เรื่องและภาพ : ทีมม่านบูรพา/ณัฐยา อุบลพันธ์ และ ศศิรา มหานิยม
“แม่นิด” สาวชลบุรีในวัยเพิ่งเกษียณมาหมาด ๆ จากตำแหน่งแม่บ้าน ลูกจ้างของสำนักงานกรมทางหลวง และตัวฉันผู้เป็นลูกสาว ที่อายุเพิ่งก้าวเข้าสู่เลขสามนำหน้าได้เพียงหนึ่งปี
เราทั้งคู่มีความแตกต่างทั้งอุปนิสัยและช่องว่างระหว่างวัย ที่ไม่อาจทำให้หัวใจของเรานั้นห่างกัน
แม่นิดเป็นคนร่าเริง ยิ้มเก่ง เข้ากับคนอื่น ๆ ได้ง่ายและคุยสนุก ในขณะที่ฉันเป็นคนเงียบ ๆ ชอบอยู่คนเดียวและค่อนข้างประหม่าเมื่อต้องพบปะผู้คน แม่นิดเคยตั้งฉายาให้กับฉันเอาไว้ว่า “เสือยิ้มยาก”
แต่นั่นไม่ใช่เพราะฉันไม่ชอบยิ้ม แต่เพราะเวลายิ้ม ฉันไม่ค่อยมีความมั่นใจต่างหาก
เราทั้งคู่ดูแตกต่างกันมาก หากมองผิวเผินอาจจะดูเข้ากันไม่ได้แต่นั่นกลับกลายเป็นการเติมเต็ม ฉันรู้สึกมีความสุขดีเวลาที่ได้เป็นนักฟังและตั้งใจฟังในสิ่งที่แม่พูด
หลักการใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างเราสองคนแม่ลูก คือการรับฟังและการไม่ปิดบังความจริง ไม่ว่าจะมีเรื่องราวอะไรต่าง ๆ เกิดขึ้น ต่างฝ่ายต่างบอกเล่าและต่างรับรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายหนึ่งเสมอ
การเปิดใจรับฟังของแม่เกี่ยวกับทุกปัญหาของฉัน ทำให้ฉันสามารถใช้ชีวิตได้อย่างรู้สึกสบายใจและปลอดภัยที่สุด
คุณแม่หัวใจวัยรุ่น
ต้องยอมรับว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ช่วงวัยของเราทั้งคู่แคบลง คือการที่แม่นิดปรับตัวให้ทันตามยุคสมัยอยู่เสมอ แม่ใช้โทรศัพท์มือถือและแอปพลิเคชันสำหรับการสื่อสารในโลกโซเชียลได้อย่างคล่องแคล่ว บางครั้งก็เก่งกว่าฉันเสียด้วยซ้ำ
การยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและยุคสมัยที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไป ทำให้แม่อยู่ร่วมกับคนทุกวัยได้อย่างสบาย อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้แม่นิดยังดูอ่อนเยาว์กว่าวัยก็คือการแต่งตัว แม่บอกอยู่เสมอว่า การรู้จักแต่งตัวให้ดูดีและเหมาะสมจะทำให้เราดูไม่แก่ และถึงแม้ว่าอายุของเราจะมากขึ้นแค่ไหนก็ตาม เราก็มีสิทธิที่จะแต่งหน้า แต่งตัวและทำให้ตัวเองดูดีได้เสมอ
ครั้งหนึ่งในช่วงวัยที่ทำให้ไม่เข้าใจกัน
เราทุกคนต่างเคยผ่านช่วงชีวิตของการเป็นวัยรุ่น ฉันก็เป็นเช่นนั้น วัยรุ่นในความทรงจำของฉัน คือการที่ครอบครัวไม่สมบูรณ์แบบอีกต่อไป ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต แม่นิดกลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูและส่งให้ฉันได้เรียนเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ แต่เมื่อแม่ต้องทำงานมากขึ้นทั้งงานประจำและรับจ้างซักรีดเสื้อผ้าหลังเวลาเลิกงาน นั่นทำให้เวลาที่เราสองคนเคยมีให้กันค่อย ๆ ลดเลือนลงไป
