ชาวกทม. ผู้สร้างภาวะโลกร้อน อันดับต้นของโลก

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการตัดสินรางวัลลูกโลกสีเขียว ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีมอบรางวัลลูกโลกสีเขียว มีความตอนหนึ่งว่า


“ อยากให้รัฐบาลในอนาคตให้ความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยเฉพาะปัญหาโลกร้อน ที่ทั่วโลกกำลังตื่นตัว แต่สิ่งที่เห็นและบางคนกำลังปฏิบัติอยู่กลับไม่ใช่การช่วยแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างแท้จริง เพียงสร้างภาพเพื่อการประชาสัมพันธ์ เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่นำมาใช้ในช่วงที่โลกกำลังให้ความสนใจกับเรื่องนี้ “

สองวันต่อมา ปกหลังของหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่ง ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ก็ลงโฆษณาเต็มหน้า เชิญชวนผู้คนให้ไปชอปปิ้งสินค้าในห้างสาขาแห่งใหม่ย่านสยามสแควร์ เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน  โดยมีข้อความโฆษณาเป็นภาษาฝรั่งเท่ ๆ ว่า

“ SHOP TO COOL THE WORLD DOWN
   SHOP AND HELP REDUCE CLIMATE CHANGE”

การจับจ่ายซื้อสินค้ากันมาก ๆ เกินความต้องการ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เพราะสินค้าทุกชนิดในโลกนี้ล้วนแต่ใช้พลังงานในการผลิตทั้งสิ้น  ยิ่งชอปปิ้งกันมาก ๆ ชอปกันสนั่นเมือง ก็ต้องผลิตสินค้าขึ้นเยอะ ๆ ส่งผลให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น

ห้างสรรพสินค้าบางแห่งถึงกับออกสโลแกนว่า หยุดโลกร้อน ด้วยการชอปปิ้ง

และเป็นทราบกันดีว่า ศูนย์การค้าขนาดใหญ่เป็นแหล่งบริโภคพลังงานไฟฟ้าที่สำคัญในกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าที่สิ้นเปลืองไปกับเครื่องปรับอากาศ  ศูนย์การค้าใหญ่ ๆ จำนวนมากในกรุงเทพมหานครมักเปิดแอร์เย็นฉ่ำอุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสทั้งอาคาร จนหลายคนต้องใส่เสื้อสองชั้นเวลาเดินเข้าห้าง

ห้างเหล่านี้ก็ไม่เคยคิดจะปรับลดอุณหภูมิภายในอาคารลงเลย ขณะที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของห้างกำลังทำกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนแก่ลูกค้าที่เดินผ่านไปมา

รถยนต์จำนวนมากที่จอดติดอยู่หน้าทางเข้าห้างสรรพสินค้าจนทะลักออกมานอกถนน ทำให้การจราจรตามท้องถนนติดขัดเป็นวงกว้าง ต้องสูญเสียน้ำมันเชื้อเพลิงมหาศาล แต่ห้างเหล่านั้นก็ยังไม่ปรับตัวใด ๆทั้งสิ้น

แม้แต่นโยบายของพรรคการเมืองทุกพรรคที่ประกาศออกมา ไม่มีพรรคใดเลยที่มีนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหัวข้อชัดเจน แต่มีคำว่า โลกร้อน ปรากฏอยู่ในสโลแกนของหลายพรรค

ทุกวันนี้สโลแกนใด ไม่มีคำว่า โลกร้อน ต่อท้าย อาจจะดูเชย

กระแสโลกร้อนจึงเป็นเพียงแคมเปญทางการตลาดของบริษัทจำนวนมากเพื่อหวังสร้างยอดขายสินค้า มากกว่าที่จะสนใจแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง เพราะในอนาคตหากมีกระแสสังคมอื่น ๆ ที่มาแรงกว่า ทันสมัยกว่า ก็น่าทำให้กระแสโลกร้อน หลุดออกจากแคมเปญทางการตลาดได้

ทุกวันนี้ประเทศไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศปีละ 172 ล้านตัน ซึ่งถือว่าสูงกว่าประเทศในแถบเอเชียอาคเนย์ด้วยกัน

กรุงเทพมหานครเป็นจังหวัดที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุดในประเทศนี้ มากกว่ามหานครใหญ่ ๆ ของโลกเสียอีก

ตามสถิติของทางกรุงเทพมหานครได้บอกว่า ชาวกทม.ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึงปีละ 7.3 ตัน/คน/ปี มากกว่าชาวนิวยอร์คที่ปล่อย 7.1 ตัน/คน/ปี ชาวลอนดอน 5.9 ตัน/คน/ปี และชาวโตเกียว 5.7 ตัน/คน/ปี

จะเรียกว่าแต่ละปีคนกรุงเทพฯ เป็นคนสร้างปัญหาให้เกิดภาวะโลกร้อนอันดับต้น ๆ ของโลก ก็ไม่ผิดนัก

