อ้ายพวกนักอนุรักษ์

http://p2.s1sf.com/tr/0/ud/185/926153/cl_01.jpg

“ในความรู้สึกของผม เราไม่ต้องเสียเวลามานั่งเถียงกันหรอกว่า เราจะใช้ป่าไม้อย่างไร เพราะมันเหลือน้อยมากจนไม่ควรใช้ …เดี๋ยวนี้เขื่อนเริ่มจะเข้าไปในพื้นที่ป่าอนุรักษ์แล้ว เพราะว่าป่าข้างนอกหมดแล้ว”

สืบ นาคะเสถียร ได้ให้สัมภาษณ์กับสารคดี ในบ่ายวันหนึ่งของเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๓  ข้าราชการกรมป่าไม้ซีหก เงินเดือนแปดพันบาท อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ได้มาเยือนที่ทำการของ สารคดี  ซอยวัดปรินายก เพื่อให้กองบรรณาธิการสัมภาษณ์ ในฐานะนักอนุรักษ์คนหนึ่งผู้ออกมาวิจารณ์นโยบายการสร้างเขื่อนแก่งกรุง ที่ต้องเสียพื้นที่ป่าในอุทยานแห่งชาติแก่งกรุง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

สืบ เป็นข้าราชการกรมป่าไม้เพียงน้อยนิด ที่กล้าออกมาให้ความเห็นสวนทางกับรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลใด ๆ โดยเฉพาะในช่วงประท้วงการสร้างเขื่อนน้ำโจน อันจะทำให้ต้องสูญเสียพื้นที่ป่าหลายแสนไร่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร(ชื่อในสมัยนั้น) สืบเดินสายให้ความเห็นถึงผลเสียในการสร้างเขื่อน โดยทุกครั้งที่ขึ้นเวทีอภิปราย เขาจะใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ผมขอพูดในนามของสัตว์ป่า ที่ไม่มีโอกาสได้พูด”

สืบ เคยเป็นหัวหน้าทีมอพยพสัตว์ป่า เมื่อครั้งมีการสร้างเขื่อนเชี่ยวหลาน เขาทราบดีว่า มีสัตว์ป่าหลายพันตัวที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องเสียชีวิตจากน้ำท่วมหรืออดตาย จากบริเวณที่เคยเป็นป่าได้เปลี่ยนสภาพเป็นอ่างเก็บน้ำ

ครั้งนั้นเขาบอกเราว่า  “ การที่เราจะสร้างเขื่อนไปก่อน แล้วค่อยตามมาแก้ไขผลกระทบทีหลัง ผมคิดว่ามันไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ในทางปฏิบัติ ถึงแม้จะเขียนโครงการไว้ดี แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เช่นเรื่องการทำไม้บริเวณเขื่อน แทนที่จะหยุดในบริเวณที่จะเป็นอ่างเก็บน้ำ ก็มีการให้ทำต่อไปอีก”

ในเวลานั้นสืบ นาคะเสถียร ถือว่าเป็น “อ้ายพวกนักอนุรักษ์” ตัวพ่อ ถูกโจมตีจากผู้ที่ไม่เข้าใจ จากข้าราชการด้วยกันเอง จากสื่อมวลชน ที่เห็นว่า “อ้ายพวกนักอนุรักษ์” เป็นผู้ขัดขวางการเจริญ ขัดขวางการพัฒนาประเทศ  แต่ทุกครั้งเมื่อเขาแสดงความเห็นในที่สาธารณะ คนที่ไม่เห็นด้วยแต่เปิดใจกว้างก็ต้องรับฟังสืบพูด เพราะเขาไม่ได้คัดค้านอย่างไร้เหตุผล คำพูดของเขามีน้ำหนัก ด้วยความเป็นนักวิชาการสัตว์ป่าจากมหาวิทยาลัยด้านนิเวศสัตว์ป่าอันดับต้น ๆ ของโลก ผู้ลงพื้นที่เดินป่าเก็บข้อมูลตลอดเวลา  และเปิดเผยความรู้อีกมุมหนึ่งที่สังคมไทยในสมัยนั้นไม่ค่อยทราบ  เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา “เขื่อนคือการพัฒนาประเทศ” คือความคิดกระแสหลัก

เวลานั้น นักอนุรักษ์ ถูกโจมตีจากนักการเมืองทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน เพราะการสร้างเขื่อนดูจะเป็นเรื่องเดียวที่นักการเมืองทุกพรรคเห็นพ้องต้องกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะเป็นโครงการที่หาเสียงเป็นรูปธรรมได้ง่าย