การพูดคุยระหว่างเราน้อยลงเรื่อยๆ ความไม่รู้และความไม่เข้าใจของฉันถูกสะสมเข้ามาถมทับแทนที่ ฉันรู้สึกน้อยใจและคิดไปเองคนเดียวว่าแม่ปล่อยปละละเลย โดยที่มองข้ามในสิ่งที่แม่พยายามทุ่มเทให้ทุกอย่าง ฉันระบายความรู้สึกลงในไดอารี่ส่วนตัว บรรจงเขียนมันลงไปพร้อมกับน้ำตาที่กลั่นออกมาจากความน้อยอกน้อยใจ
วันหนึ่งแม่บังเอิญเข้าไปเห็นและได้เปิดอ่าน ฉันที่ผ่านเข้าไปเห็นพอดีนั้นก็มีความรู้สึกผิดผุดขึ้นมาในหัวใจ ฉันทำให้แม่ร้องไห้ น้ำตาของแม่ที่กลั้นเก็บเอาไว้ไม่เคยร้องไห้เสียใจให้กับเรื่องไหน แต่ต้องมาเสียใจกับเรื่องของฉัน ครั้งนั้นจึงเป็นครั้งที่เราสองคนคุยกันอย่างเปิดใจ
แม่อธิบายเหตุผลในมุมของแม่ ฉันอธิบายความรู้สึกในมุมของฉัน
เราสองคนต่างตกลงกันคนละครึ่งทาง ที่จะทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขต่อไป
คำสัญญาคำหนึ่งที่ฉันพูดกับแม่ออกไปในครั้งนั้น
“ฉันจะไม่มีวันทำให้แม่ร้องไห้เสียใจเพราะเรื่องของฉันอีกเป็นอันขาด” และมันก็ส่งผลมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อมีเหตุต้องห่างไกล
เมื่อก้าวสู่ช่วงวัยที่ต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ฉันมีเหตุจำเป็นที่จะต้องไปเรียนไกลถึงต่างจังหวัด ต่างภูมิภาค ระยะทางกว่าเจ็ดร้อยกิโลเมตรที่เราต้องอยู่ห่างไกลกัน ทำให้ฉันรู้สึกเหงาและคิดถึง แต่ก็คงไม่เท่าที่แม่รู้สึก
ฉันยังจำได้ดีในวันที่ประกาศผลสอบติดนั้น ฉันร้องไห้ด้วยความดีใจที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ วิ่งโผเข้ากอดแม่เอาไว้แน่น ในขณะเดียวกันนั้นแม่กลับร้องไห้ เพราะแม่รู้ดีว่าเราทั้งคู่ต้องแยกกันอยู่ด้วยระยะทางที่แสนจะห่างไกล นั่นเป็นอีกครั้งที่ฉันเผลอทำให้แม่เสียใจโดยไม่ทันได้คิด และทำให้ฉันรู้สึกผิดมาจนถึงตอนนี้
แต่ความห่างไกลของระยะทางไม่ได้ทำให้ระยะใจของเราห่างกันไปด้วย การติดต่อสื่อสารกันทุกวันเป็นสิ่งที่ทำให้เราใกล้กันไม่ต่างจากเดิม การบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้แม่รับรู้เป็นการยืนยันว่าฉันสามารถดูแลและช่วยเหลือตัวเองได้ เช่นเดียวกันกับการบอกเล่าของแม่ที่ทำให้ฉันรับรู้และสบายใจได้ว่าแม่สุขสบายดี
คุณแม่ผู้ยอมรับในตัวลูกที่เป็น LGBTQ+
“ไม่ว่าลูกจะเป็นอะไร ยังไงลูกก็คือลูกของแม่“
คำพูดที่เคยได้ยินมามากมายจากปากของคนอื่น พอได้ยินจากปากของแม่ตัวเองนั้น มันกลับทำให้หัวใจของฉันพองโต คำพูดแสนคลาสสิกของทุกบ้านที่ยอมรับในตัวลูกเหล่า LGBT แต่กลับกลายเป็นคำที่พิเศษที่สุดสำหรับฉันในตอนนี้
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบอกกับแม่ออกไปว่าตัวตนของเราเป็นอย่างไร แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินไปที่จะทำให้แม่ยอมรับในตัวเรา
