พระอาทิตย์ประลัยโลก  - สุเมรุจักรวาล ตอนที่ 77

เมื่อจักรวาลจะถึงกาลอวสานนั้น จู่ๆ พระอาทิตย์ที่จากเดิมเคยมีอยู่ดวงเดียวก็เพิ่มมาเป็นสอง ผลัดกันโคจรทั้งวันทั้งคืน ดวงหนึ่งตกลง อีกดวงขึ้นแทนที่ ไม่มีกลางคืนค่ำมืดอีกต่อไป

“ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา” อธิบายเสริมว่าทุกวันนี้ยังอาจเห็นมีเมฆหมอกมาบดบังแสงบ้าง แต่

“รัศมีพระอาทิตย์ประลัยโลกครั้งนั้น ไม่มีเมฆแลหมอกอันใดอันหนึ่งปิดป้องกำบังเลย ผ่องใสยิ่งนัก”

พอมีพระอาทิตย์สองดวงส่องสว่างจ้าตลอดเวลา น้ำตามแม่น้ำต่างๆ เว้นแต่ปัญจมหานที ก็ระเหยไปหมด

อยู่ไปอยู่มา เกิดมีพระอาทิตย์เพิ่มขึ้นอีกเป็นสามดวง ดวงหนึ่งเพิ่งขึ้น ดวงหนึ่งลอยอยู่กลางหาวเวลาเที่ยงวัน อีกดวงหนึ่งกำลังจะลับฟ้า วนเวียนกันไปเรื่อยๆ น้ำปัญจมหานที ทั้งคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู และมหิ ก็แห้งขอด หาน้ำสักหยดก็ไม่มีเหลือหลอ

ต่อมา พระอาทิตย์ประลัยโลกเกิดขึ้นอีกดวงเป็นสี่ดวง คราวนี้ น้ำในสระทั้งเจ็ดแห่งป่าหิมพานต์ แม้กระทั่งสระอโนดาตซึ่งไม่เคยกระทบแสงอาทิตย์โดยตรงมาก่อนเลย ก็เหือดหายไปสิ้น

คัมภีร์ “โลกสัณฐานโชตรตนคัณฐี” อุปมาว่าพระอาทิตย์สี่ดวงนี้ “ปรากฏเหมือนพระ ๔ รูปออกบิณฑบาตและยืนอยู่ตามลำดับประตูบ้านฯ”

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นถึงห้าดวง “ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา” เล่าว่าน้ำในมหาสมุทรรอบเขาพระสุเมรุที่ลึกถึง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ก็ค่อยๆ งวดลงทีละน้อย

“ตราบเท่ามีน้ำลึกอยู่ได้ ๗ ชั่วลำตาล แล้วงวดลงไปคงอยู่ ๖, ๕, ๔, ๓, ๒ ชั่วลำตาล แล้วงวดลงไปยังแต่ชั่วลำตาลเดียว แล้วงวดลงไปยังแต่ ๗, ๖, ๕, ๔, ๓, ๒ ชั่วบุรุษ แล้วงวดลงไปยังแต่ชั่วบุรุษหนึ่ง แล้วงวดลงไปยังเพียงคอ เพียงนม เพียงเอว เพียงเข่า เพียงแข้ง เพียงข้อเท้า”

ความสูงที่ใช้ลำต้นของต้นตาลเป็นมาตรวัด หรือที่เรียกกันว่า “ชั่วลำตาล” เป็นสิ่งที่ปรากฏเสมอในคัมภีร์พุทธศาสนา การวัดความสูงด้วยต้นตาล (ซึ่งคงสูงเหลือเกินแล้วในทัศนะของคนโบราณ) จึงกลายมาเป็นคำพูดติดปาก เช่นเมื่อพูดถึง “เปรต” ก็ต้องว่าตัวสูงยังกับต้นตาล

โดยเฉพาะ “๗ ชั่วลำตาล” คือต้นตาลเจ็ดต้นมาเรียงต่อกันขึ้นไป (ค้นดูในภาษาอังกฤษ ท่านใช้ว่า a height of seven toddy-palms) เป็นที่นิยมกันมาก เช่นที่เล่าว่าพระอริยบุคคลในพุทธประวัติสามารถเหาะขึ้นไปในอากาศได้สูงถึง ๗ ชั่วลำตาล

สมัยก่อนยังเคยผ่านตาสำนวนว่าเมืองโคราช (นครราชสีมา) สูงกว่าทางบางกอกถึง ๗ ชั่วลำตาล

แล้ว “ลำตาล” หนึ่งๆ สูงแค่ไหน ?

เรื่องนี้ลองค้นดูแล้วยังหาไม่พบ แต่เมื่อพิจารณาต่อไปอีกว่าคัมภีร์ไล่ระดับจาก “ชั่วลำตาล” ลงมาถึง ๗ ชั่วบุรุษ หรือมนุษย์เจ็ดคนยืนซ้อนกันบนหัวคนข้างล่าง ดังนั้น ๑ ชั่วลำตาลย่อมต้องสูงกว่า ๗ ชั่วบุรุษ จึงขอสมมติให้ ๑ ชั่วลำตาลเท่ากับ ๘ ชั่วบุรุษไปพลางๆ ก่อน

ทีนี้ความสูงเฉลี่ยของ “บุรุษ” คนหนึ่ง สมมติให้เป็นชายร่างเล็กสักหน่อย ก็อยู่ราว ๑๖๕ เซนติเมตร ดังนั้น ๘ ชั่วบุรุษจึงเท่ากับ ๑๓.๒๐ เมตร

ชั่วลำตาลหนึ่งก็อาจสูงประมาณราวๆ ๑๓ เมตรกว่าๆ กระมัง ?

แต่ไม่ว่าจะสูงเท่าใด ตามคัมภีร์ก็คือเมื่อใกล้ถึงเวลาสิ้นสุดกัลป พระอาทิตย์ที่เพิ่มมากจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แผดแสงแรงกล้าจนทำให้น้ำทั้งหมดในจักรวาลก็ค่อยๆ ระเหยหายไป จนหมด