สืบ นะคะเสถียร ได้ทำหน้าที่ของนักอนุรักษ์จนวาระสุดท้ายของชีวิต เมื่อต้นเดือนกันยายน ๒๕๓๓ เพื่อปกป้องผืนป่าห้วยขาแข้ง ป่าผืนสุดท้ายที่เขาลงทุนใช้ชีวิตเข้าแลก

สี่ปีต่อมาภายหลังการจากไปของสืบ  ในบริเวณป่าแม่วงก์ ป่าผืนเดียวกับป่าห้วยขาแข้งทางตอนเหนือ ผมและเพื่อนสนิทคนหนึ่งได้ขับรถเข้าไปในป่า มุ่งหน้าไปเขาสบกกอันเป็นที่ตั้งของสันเขื่อนแม่วงก์ เพื่อเก็บข้อมูล หลังจากได้ทราบข่าวชัดเจนว่า จะมีโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีผลทำให้ท่วมพื้นที่ป่าหมื่นกว่าไร่

เราขับรถเลียบไปตามสันเขาสองข้างทางเป็นป่ารก พอขับไปเรื่อย ๆ มองไปด้านล่างเห็นลำน้ำแม่วงก์ กะว่าจะลงไปสำรวจลำน้ำ จึงจอดรถชิดข้างทางที่เห็นเป็นกอไผ่ขึ้น ทันใดนั้นรถได้เสียหลัก ล้อหน้าได้ยื่นออกไปกลางอากาศ เราเพิ่งทราบว่าตรงกอไผ่ไม่มีพื้นที่ข้างทาง แต่เป็นเหวลึกหลายสิบเมตร

โชคดีที่ยังมีกอไผ่ค้ำยันล้อเอาไว้ไม่ให้รถหล่นลงไป เราสองคนมองหน้ากัน การเข้าเกียร์ถอยหลังเป็นไปไม่ได้ จึงตัดสินใจค่อย ๆ ออกจากรถอย่างระวังเต็มที่ และเดินกลับออกไปร่วมชั่วโมง ไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน ให้เอาควายสองสามตัว มาช่วยลากรถก่อนจะดิ่งเหวลงไปเบื้องล่าง

หลังจากเกือบขับรถตกเหว เราใช้เวลาอีกหลายวันไปสำรวจลำน้ำ จุดที่ตั้งสันเขื่อน เดินสำรวจพื้นที่ป่าที่จะท่วม ไปสอบถามความเห็นจากชาวบ้าน  บางครั้งก็มีมวลชนออกมาถือป้ายประท้วง”อ้ายพวกนักอนุรักษ์” ขณะที่นักการเมืองตระกูลเก่าแก่ในจังหวัดนครสวรรค์ก็ด่าออกสื่อทั้งทีวีและหนังสือพิมพ์เป็นประจำ

แต่พวกเราได้พยายามเก็บข้อมูล เปิดเผยผลดีผลเสียของการสร้างเขื่อนแม่วงก์  ความคุ้มค่าจากพื้นที่ชลประทาน การป้องกันน้ำท่วมแลกกับพื้นที่ป่าต้องเสียไป เพื่อให้คนทั่วไปได้รับทราบมากที่สุด อีกด้านหนึ่งก็ต้องอดทนกับการถูกกล่าวหาต่างๆนานา จนกระทั่งในปีพ.ศ.๒๕๔๕ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติก็ได้มีมติไม่เห็นชอบรายงานการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และให้กรมชลประทานหาทางเลือกใหม่ของที่ตั้งโครงการเขื่อนแม่วงก์

ยี่สิบปีต่อมา ขณะที่ต้นไม้ห้าแสนกว่าต้น ในป่าแม่วงก์ที่รอดจากการสร้างเขื่อนกำลังเติบโตเป็นป่าใหญ่ แต่ทุกอย่างกลับไปสู่ที่เดิมใหม่ เมื่อรัฐบาลชุดปัจจุบันอนุมัติให้มีการสร้างเขื่อนแม่วงก์อีกครั้ง ขณะที่รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมยังไม่ผ่านการพิจารณา โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันน้ำท่วมภาคกลาง

