เรื่อง : วรรณิดา มหากาฬ
ภาพ : pxwxriz และ Jiraphat vinagupta


“ณ วันนี้ ประเด็นความหลากหลายทางเพศยังอยู่ ไม่ได้ทิ้งเราไปไหน ปิตาธิปไตยก็ยังอยู่ การจะพูดว่าโลกนี้มีสมรสเท่าเทียมแล้ว ไม่ได้หมายความว่าการต่อสู้ของคนในความหลากหลายทางเพศจบลงแล้ว…”
นั่นคือหนึ่งคำตอบในบทสนทนากับ มิสโอ๊ต ปฏิพล อัศวมหาพงษ์
ในวงการศิลปะการละคร “มิสโอ๊ต” เป็นที่รู้จักด้วยความสามารถหลากหลายด้าน ทั้งผู้กำกับเวทีหลายโปรดักชัน นักเขียนบทภาพยนตร์ซีรีส์หลายเรื่อง รวมทั้งนักแสดงที่นำเส้นทางชีวิตของตัวเองเป็นเครื่องมือส่งเสียงแทนทรานส์ที่กำลังเผชิญหน้ากับความรุนแรงทั้งทางกายและจิตใจ
ช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้พูดคุยกับเธอในฐานะผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ H0M0HAUS เทศกาลศิลปะการแสดงเพื่อความหลากหลายถึงการทำงานศิลปะการแสดงกับประเด็นที่แม้สังคมไทยจะเริ่มเปิดรับมากขึ้น แต่ยังเต็มไปด้วยคำถาม ทัศนคติ และความท้าทาย
บทความนี้จึงอยากชวนมองเบื้องหน้า แลเบื้องหลัง และค้นเบื้องลึกของ H0M0HAUS ในมุมมองเควียร์เธียเตอร์ การตั้งคำถามถึงอำนาจนิยมและการนำศิลปะการแสดงเป็นเครื่องมือสื่อสารและต่อสู้ในรูปแบบของเธอ


จุดเริ่มต้นจากคำถามและความสนใจ
H0M0HAUS มีชื่อภาษาไทยว่าเทศกาลศิลปะการแสดงเพื่อความหลากหลาย
เป็นคำถามของเราที่ทำงานประเด็นเควียร์ในฝั่งศิลปะการละครมาสักพักว่าจะมีศิลปินรุ่นใหม่หลังจากเราอีกไหมที่สนใจประเด็นนี้ จนกระทั่งปี 2022 (พ.ศ. 2565) เราทำโปรเจกต์นำศิลปินรุ่นใหม่ดูงานในเทศกาลละครกรุงเทพและได้พบกับแรปเตอร์ (สิรภพ อัตโตหิ) ที่จบด้านละครเวทีและเป็นนักกิจกรรมเคลื่อนไหวด้านเควียร์ทำให้ค้นพบว่ายังมีคนที่ทำงานประเด็นนี้อยู่
เราสนใจอีกว่าจะมีแพลตฟอร์มไหนบ้างที่สนับสนุนคนที่สนใจทำงานและมีพื้นที่ปลอดภัยมากพอสำหรับทำงานแสดงที่มีเนื้อหาแบบนี้โดยไม่โดนใครตัดสิน เลยเป็นจุดเริ่มต้นหลักๆที่ทำให้เราทำ H0M0HAUS ขึ้นมา ซึ่งมีศิลปินเควียร์ 3 คน คือ AMADIVA (ปัถวี เทพไกรวัล) แรปเตอร์ (สิรภพ อัตโตหิ) และเราเป็นไดเรกเตอร์ และมี แม็ค (ธงชัย พิมาพันธุ์ศรี) เป็นโปรดิวเซอร์ประจำเทศกาล














การเลือกสรรที่มองลึกไปกว่าผลงาน
ต้องยอมรับว่านี่คือเทศกาลละครเลยจำเป็นต้องมีการแสดงหลัก โปรแกรมของเทศกาลจะมีด้วยกันสี่โปรแกรมใหญ่ คือการแสดง การสร้างบทสนทนาผ่านวงเสวนา โปรแกรมการศึกษา แล้วก็โซเชียลคลับ
