เรื่องและภาพ : กลุ่มอย่าฝืน ค่ายสารคดีครั้งที่ ๑๗

huaydindum00

“ใครเผาป่า”

ลมหอบเอาควันสีขาวลอยฟุ้งพร้อมกลิ่นไหม้พัดมาแตะจมูกพวกเรา

“นี่ไม่ใช่เผาป่านะลูก แต่เป็นการเผาไร่”

เสียงของ สุดา กองแก ชาวบ้านในชุมชนบ้านห้วยหินดำ อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ตอบกลับทันทีก่อนอธิบายว่า การเผาคือกระบวนการหนึ่งของการเตรียมไร่หมุนเวียน โดยธาตุอาหารที่เหลือจากการเผาจะกลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติในดิน เพื่อให้ปลูกพืชต่อไปได้โดยไม่ต้องใช้สารเคมี

สังคมส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่า ชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าเป็นผู้บุกรุกและฉกฉวยเอาประโยชน์จากธรรมชาติ สิ่งนี้เป็นความจริงหรือไม่ ยังต้องพิสูจน์

“ถ้าเรารู้ว่าเบียดเบียนก็ต้องรู้หน้าที่ว่าต้องทำอะไร เราต้องทดแทนสิ่งที่เราเบียดเบียนไป ซึ่งส่วนหนึ่งที่เราทำก็คือเกษตรอินทรีย์” สุดากล่าวน้ำเสียงหนักแน่น

huaydindum01
“นกเอี้ยง” จารุวรรณ เมืองแก่น หญิงชาวกะเหรี่ยงโผล่วบนเส้นทางกลางป่าในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเธอใช้เป็นกิจวัตร
huaydindum02
“ไร่หมุนเวียน” วัฏจักรการทำเกษตรของชาวกะเหรี่ยง เริ่มจากเตรียมดินด้วยการเผาไร่สร้างปุ๋ยธรรมชาติลงสู่ดิน สิ่งที่ยังเก็บไว้ ไม่ทำลาย คือต้นไม้ใหญ่ แสดงถึงความเคารพธรรมชาติของชาวบ้านห้วยหินดำ
huaydindum03
ท่ามกลางกองไฟและหมอกควันเป็นสัญญานเพื่อเตรียมเริ่มต้นใหม่ของพื้นที่ไร่หมุนเวียน
huaydindum04
แปลงเกษตรอินทรีย์กลางหุบเขาเสมือนสายธารพรรณพืชท้องถิ่น หล่อเลี้ยงปากท้องของชาวดอยและชนเมือง

เดิมชาวบ้านในพื้นที่ทำการเกษตรในรูปแบบไร่ข้าวโพด ไร่มันสำปะหลัง จนเมื่อมีองค์การพัฒนาเอกชนเข้ามาให้ความรู้และสนับสนุนเมื่อสิบกว่าปีก่อน จึงมีการเพาะปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ เกิดเป็นกลุ่มผักประสานใจที่เริ่มปลูกผักประเภทผักใบ เช่น กวางตุ้ง ผักกาด ฯลฯ ทางกลุ่มจะนำผลผลิตตามฤดูกาลส่งให้ลูกค้าในกรุงเทพฯ โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านห้วยหินดำที่ปลูกผักประเภทผักผล เช่น กล้วยน้ำว้า มะละกอ ฯลฯ ส่งผลผลิตให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งตามโควตา

เมื่อ แนทเพชรรัตน์ อนุสรณ์ประชา ที่เกิดและเติบโตในหมู่บ้านห้วยหินดำ เรียนจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี เธอเลือกกลับบ้านเกิดมาช่วยพัฒนากลุ่มผักประสานใจและกลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านห้วยหินดำ เพราะมองเห็นความสำคัญของทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงทางชุมชนยังมีการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมอื่นๆ เช่นทอผ้า ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพที่เข้มแข็งของคนในชุมชน

“เรามีกิจกรรมในชุมชน เผยแพร่ให้คนอื่นมาเรียนรู้ เป็นประสบการณ์ให้น้อง ๆ คนรุ่นใหม่ได้ศึกษาแล้ว ยังทำให้คนอื่นรู้ว่าฉันมีวัฒนธรรมนะ ฉันมีภูมิปัญญา”

เพชรรัตน์กล่าวถึงชุมชนของเธอด้วยความภูมิใจ

huaydindum05
อากาศสะอาดเเละสิ่งเเวดล้อมที่ดี ทำให้พื้นที่นี้อุดมสมบูรณ์มาก สามารถปลูกผักต่างๆ เเละนำใช้มาประโยชน์ได้
huaydindum06
ผักสดจากไร่พี่น้องชาวโผล่วบ้านห้วยหินดำสู่จานอาหารชาวเมือง
huaydindum07
กระท่อมน้อยกลางป่าที่เป็นเสมือนร้านกาแฟของชาวโผล่วรุ่นใหม่

