่มแทง ทุบตี แล่เนื้อเถือหนังแห่งสัตว์นรกทั้งปวง”

ส่วนกาฬสุตตนรก อันเป็นลำดับถัดมา “สัตว์ทั้งหลายอันไปบังเกิดในกาฬสุตตนรกนั้น ยมบาลทั้งหลายมัดด้วยพวนเหล็ก ผูกขึงลงไว้กับแผ่นดินเหล็กอันรุ่งเรืองเป็นเปลวเพลิง แล้วก็เอาสายบรรทัดเหล็กใหญ่เท่าลำตาลดีดลง…”

หรือตาปนรก ก็ “สะพรั่งไปด้วยหลาวเหล็ก หลาวเหล็กนั้นนับด้วยหมื่นเป็นอันมาก แต่ละเล่มๆ นั้นใหญ่ประมาณเท่าลำตาล นายนิรยบาลทั้งหลายย่อมจับเอาสัตว์นรกทั้งปวงนั้นขึ้นเสียบไว้บนหลาวเหล็ก”

นอกจากผนังเหล็ก หอก ดาบ หลาว ขวานที่เป็นเครื่องมือเหล็กแล้ว ในนรกก็ยังนิยมใช้ภาชนะเหล็ก เช่นหม้อเหล็กซึ่งบรรจุเหล็กหลอมละลาย ส่วนอุปมาความร้อนแรงของนรกก็คือ “เหล็กแดง” หรือเหล็กที่ถูกไฟเผาจนร้อนแดงจัด

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙) เคยทรงแสดงทัศนวิจารณ์ไว้ในพระนิพนธ์ ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า ตอนหนึ่งว่า

“ในนรกก็ใช้เครื่องเหล็กตลอดถึงอาวุธ เป็นต้นว่าหอกดาบ เช่นเดียวกับในมนุษยโลก จึงน่าจะมีแสดงขึ้นในสมัยที่มนุษย์รู้จักใช้เหล็กและรู้จักทำหอกดาบ เป็นต้น ใช้แล้ว”

hell scene 2

ความสำคัญของ “ยุคโลหะ” ก็คือเครื่องมือโลหะมีทั้งความแข็งแรง ทนทาน ขณะเดียวกันสามารถ “ลับคม” ใหม่ได้เรื่อยๆ นักโบราณคดีจึงค้นพบร่องรอยในหลายอารยธรรมว่าพร้อมๆ กับการมาถึงของเทคโนโลยีใหม่ คือการหล่อหลอมโลหะ ประดิษฐ์เป็นอาวุธและเครื่องมือเครื่องใช้นั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือความ “มันมือ” ในการใช้เป็น “อาวุธประสิทธิภาพสูง” ฟาดฟันมนุษย์คนอื่น

หลักฐานจากยุคโลหะในสังคมมนุษย์หลายที่ทั่วโลกจึงเป็นร่องรอยของสงคราม การแผ่ขยายอำนาจของเผ่าพันธุ์หรือแว่นแคว้นต่างๆ การใช้อาวุธหอก ดาบ แหลน หลาว ฆ่าฟันกัน ซึ่งล้วนเป็นปฐมบทแห่งการเกิดขึ้นของ “อาณาจักร” ที่มีการปกครองรวมศูนย์อำนาจ ควบคู่ไปกับการขุดคูน้ำ สร้างแนวคันดินหรือกำแพงค่ายรอบชุมชน ไว้ป้องกันศัตรู นอกจากนั้นยังพบด้วยว่าโครงกระดูกในหลุมฝังศพยุคโลหะ ปรากฏร่องรอยการบาดเจ็บล้มตายจากอาวุธ เพิ่มขึ้นกว่ายุคก่อนหน้าหลายเท่า

บรรดาอาวุธเหล่านั้นเองคงตามติดไปสร้างจินตภาพให้แก่ “นรก” สถานที่แห่งการประหัตประหารต่อเนื่องกันไปอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นด้วย

อีกนัยหนึ่งก็คือภาพของการลงทัณฑ์ใน “นรก” ทั้งหมด ล้วนสืบเนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย เมื่อสังคมมนุษย์เข้าสู่ “ยุคโลหะ” แล้ว หรือหากกำหนดอายุคร่าวๆ ก็คงเกิดขึ้นในอินเดียเมื่อประมาณไม่เกิน ๓,๐๐๐ ปีก่อน

เวลาสามสหัสวรรษมาแล้วนี้ ยังสอดคล้องกับ “จักร” ที่กล่าวกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของราชาผู้ยิ่งใหญ่ หรือ “พระจักรพรรดิราช” ผู้ทรง “หมุนจักร”

“จักร” คือ “ล้อ” โดยนัยคงหมายถึง “รถศึก” ชนิดที่ใช้ม้าลากจูง เช่นเวชยันต์ราชรถของพระอินทร์ หรือรถทรงของพระอาทิตย์และพระจันทร์ ซึ่งล้วนเป็นเทคโนโลยีในยุคสมัยใกล้เคียงกัน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่มนุษย์สามารถจับม้าป่ามาฝึกหัด และเลี้ยงไว้เป็นสัตว์ใช้งาน รวมถึงการประดิษฐ์ “ล้อ” (spooked wheel) ที่มี “กง” คือขอบวงล้อ และ “กำ” คือซี่ล้อ

เมื่อเอาม้าและล้อมารวมกัน สิ่งที่ได้ก็คือ “รถศึก” อันเป็นอาวุธเคลื่อนที่เร็ว มีพลานุภาพในการบุกตะลุย ทะลุทลวงทำลายแนวรบของทหารเดินเท้าฝ่ายข้าศึกได้ราบคาบ

ไม่น่าเชื่อว่า หลักฐานเทคโนโลยียุคโลหะเมื่อ ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว ยังถูกแช่แข็งเก็บรักษาไว้ให้เราศึกษาได้ผ่านคติจักรวาลแบบเขาพระสุเมรุ อันเดินทางไกลจากภูมิภาคอินเดียเหนือ แล้วส่งต่อมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเมืองไทย พร้อมกับลัทธิศาสนาแต่โบราณนั่นเอง