แต่ละโปรแกรมมีเป้าหมายอย่างชัดเจน เช่น การแสดงจำเป็นต้องทำงานกับศิลปินที่นอกจากนิยามว่าตัวเองเป็นคนในความหลากหลายแล้ว วิธีการที่มีต่อการสร้างงาน ต่อบรรทัดฐานดั้งเดิมจำเป็นต้องเป็นแนวคิดที่เราสมาทาน และเนื่องด้วยเราเป็นแรดิคัลเควียร์ เราสนใจและสมาทานประชาธิปไตย เราจึงไม่เลือกสรรศิลปินที่เข้าข่ายสนับสนุนอำนาจนิยมทุกรูปแบบ งานส่วนใหญ่จึงมีวิธีคิดที่ค่อนข้างไม่ตรงตามขนบเสียเท่าไหร่
ในขณะเดียวกัน เพราะเราสนใจว่าในอีกแง่หนึ่งศิลปะการละครเป็นเครื่องมือของการเคลื่อนไหวทางสังคม เราจึงสนใจการสร้างบทสนทนาที่เกิดจากการที่นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวและศิลปินคุยกัน เพราะเป็นนักคิดสามแขนงที่ขับเคลื่อนวงการไปพร้อมกัน
โปรแกรมการศึกษาเราก็ทำการเชิญศิลปินหลากหลายแขนงมาเวิร์กช็อปโดยกลุ่มเป้าหมายคือศิลปินในคอมมูฯ ที่สนใจศิลปะ ให้ได้เรียนรู้ทดลองมาใช้ในสื่อของตัวเอง และโซเชียลคลับ โปรแกรมที่ออกแบบพื้นที่สังคมเพื่อให้คนในคอมมูฯ ที่ไม่ใช่ศิลปิน เช่น คนดู มารวมตัวกัน เพราะสี่ห้าปีหลังของการทำละครเราพบว่าสิ่งที่จะทำให้คอมมูฯ แข็งแรงคือการที่เราเจอคนดูของเรา และเราเชื่อว่าคนดูของเราที่สำคัญที่สุดคือคนดูที่เป็นคนคอมมูฯ เดียวกัน การทำโซเชียลคลับจะทำให้ศิลปินโดยเฉพาะศิลปินรุ่นใหม่เจอคนดูของตัวเอง สร้างคอนเนคชันให้คนดู เพื่อความเข้มแข็งและเราจะได้มีหลักการในการต่อสู้กับทุนนิยม










ผลงาน H0M0HAUS กับคนในความหลากหลาย
งานชิ้นแรกชื่อ “in the minor of everything” เป็นคอนเสิร์ตสารคดีที่พาไปสำรวจนักร้องเควียร์หญิงสองคนคือ คุณซิลวี่ ภาวิดา มอริจจิ กับคุณมามิโอะ หรือมะเหมี่ยว สุทธิภัทร สุทธิวาณิช
งานกำลังสำรวจว่าตั้งแต่ที่พวกเขาออกมาบอกว่าเป็นเควียร์ แนวของเพลงเปลี่ยนไป ทุกๆเพลงมีความหมายอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ และมีชีวิตพวกเขาอยู่ในเพลง โดยวิธีการสร้างงานคือทำเป็นคอนเสิร์ตที่มีเรื่องราวภายใต้คอนเสิร์ตเยอะมาก คนที่ตั้งใจไปดูคอนเสิร์ตก็จะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่คอนเสิร์ต ขณะเดียวกันคนที่ตั้งใจไปดูละครก็จะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ละคร มีความกึ่งกลางตลอดเวลา
งานที่สองชื่อ Vessel เป็นงานของพี่ปูเป้ ศศพินทุ์ ศิริวาณิชย์ เล่นเป็นครั้งที่สอง
ครั้งแรกพี่ปูเป้เปิดออดิชันให้คนที่นิยามว่าเป็นผู้หญิงมาเวิร์กช็อปร่วมกันและสร้างงานที่โอบอุ้มความเป็นหญิง หาการเคลื่อนไหวที่มาจากความเป็นหญิง ตอนเป็นผู้ชมเราสนใจเพราะเราตั้งคำถามกับการนิยามความเป็นหญิง แต่เราชอบมากจึงชวนพี่ปูเป้อีกครั้งโดยมีโจทย์ว่านำกลับมาทำงานร่วมกับเจนเดอร์ที่มาจากซิสเจนเดอร์ คือลองค้นหาความเป็นหญิงในขอบเขตอื่นๆ พยามยามหาว่าในกลุ่มที่กว้างขึ้น ในสเปกตรัมที่หลากหลายขึ้น จะสำรวจความเป็นหญิงและหาการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับความเป็นหญิงของตัวเองได้อย่างไร