ตัวเลขล่าสุดบอกว่า ร้อยละ 50 ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ชาวกทม.ปลดปล่อยออกมานั้น มาจากการคมนาคมซึ่งพึ่งพาอาศัยรถยนต์ส่วนตัวมากกว่าการขนส่งมวลชน  และ ร้อยละ 30 มาจากการใช้เครื่องไฟฟ้า และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยมีเครื่องปรับอากาศมาอันดับหนึ่ง

ขณะที่คนตามชนบทที่ไม่ค่อยสร้างปัญหาโลกร้อน ไม่ค่อยใช้รถยนต์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้ามากนัก กลับมีส่วนในการลดภาวะโลกร้อนมากกว่าคนกรุงเทพฯ ไม่ว่าการใช้ชีวิตที่พอเพียง ใช้ทรัพยากรน้อยกว่าคนเมือง ช่วยกันปลูกต้นไม้ ดูแลป่าในชุมชนอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งต้นไม้เป็นตัวการในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ลดภาวะโลกร้อนได้อย่างดีที่สุด

การประชุมของคณะกรรมการนานาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ หรือ IPPC ซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์กว่า 2,500 จากทั่วโลก เพื่อทำงานสืบหาข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนได้รายงานว่า หากภายในปี 2020 มนุษย์ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศได้ประมาณร้อยละ 40 หายนะของทั้งโลกอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ

ทุกวันนี้อนุสัญญาพิธีสารเกียวโต ที่ประเทศสมาชิก 186 ประเทศร่วมลงนามที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ร้อยละ 5 ตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ยังทำไม่สำเร็จเลย

การเปลี่ยนแปลงในภูมิอากาศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุก ๆ ปี ไม่ว่าการละลายของน้ำแข็งในขั้วโลก ฝนตกชุก พายุหมุนที่ถี่และรุนแรงขึ้น จนนักวิทยาศาสตร์ไม่อาจคาดการณ์อนาคตได้ถูกต้อง จากข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ

ดังนั้นประเด็นการลดภาวะเรื่องโลกร้อน จึงไม่ใช่แคมเปญการตลาดเพื่อสร้างกระแสการขายสินค้า ไม่ใช่เรื่องของความเท่ ความเก๋ ของการสะพายถุงผ้าเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่คนไทยโดยเฉพาะชาวกทม.ต้องปรับตัว ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างอย่างจริงจัง เพื่อรับมือกับหายนะที่อาจจะเกิดขึ้นเร็ว ๆนี้

ตราบใดที่ยังชอปปิ้งกันเกินความจำเป็น ตราบใดที่ยังคิดว่าการบริโภคสูงสุดคือกำไรชีวิต

กรรมที่กระทำไว้ กำลังติดจรวดตามมาทัน ภายในสิบปีข้างหน้าอย่างแน่นอน
 

Comments

  1. tON

    เป็นเรื่องจริงครับ
    แต่คิดคิดดูแล้ว เรื่องจะเปลี่ยน ทัศนคติ ของใครมากพอจนเปลี่ยน พฤติกรรม ได้เป็นเรื่องยากมาก มาก มาก มาก มาก มาก ฯลฯ

  2. Benz Krub

    อ่านแล้วฮาครับ

    ช๊อปปิ้งช่วยลดโลกร้อน

    ส่วนถัดจากนี้คงจะเป็นคอมเม้นต์ช่วยลดปัญหาโลกร้อน

    เม้นน้อย ๆ ลดปัญหาการพิมพ์มาเสียพลังงาน 55+

    แก้ยากครับปัญหานี้

    เพราะประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ตื่นตัวเรื่องปัญหาโลกร้อน

    เป็นลำดับที่ 3 รั้งรัสเซียที่เป็นอันดับหนึ่งของโลกไปแล้ว

    น่าตื่นเต้น หรือน่าตกใจดีครับเนี่ย..

  3. กฤษณะ กิ่งแก้ว

    ผมนักศึกษาครับ

    จะติดต่อกับคุณ วันชัยได้ยังไงครับ

    ผมมีไอเดียอยากให้ทางคุณวันชัยให้คำปรึกษาครับ

    ช่วยส่งที่อยู่ให้ทาง email ของผมด้วยนะครับ

    ขอบดุณครับ

  4. Post
    Author
  5. เด็กรักโลก

    เราควรเลิกใช้พลังงานไปเลยยิ่งดี ถ้าเปงไปได้อยากให้มาใช้จักรยานกัน 😈 😳 🙄 😥

  6. แมงปอ

    แก้ปัญหาโลกร้อนต้องปลูกจิตสำนึกค่ะ แต่ก็เห็นหลายหน่วยงานพยายามจะปลูกต้นจิตสำนึกนะ แต่ทำไมมันไม่ค่อยเติบโตเลย ยังไงก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เริ่มจากตัวเองก่อน คิดก่อนทำ ซื้อแต่สิ่งที่จำเป็น เลือกใช้สินค้าที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่หลงมัวเมาไปกับโฆษณา และใช้รถขนส่งมวลชน แค่นี้โลกก็ดีขึ้นแล้วค่ะ 😛

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.