วิธีของฉันถึงแม้จะไม่ได้พูดกับแม่โดยตรง แต่ฉันเลือกที่จะกระทำและให้แม่รับรู้ด้วยสายตาของแม่เอง ว่าคู่ชีวิตที่ฉันเลือกนั้น เราทั้งคู่มีความสุขร่วมกันและสามารถดูแลกันและกันได้แม้ในเวลายากลำบาก ถึงแม้ว่าพวกเราจะเป็น LGBT ก็ตามและถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพบางอย่างในสังคม
“ความสุขที่แม่อยากเห็นมากที่สุด คือการที่ลูกประสบความสำเร็จในเรื่องของการมีครอบครัวที่อบอุ่น“ นั่นเป็นความสุขที่แม่หวังเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ว่าคู่ชีวิตของลูกจะเป็นใคร ถ้าลูกมีความสุข แม่ก็มีความสุข
ความสุขเล็ก ๆ
ตั้งแต่เด็กจนโต ในทุก ๆ วันเกิดของฉัน แม่ไม่เคยลืมที่จะมอบเค้กให้เป็นของขวัญ เพื่อให้ฉันได้อธิษฐานและเป่าเทียน แม่ทำให้บรรยากาศงานวันเกิดในทุกปีเป็นวันที่มีความสุขและสมบูรณ์แบบถึงแม้จะมีเพียงแค่เราสองคนก็ตาม
ในวันเกิดของแม่ก็เช่นเดียวกัน ฉันมักจะมีของเล็ก ๆ น้อย ๆ เตรียมไว้คอยเซอร์ไพรส์แม่ ไม่ว่าจะเป็นเค้ก ของขวัญ หรือการ์ดที่ฉันชอบทำขึ้นมาเอง
ครั้งหนึ่งฉันกลับมาหาแม่ที่ชลบุรี เรานัดพบกันที่ห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นจุดนัดพบของเราในทุกครั้งที่ฉันกลับบ้าน เพราะแม่จะมารอรับฉันที่นี่ ฉันถือเค้กเอาไว้ในมือพร้อมกับเทียนที่เขียนว่า Happy Birthday
เมื่อฉันเห็นแม่กำลังเดินมา ฉันจึงไปซ่อนตัวอยู่หลังเสาก่อนจะจุดเทียนให้มีแสงสว่างไสว และคอยสังเกต เมื่อแม่เดินเข้ามาใกล้ฉันจึงโผล่หน้าออกไปพร้อมกับร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดเพื่อเป็นการเซอร์ไพรส์
ภาพที่แม่หลับตาลงอธิษฐานก่อนจะลืมตาขึ้นมาเป่าเทียนนั้น เป็นภาพที่ทำให้ฉันมีความสุข รอยยิ้มของแม่ที่มอบกลับมาให้ฉัน เสียงหัวเราะแห่งความสุขในการได้ฉลองวันเกิดร่วมกัน ทำให้ฉันรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่เคยถอยห่างกันไปไกล
การที่แม่ยังมีแรงเป่าเทียนวันเกิดอยู่นั้น ทำให้ฉันรับรู้ว่า ต่อให้แม่อายุมากขึ้นทุกปีแต่แม่ก็ยังมีสุขภาพที่แข็งแรงและสามารถอยู่ฉลองวันเกิดกับฉันไปด้วยกันได้อีกนาน
อุปสรรคของคำว่า “แม่“
“สำหรับแม่ คำว่าอุปสรรคคือพลังและแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ที่แม่ต้องผ่านพ้นไปให้ได้ ไม่ว่าแม่จะต้องเหนื่อยและท้อแค่ไหน แต่ทุกอย่างนั้นก็เพื่อความสุขและความสำเร็จของลูก”
ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน ตอนที่ฉันกำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่สามของคณะพยาบาลศาสตร์ ทางคณะจัดพิธีรับหมวกขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นพิธีสำคัญที่แสดงถึงการเข้าสู่การเป็นนักศึกษาพยาบาลโดยสมบูรณ์ จัดเป็นงานที่มีทั้งผู้ปกครอง ญาติ และเพื่อน ๆ ของนักศึกษามาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างล้นหลาม