ส่วนงานที่สามชื่อว่า Vase of Possibilities ที่ทำงานร่วมกับ SAC Gallery
SAC Gallery มีศิลปินในสังกัดคือพี่บอล นรภัทร ศักดิ์อาธรทรัพย์ พี่บอลทำงานภาพถ่ายและจัดดอกไม้ เขาต้องการจะพูดถึงการเป็นเพศที่หลากหลายของเขาในงานโดยเปรียบดอกไม้ที่จัดอยู่บนแจกันเหมือนกับความหลากหลายทางเพศที่อยู่ในกรอบและสนใจการพูดถึงเควียร์ในเด็กรุ่นใหม่ งานชิ้นนี้จึงเป็นงานที่ศิลปินทำงานกับโรงเรียนชั้นปฐมศึกษาปีที่ 1 ที่เขาเรียนมา โดยไปสอนวิชาศิลปะหนึ่งวันต่อหนึ่งห้องแล้วนำผลงานที่เกิดขึ้นมาจัดแสดงในแกลอรี่ โดยมีหัวข้อในการวาดภาพระบายสีคือดอกไม้ในแจกันของฉัน ขณะเดียวกันศิลปินจะแกะภาพดอกไม้ในแจกัน 68 ชิ้นตั้งในนิทรรศการเดียวกัน
ในส่วนของ H0M0HAUSก็มองหาศิลปินระดับมัธยมอายุไม่เกิน 18 ปีสองคนมาร่วมจัดแสดงผลงานโดยใช้เครื่องมือทางการแสดงสร้างการแสดงภายใต้หัวข้อใกล้กัน ได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปะในพื้นที่ที่พูดถึงความฝัน เด็ก ความเยาว์วัย และอนาคตของตัวเอง







Vase of Possibilities
ศิลปะการละคร–กระบวนที่นำมาออกแบบเทศกาล
เราเป็นศิลปินละครเวที เราเชื่อในวิธีการที่การแสดงทำงาน เราเชื่อวิธีการสื่อสาร ดังนั้นวิธีคิดของเทศกาลหรือการแสดงเป็นวิธีคิดของคนทำละครมากๆ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวกิจกรรมและผู้เข้าร่วมเทศกาลมีลักษณะคล้ายคนดูละคร มีเรื่องเล่าบางอย่าง
แต่ละปีเทศกาลมีสิ่งที่จะพูดต่างกันในเส้นทางคล้ายกัน เพื่อให้เกิดการตั้งคำถามจากประสบการณ์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมในเทศกาล เราจึงมีวิธีการออกแบบให้เทศกาลอยู่ในฐานะที่เกิดการตั้งคำถามของคนดู เช่นกิจกรรมวงปิดที่ให้คนในวงการศิลปะมาแชร์เรื่องของปิตาธิปไตยที่ทำร้าย ทำให้เห็นว่าบทสนทนานี้ไม่เคยถูกพูดในวงสาธารณะเพราะไม่ถูกอนุญาตให้พูด
สิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการที่ถูกออกแบบ เกิดจากฟังชันก์ของการเป็นศิลปะการแสดง เราคิดว่าสิ่งนี้ทำงานเพราะเราเป็นศิลปินเธียเตอร์ ในขณะเดียวกันการแสดงที่เราเลือกแต่ละชิ้น วงเสวนาที่เราเลือกสัมพันธ์กันเพื่อจะนำไปสู่สิ่งใหญ่อะไรบางอย่างร่วมกัน
ศิลปะการละคร–ทำงานกับการเปลี่ยนแปลง
เราคิดว่าละครคือการที่ศิลปินนำทัศนะของตัวเองมาเป็นประเด็น นำเครื่องมือทางการแสดงมาวางในพื้นที่การแสดงเพื่อให้คนกลับไปสำรวจด้วยตัวของตัวเองและสร้างความสัมพันธ์ด้วยตัวเองกับงานชิ้นนั้นๆ