นกเอี้ยงจารุวรรณ เมืองแก่น เป็นเยาวชนอีกคนที่ตัดสินใจกลับคืนสู่บ้านเกิดหลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัย สิ่งหนึ่งที่เธอเริ่มต้นคือผลิตกาแฟสด “มาอยู่ดอย”

จารุวรรณนิยาม “มาอยู่ดอย” ว่าหมายถึงการกลับมาบ้าน กลับมารู้จักต้นกาแฟ

กาแฟที่ไร่ของเธอปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ ปล่อยให้โตตามธรรมชาติ ไม่ใช้ปุ๋ยหรือสารเคมี และจะคัดเมล็ดอย่างละเอียด โดยเริ่มจากเก็บเมล็ดกาแฟสุกสีแดงสีแดงที่สุกนำมาลอยน้ำ เพื่อคัดเก็บเฉพาะเมล็ดที่จม  และทิ้งเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งลอยน้ำ

“กาแฟของเราไม่เหมือนกาแฟทั่วไปที่ผสมเสร็จแล้ว เราเป็นกาแฟของพี่น้องโผล่ว”

เมล็ดกาแฟสมบูรณ์ที่ผ่านการคัดเลือกจะนำมาผ่านกรรมวิธี “dry process” คือตากทั้งเมล็ด กะเทาะเปลือก แล้วนำมาคั่ว

กลิ่นกาแฟที่เพิ่งคั่วเสร็จใหม่ๆ ลอยมา ขณะที่จารุวรรณกำลังฝัดเมล็ดกาแฟให้เศษผงส่วนเกินปลิวออกจากกระจาด ก่อนจะนำเมล็ดไปบด เพื่อดริปต่อไป

การมีอยู่ของไร่กาแฟ “มาอยู่ดอย” นอกจากจะเป็นรายได้เสริมของจารุวรรณแล้ว การดริปกาแฟที่แสนเรียบง่ายยังเชื่อมความสัมพันธ์ของผู้คน เมื่อคนในชุมชนเริ่มนำเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วมาบด ดริป และดื่มด้วยกัน เกิดเป็นวงสนทนาที่เปิดโอกาสให้ได้พูดคุยกันมากขึ้น

huaydindum08
เมล็ดกาแฟพันธุ์อราบิกาจาก “มาอยู่ดอย” ที่ตั้งใจคั่วทุกเมล็ด เพื่อให้ได้รสชาติบ้านเกิด
huaydindum09
กาแฟดริปร้อนๆ จากเมล็ดที่เพิ่งคั่วเสร็จ
huaydindum10
รอยยิ้มแห่งความสุขของนกเอี้ยงและพ่อวันดีชาวกะเหรี่ยงโผล่ว ที่มีวิถีชีวิตอยู่ร่วมกับผืนป่าอย่างลงตัว

เมื่อให้มองภาพอนาคตของเธอและกาแฟมาอยู่ดอยเป็นอย่างไร จารุวรรณตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแววตาจริงจังว่า เธอไม่ได้คาดหวังว่ากาแฟจะให้เงินมากเท่าไหร่

“ทุกครั้งที่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับกาแฟเราไม่เคยเบื่อเลย อยู่กับมันได้ทั้งวัน มันคือความสุขหลักของเรา”

สิ่งที่จารุวรรณอยากจะสื่อสาร คือเธอต้องการให้ “มาอยู่ดอย” เป็นแบรนด์กาแฟของคนกะเหรี่ยง

“ถ้ากาแฟอยู่ที่ไหน ก็จะเป็นคนที่นั่น กาแฟปลูกที่นี่ ก็เป็นคนกะเหรี่ยงแบบคนที่นี่”

ทั้งเพชรรัตน์และจารุวรรณต่างเป็นปัญญาชนคนรุ่นใหม่ของชุมชนห้วยหินดำที่เลือกเส้นทางใช้ชีวิตได้หลากหลาย แต่พวกเธอเลือกหวนคืนถิ่นมาพัฒนาบ้านเกิด หยิบสิ่งที่มีอยู่เดิมอย่างการทำการเกษตรปลอดสารและการใช้ทรัพยากรในชุมชนให้เกิดประโยชน์ มาต่อยอดเพื่อเพิ่มคุณค่า โดยนำประสบการณ์และความรู้จากโลกภายนอกมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของชุมชนและความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย

ดัง “ธา” (ภาษิต) ของชาวโผล่วกล่าวไว้ว่า

“ความทันสมัย ตามให้ทัน แต่อย่าลืมข้างหลังที่เรามี”