มาถึงตอนนี้ อ้ายพวกนักอนุรักษ์ ก็คงต้องเปลืองตัวกันอีก

ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง ไม่ว่ากี่รุ่นกี่คน  เกิดการแตกแยกในสังคมเป็นเฉดสีต่าง ๆ มีวาทกรรมอำมาตย์กับไพร่  แต่อ้ายพวกนักอนุรักษ์ที่เกิดมาในสังคมไทยยี่สิบกว่าปีแล้ว ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนเดิมเพื่อปกป้องป่าไม้และสัตว์ป่า ไม่เปลี่ยนแปลง

และถูกรุมด่าว่าเป็น “พวกขัดขวางการเจริญของประเทศ”  “ทำไมพวกนี้ไม่สูญพันธุ์เสียที” “รับเงินต่างชาติ”  แต่พวกเขาได้แต่อดทน เพราะรู้ว่าทำหน้าที่อะไรอยู่

ดูเหมือนความอดทน อดกลั้นต่อการถูกกล่าวหาต่าง ๆนานา อาจจะเป็นคุณสมบัติข้อแรกของคนที่จะมาเป็น “อ้ายพวกนักอนุรักษ์

สารคดี  พฤษภาคม ๒๕๕๕

Comments

  1. ดรีม รักชาติ

    ความเห็นของนักการเมือง กับนักอนุรักษ์มักสวนทางกันเสมอ แต่ทั้งสองฝ่ายอ้างว่าที่ทำไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศกันทั้งสองฝ่าย แต่นักการเมืองทำไปเพื่อป้องกันน้ำท่วม(ต้นไม้หลายพันต้น สัตว์ป่าอีกหลายพันตัว สัมปทาน สส.สมัยหน้า เงินที่จะเข้ากระเป๋าอีกนับไม่ท่วนว่าเป็นเท่าไร)นักอนุรักษ์ทำไปเพื่อ ป่่าไม้ สัตว์ป่า และ รักษาเขื่อธรรมชาตินี้ไว้ เขื่อที่ป้องกันน้ำท่วมได้ตลอดชีวิต ส่วนเขื่อที่รัฐบาลจะทำมันป้องกันได้แค่ชั่วคราว มิหนำซ้ำพอเขื่อเอาไม่อยู่ก็ปล่อยน้ำอันมหาศาลออกมาเพราะกลัวเขื่อนแตกแล้วนี้เขาเรียกว่าป้องกันน้ำท่วมหรือ หรือกักน้ำเพื่อให้ท่วมทีเดียวกันแน่ อะไรที่น่าทำไม่ทำ อไรไม่น่าทำก็จะทำ ปัญหาน้ำท่วมมันเกิดจากปัญหาโลกร้อนน้ำแข็งขั้วโลกละลาย เราไม่สามารถที่จะหยุดได้หรอก แต่เราทำไมไม่ขุดคลองส่วนที่เปฺนดอนในตอนเมื่อแล้งล่ะ จะมาทำเขื่อ มันคุ้มหรอกับ ป่าไม้ที่มีน้อยเต็มที่ กับสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์จะแย่อยู่แล้ว แล้วทีนี้จะบอกว่านักอนุรักษ์เป็นพวกขัดขวางความเจริญของประเทศอยู่อีกหรือไม่ แล้วนักการเมืองกลับมาถามตัวเองซิว่า ท่านเป็นนัก “พัฒนา หรือ ทำลาย”

  2. ดรีม รักชาติ

    ที่พูดไปทั้งหมดเพื่อจะบอกว่าทำไมไม่ขุดลอกแม่น้ำในประเทศที่มีอยู่แล้วล่ะ มันไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไปใช่หรือเปล่า มันหาทางโกงได้น้อยกว่า ใช่หรือเปล่า นักการเมืองก็เหมือนลิเกแหละครับ หน้าฉากรบกันหลังฉากก็จับมือกันโกงกินชาติ มีคนพูดไว้ว่า ถ้าเราไม่อยากให้การเมืองเล่นเรา เราก็ต้องเล่นการเมือง แล้วทำไมถึงไม่ถามตัวเอง ว่าถ้าเราต้องไปโกงกินเราก็อย่าเข้าไปเลย หยุดดิครับ คนที่พร้อมจะไม่โกงกินก็มี คุณนั้นแหละตัวอะไรทำลายชาติ

  3. ป๋อง โป๊ยเซียน

    เคยคิดว่าวันนึงเรื่องเขื่อนแม่วงก์ต้องกลับมา…แล้วม้นก็กลับมาจริงๆ

    กลัวจริงๆเลยครับว่าจะมีภาคสองที่แก่งเสือเต้นด้วย

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.