ก่อนจะคุยเรื่องนี้อาจต้องตั้งคำถามก่อนว่าอะไรคือการเปลี่ยนแปลง คำๆ นี้ไม่ได้มีนิยามชัดเจน และเราไม่เชื่อว่าละครทุกเรื่องต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับเดียวกัน เพราะสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยตัวเอง จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างสองคน ดังนั้นสำหรับเรา ละครที่ดีไม่ได้หมายความว่าสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับทุกคน อย่างเช่น “in the minor of everything” อาจจะมีระดับการสร้างการรับรู้ที่เบากว่างานชิ้นอื่นแต่ไม่ได้หมายความว่างานชิ้นนั้นจะดีหรือไม่ดีเพราะสำหรับเราตัวงานมีบริบทแวดล้อมของตัวเองอยู่เยอะ
คำถามคือต้องเปลี่ยนแปลงไหม อย่างไร สำหรับเราตอบไม่ได้ และจะไม่ตอบเพราะเรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงควรเกิดขึ้นที่คนดูด้วยไม่ใช่เพียงคนทำอย่างเดียว ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่อยากจะพูดถึงคือเราไม่เชื่อในคำที่ทุกคนพูดว่าละครสร้างการเปลี่ยนแปลงได้เพราะจุดยืนของเราคือละครสร้างการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วไม่มากก็น้อยแต่เราตั้งคำถามมากไปกว่านั้นคือเปลี่ยนแปลงอย่างไร
เทศกาลที่โอบรับทุกความหลากหลาย
คนที่เทศกาลมองหาคือคนที่เห็นด้วยว่าโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่สองเพศ ไม่ได้มีแค่ชายกับหญิง เราไม่ได้สำรวจว่าคนนิยามตนเองเป็นเพศอะไร แต่เราสนใจศึกษาและรวบรวมชุมชนของทุกคนที่เชื่อว่าบนโลกนี้มีความหลากหลายทางเพศอยู่
เราเชื่อในหลักการนี้ เราเห็นด้วยกับความเชื่อที่ว่าบนโลกนี้มีมากกว่าสองเพศแต่เราก็จะไม่ลืมคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นชายจริงหญิงแท้ตราบใดที่ชายจริงหญิงแท้เชื่อในหลักการทางเพศก็อยู่ในคอมมูฯ เราอยู่ดี
ดังนั้นคุณจะนิยามตัวเองว่าอะไรก็ได้หากคุณสนับสนุนแนวคิดนี้คุณคือกลุ่มเป้าหมายของเทศกาล




A Convergence
พื้นที่ของคนในความหลากหลาย
มีคนทำอยู่แล้วและมีคนทำอยู่ตลอด ไม่จำเป็นต้องมีเทศกาลก็ได้
เราคิดว่าศิลปินมีน้ำเสียงที่จะพูด มีเรื่องที่อยากเล่า มีนิยามที่อยากนิยาม แต่การมีแพลตฟอร์ม มีพื้นที่ให้รวมตัวกัน เป็นเครื่องมือสำคัญของคนในคอมมูฯ นี้ เพราะว่าถึงจุดหนึ่งระบบชายเป็นใหญ่พยายามจะกรอบให้คนในความหลากหลายอยู่ในพื้นที่ที่เขามอบให้ การที่มีคนในความหลากหลายสร้างพื้นที่ขึ้นมาเอง สร้างชุมชนเอง เป็นการประกาศ เป็นการต่อต้าน เป็นการเลือกพื้นที่ที่น่าจัดสรร