แม่นิดเองก็มาร่วมแสดงความยินดีกับฉันเช่นกัน แม่โดยสารรถทัวร์ทางไกลจากชลบุรีในตอนกลางคืนเพื่อให้มาถึงเชียงใหม่ในตอนเช้า ต่อด้วยการนั่งรถสี่ล้อแดงมายังคณะพยาบาลที่ฉันกำลังรออยู่ แม่ก้าวลงรถมาพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าหนึ่งใบ เมื่อเราเจอหน้ากันเราต่างโผเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง
เมื่อถึงเวลาที่ฉันจะต้องไปเตรียมตัวเข้าร่วมพิธี แม่พูดกับฉันว่า
“แม่จะรอดูหนูอยู่ตรงนี้นะ”
แม่ส่งยิ้มให้ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับผู้ปกครอง และรอชมถ่ายทอดสดของพิธีการผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์
หลังเสร็จสิ้นพิธีการ ฉันเดินออกมาหาแม่ที่รออยู่ด้านนอกของหอประชุม แม่ส่งมอบช่อดอกไม้ที่ประดับด้วยตุ๊กตาสวมชุดพยาบาลให้กับฉันเพื่อเป็นของขวัญ ก่อนจะกล่าวกับฉันด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เก่งมากลูกสาวแม่ แต่แม่ต้องนั่งรถกลับวันนี้เลย ไม่ได้นอนค้างกับหนูนะ”
“ทำไมล่ะแม่ ไหนบอกว่าจะนอนค้างด้วยกันหนึ่งคืน” ฉันถามกลับด้วยความสงสัยเนื่องจากคำพูดของแม่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เราตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้
“ยายเสียแล้วนะ น้าโทรมาบอกแม่เมื่อคืน ตอนที่แม่นั่งรถมา” รอยยิ้มของแม่ถูกแทนที่ด้วยดวงตาเศร้าเคล้าไปด้วยน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น ฉันกอดแม่เอาไว้แน่นและกลั้นน้ำตาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อแสดงเป็นคนที่เข้มแข็งในวันที่แม่นั้นอ่อนแอ
แม่ต้องแบกรับเรื่องราวความทุกข์และความเสียใจเอาไว้ตลอดการเดินทางโดยลำพัง แต่แม่เลือกที่จะไม่บอกให้ฉันรู้ก่อนเพราะไม่อยากให้ฉันกังวลในระหว่างพิธีการ เพราะวันนี้ควรเป็นวันที่น่ายินดีและมีความสุขสำหรับชีวิตนักศึกษาพยาบาลของฉัน และแม่เลือกที่จะไม่ลงจากรถทัวร์กลางคันเพื่อเดินทางกลับในทันที นั่นเพราะแม่รู้ดีว่าแม่เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมาร่วมยินดีกับอีกหนึ่งความสำเร็จของฉันในวันนี้ได้
“ไม่ต้องเป็นห่วงแม่นะ แม่กลับคนเดียวได้ หนูทำหน้าที่ของหนูให้ดีที่สุดก็พอ” แม่พูดกับฉันก่อนจะขึ้นรถทัวร์กลับในทันที แม่ปฏิเสธที่จะขึ้นเครื่องบินเพื่อไปถึงได้เร็วกว่าเนื่องจากความกลัวที่ไม่เคยขึ้นมาก่อนและงบประมาณที่มีเหลืออยู่นั้นค่อนข้างจำกัด
แม่นิดบอกกับฉันในภายหลังว่า “วันนั้นเป็นวันที่แม่ทั้งดีใจและเสียใจมากที่สุดในเวลาเดียวกัน” เมื่อเราพูดถึงเหตุการณ์นี้ขึ้นมาทีไร เราต่างก็พากันน้ำตารินไหลเสียทุกที