การมีอยู่ของเทศกาลอาจไม่ใช่การเปิดพื้นที่ ไม่ใช่การมอบโอกาส แต่เราคิดว่าสิ่งนี้เป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ของคนกลุ่มหนึ่ง เพื่อจะบอกว่าเรามารวมตัวกันได้ในช่วงเวลาหนึ่งและให้อำนาจรู้ว่าเรามีคนที่อยากจะพูดเรื่องนี้อยู่ในสังคม
เควียร์และเควียร์เธียเตอร์กับการสมาทานความไม่ปรกติ
เริ่มมาจากการที่คอมมูฯ พวกเราถูกเรียกว่าแปลกประหลาด ไม่ปรกติ เควียร์เลยใช้คำนี้เพื่อเยียวยาตัวเองว่าไม่ประหลาด วิธีคิดคือการรีเคลมคำที่เป็นคำด่าเพื่อให้เห็นสิ่งที่เป็นเนื้อแท้ของเรา จะเห็นว่าเรายึดถือสมาทานความไม่ปรกติเพราะเราเชื่อว่าความปรกติเป็นเครื่องมือของอำนาจ
เควียร์เธียเตอร์จึงจำเป็นต้องนำแนวคิดทั้งหมดของความไม่ปรกติมา ดังนั้นนอกจากการมองว่าใครอยู่บนเวทีแล้ว วิธีจัดการกับบรรทัดฐานในการสร้างงานศิลปะก็จำเป็นต้องตั้งคำถามกับความเป็นขนบและความเป็นปรกติของการทำละคร เราเชื่อว่าเควียร์เธียเตอร์เองจะมีแนวทางเล็กๆ ของการสร้างงานศิลปะที่พยายามตั้งคำถามกับบรรทัดฐานของการสร้างงาน
เควียร์ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว
ประเด็นเพศ ครอบครัว เศรษฐกิจ มีอยู่แล้ว เราเชื่อในปัจเจก เราเชื่อในเควียร์ที่มีอัตลักษณ์ทับซ้อน
ดังนั้นเราเชื่อว่าเควียร์ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวด้วยตัวเอง อัตลักษณ์ทับซ้อนกันอยู่ เราที่อยู่ในกรุงเทพฯ มีพริวิเลจของความเป็นคนกรุงเทพฯ แต่เป็นลูกคนจีนมีเชื้อชาติมาเกี่ยวข้อง มีสถานภาพทางเศรษฐกิจที่เรายึดถือ ความเป็นเราไม่ได้ประกอบด้วยการเป็นกะเทยอย่างเดียว เช่นกัน ถ้าจะต้องพูดเรื่องเควียร์จึงไม่มีทางเลยที่จะมีแค่กะเทย จะมีแค่เพศ จะมีแค่เจนเดอร์ แต่จะมีทุกอย่างอยู่ในนั้น เราคิดว่าเควียร์ในเทศกาลก็เช่นกัน ความเป็นเควียร์ไม่ได้มีแค่นิยามเดียว มีเป็นร้อยแน่นอน และสิ่งเหล่านี้มีพลวัตของตัวเองตั้งแต่แรก
ปัญหาที่ยังอยู่ควบคู่ไปกับเวลาที่เดินต่อ
ณ วันนี้ ประเด็นความหลากหลายทางเพศยังอยู่ ไม่ได้ทิ้งเราไปไหน ปิตาธิปไตยก็ยังอยู่ การจะพูดว่าโลกนี้มีสมรสเท่าเทียมแล้ว ไม่ได้หมายความว่าการต่อสู้ของคนในความหลากหลายทางเพศจบลงแล้ว คอมมูฯ ไม่หยุดอยู่นิ่ง เวลาเดินทางต่อ สิ่งที่ต้องพูดก็ต้องพูดต่อ แม้กระทั่งเควียร์ในวันนี้จำเป็นต้องถูกตั้งคำถามและวิพากษ์ เควียร์ในวันนี้ไม่ใช่เควียร์ในวันหน้า มีแนวคิดใหม่ๆ ที่พยายามจะวิพากษ์ตัวเองตลอดเวลา
ดังนั้น สำหรับเราคิดว่ามีความชอบธรรมมากพอที่เทศกาลนี้เกิด แม้กระทั่งว่าโลกใบนี้จะเท่าเทียมแล้วซึ่งเราไม่เชื่อแบบนั้นในวันนี้ วันนี้ยังไม่มีแน่ๆ และสังคมชายเป็นใหญ่ยังทำงานอย่างถึงรากถึงโคน การโต้กลับของคนเควียร์ก็จำเป็นที่จะต้องถึงรากถึงโคนกับเขา
กฎในเทศกาล–เมื่อการประนีประนอมอาจไม่ทำให้เกิดพื้นที่ปลอดภัย
การต่อสู้ในฐานะเควียร์จำเป็นต้องมีหลายระดับ ทั้งกิจกรรมที่ทำงานกับทุนเพื่อยื่นกฎหมายหรือมีการทำงานวิพากษ์ระบบชายเป็นใหญ่สุดลิ่มทิ่มประตูโดยไม่สนการถูกตั้งข้อกล่าวหา
ทุกคนมีวิธีการวิพากษ์ต่างกันแต่ในเทศกาลเราจำเป็นต้องมีหลักการหรือจุดยืนของเราชัดเจนว่าหลักการที่เรายึดถือเป็นขั้วตรงข้ามกับอะไร แล้วขั้วตรงข้ามกับความหลากหลายคือปิตาธิปไตย ดังนั้นเราไม่จำเป็นที่ต้องประนีประนอม เรารู้สึกว่าชายเป็นใหญ่มีอำนาจ มีพื้นที่มาพอแล้ว
สำหรับเราจึงยึดถือหลักการนี้ เทศกาลนี้ไม่ประนีประนอมต่อหลักคิดชายเป็นใหญ่แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ประนีประนอมต่อคอมมูฯ นะ ดังนั้นเทศกาลจะประนีประนอมกับคนในคอมมูแต่ไม่ประนีประนอมกับอำนาจ เลยนำมาสู่กฎในเทศกาลเพราะจำเป็นต้องสร้างความปลอดภัย
เราจะไม่ประนีประนอมต่อพฤติกรรมที่ขัดกับหลักการในกฎของคอมมูฯ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าสิ่งนี้กำลังสมาทานแนวคิดชายเป็นใหญ่อยู่ ดังนั้นเราจะไม่ต้อนรับคนเหล่านั้นเลยเพื่อสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยมากพอและเป็นเรื่องเล่าให้คนคิดด้วยว่าพฤติกรรมเหล่านี้หลายครั้งเกิดขึ้นในละครเวทีเยอะมากแต่คนหลงลืมว่าเราสมาทานอำนาจอะไรอยู่ เราทำสิ่งนี้เพื่อจะให้คนระลึกว่าหลักการนี้สำคัญ
สิ่งที่เราสมาทานขัดกับหลักการของทุนนิยม
การทำงานกับทุนเป็นฟังชันก์หนึ่งของการใช้ชีวิตในระบบทุนนิยม ด้วยคาแรคเตอร์เทศกาลแบบนี้เราไม่ได้รับการสนับสนุนเยอะ เราไม่ได้ทุนจากรัฐ ไม่ได้เงินจากองค์กรที่เป็นบริษัทเอกชนเท่าไหร่
ความเห็นของเราที่มีต่อสิ่งนี้นอกจากรู้ว่าจะทำงานกับทุนไหม ต้องรู้ว่าเราจะทำงานกับทุนอย่างไร มีกระบวนการในการตัดสินใจว่าตัวเราเองจะร่วมทุนกับเขาไหม เช่น ดูว่าเขามีประสบการณ์การขูดรีดแรงงานหรือเปล่า มีแคมเปญที่สนับสนุนความหลากหลายมากน้อยแค่ไหน และสัดส่วนของเขาที่กระทำการต่อชุมชนมีมากน้อยแค่ไหน
เนื่องด้วยค่าครองชีพในสังคมสูงแต่ค่าตอบแทนของวงการศิลปะการแสดงไม่ได้สูงกว่าอาชีพอื่นเลย พูดกันตามหลักการโง่ๆ ก่อนว่าต้องใช้เงินในการสร้างเทศกาล คำถามคือจะจัดการเงินอย่างไร หรือหาเงินมาจากไหน ส่วนใหญ่เราทำงานกับองค์กรภาคประชาสังคมที่เขามอบทุนอยู่แล้ว โดยที่เราต้องดูว่าในแวดวงเป็นอย่างไร
โดยพฤตินัยของ H0M0HAUS ไม่ค่อยได้เงินจากไทยแต่ได้จากต่างประเทศที่สนใจหรือไม่สนใจประเด็นบ้าง อย่างปีที่แล้วเราได้เงินจากสถาบันเกอเธ่เพราะเราไปเป็นศิลปินในพำนักที่เยอรมันเราเลยได้เงินจำนวนหนึ่งและพื้นที่เพื่อสร้างเทศกาลในปีนี้