นั่นคงเป็นเหตุการณ์ที่ยากและลำบากใจที่สุดในชีวิตของแม่ เพราะแม่ต้องทำหน้าที่ในการเป็นทั้งแม่และลูกให้ดีที่สุด เท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้
ถึงแม้ฉันไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของการเป็นแม่คน ไม่เคยได้รับรู้ว่าความรักที่ไร้ข้อแม้และเหตุผลใด ๆ ที่เราสามารถมอบให้คน ๆ หนึ่งได้นั้นเป็นเช่นไร แต่ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ที่แม่มอบให้ฉัน ในมุมของลูกคนหนึ่งนั้นแม่เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งที่สุด น้อยครั้งที่ฉันจะได้เห็นน้ำตาของแม่ แม่แทบไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็น ไม่ว่าจะเจอเรื่องราวเลวร้ายมากมายขนาดไหนก็ตาม สิ่งที่แม่คอยมอบให้ผู้อื่นเสมอก็คือรอยยิ้มและความจริงใจ
สิ่งที่เราทั้งสองต่างอยากบอกกันและกัน
“ดวงใจของแม่ แม่คนนี้รักลูกเสมอ คำว่าแม่นั้นไม่มีวันไหนเลยที่จะไม่รักลูก สำหรับแม่แล้ว แม่สามารถเป็นทุกอย่างให้ลูกได้เสมอเพราะลูกคือดวงใจของแม่”
ฉันน้ำตารื้นทันทีที่ได้ยิน
ส่วนความในใจของฉันที่อยากจะบอกกับแม่นั้นคือ อยากขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่มอบให้ และขอโทษที่เคยทำให้แม่เสียใจไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
ฉันหวังว่าเราทั้งคู่จะก้าวไปสู่วันข้างหน้าด้วยกันอย่างมีความสุขในแบบที่เราเป็น ค่อย ๆ เรียนรู้ช่วงวัยของชีวิตไปพร้อม ๆ กัน ฉันอยากเห็นแม่นิดก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุด้วยสุขภาพที่ยังแข็งแรงและไร้ความเจ็บป่วย
ส่วนฉันจะเรียนรู้ชีวิตการเป็นวัยผู้ใหญ่โดยเดินตามตัวอย่างที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน ก็คือแม่นั่นเอง
สุดท้ายแล้วในอนาคตเราต่างไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะมีสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน แต่ฉันเชื่อว่าเราทั้งคู่จะสามารถผ่านพ้นทุกอย่างไปได้ด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นช่วงวัยของชีวิตที่ต้องเผชิญทั้ง ๆ ที่เราทั้งคู่ก็ไม่เคยได้พบเจอมาก่อน ตัวฉันเองก็ไม่เคยผ่านพ้นช่วงวัยของการเป็นผู้ใหญ่ ในขณะเดียวกันแม่ก็ไม่เคยสัมผัสการเป็นวัยหลังเกษียณ
เราต่างต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน ให้กำลังใจกันและกันในการก้าวไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่แทบทุกวันและทุกเวลาของโลกใบนี้
…
กิจกรรมดีๆ ของ “ค่ายนักเล่าความสุข” ปี 3 ร่วมสร้างสรรค์เรื่องเล่าความสุข และสังคมที่มีความสุข
- มูลนิธิเล็กประไพวิริยะพันธุ์
- นิตยสารสารคดี
- เพจความสุขประเทศไทย
- สสส.