ยืนหยัดและขยายตัวคือหมุดหมายในการทำเทศกาล
เทศกาลก็คงยืนหยัดทำต่อไป
เป็นเทศกาลที่ปรับรูปแบบไปตามสภาพการณ์ที่เราคิดและอยู่รอดในสังคมนี้ แต่ยังยืนยันที่จะเป็นเทศกาลที่แรดิคัลในแบบฉบับของเรา วิธีคิดคือเรายังอยากสร้างชุมชนศิลปินไทย ยังเชื่อและจะทำสิ่งนั้นไปเรื่อยๆ ในจุดหนึ่งเมื่อคอมมูฯ ยั่งยืน เราก็จะพาคนดูในเทศกาลตั้งคำถามกับวิธีคิดของเควียร์ในมิติอื่นๆ เยอะขึ้น
อีกอย่างหนึ่งคือเราสนใจในฐานะพริวิเลจของการเป็นคนกรุงเทพฯ ของการมีโอกาสที่มากกว่า ทั้งโอกาสทางคนดู โอกาสทางความพร้อมอะไรบางอย่าง เราจึงคิดจะไปจัดตั้งเทศกาลในจังหวัดต่างๆ แต่ ณ วันนี้ด้วยความสามารถทางทุนทรัพย์ที่เรามีไม่สามารถจะเชื่อมโยงคนต่างจังหวัดหรือออกนอกกรุงเทพฯ ได้โดยที่เขาไม่ต้องเสียอะไร ความตั้งใจคืออยากให้เครือข่ายเกิดขึ้นโดยที่พวกเขาไม่ต้องเสียผลประโยชน์ เราอยากมีทรัพยากรที่แชร์ร่วมกันระหว่างคนใน H0M0HAUS และคนที่ทำงานประเด็นนี้แต่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วไทย เป็นการแบ่งปันอะไรบางอย่างร่วมกัน เราคิดว่า H0M0HAUS จะขยับขยายตัวเองต่อไปในจุดนี้
เริ่มจากเชื่อในหลักการที่โลกใบนี้มีมากกว่าสองเพศ
เราคิดว่าสิ่งนี้ยาก น้อยมากที่คนจะเข้าใจวิธีคิดของเควียร์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
วิธีการที่เราทำอยู่ เราคิดว่าจุดยืนของตัวเอง โดยส่วนตัวแล้วเราเป็นคนเรียกร้องอย่างไม่ประนีประนอมทั้งวิธีการและคำพูด แต่เราเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นของเราคนเดียว
สำหรับเทศกาลความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างคนนอกคอมมูฯ และคนในคอมมูฯ เป็นจุดเริ่มต้น ดังนั้น อย่างแรกเลยคือเชื่อในหลักการที่โลกนี้มีมากกว่าสองเพศไปก่อนและความหลากหลายเป็นสิ่งที่คงอยู่ พอสิ่งนี้เกิดทุกอย่างจะตามมา จะเกิดการถกเถียงในประเด็นเหล่านี้
ความหลากหลายมีหลักการเยอะ คนในเควียร์ไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องต้องกัน แต่สิ่งหนึ่งที่คนในคอมมูฯ ควรจะเห็นพ้องต้องกันคือปิตาธิปไตยเป็นอำนาจ ดังนั้นอำนาจนี้ควรต้องถูกตั้งคำถาม เช่นกัน วันใดวันหนึ่ง H0M0HAUS มีอำนาจก็ควรถูกตั้งคำถาม
เราเชื่อในหลักการนี้ ดังนั้น สิ่งที่เราคาดหวังง่ายมากคือทุกคนสามารถตั้งคำถามกับสิ่งที่สงสัยรอบตัวได้และง่ายมากที่เราจะได้คำตอบที่เราพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม เราอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในเทศกาล นี่คือสิ่งที่เราตามหา
—
ขอขอบคุณ : COZOMIA Performing Arts Archive ในการสนับสนุนการค้นคว้าข้อมูล