เรื่องและภาพ : มงคลสวัสดิ์ เหลืองวรพันธ์

yukon quest 01สนามบินเมืองแองเคอเรจ (Anchorage) กลางเดือนมกราคมยามดึก เงียบเหงาจนแทบจะกลายเป็นสนามบินร้าง มีเพียงรถสองสามคันที่แวะเข้ามาจอดรอรับผู้โดยสารก่อนจะแล่นจากไป และเมื่อก้าวพ้นประตู สายลมเย็นเยือกจากภายนอกก็กรูเข้ามาต้อนรับแทบจะทันที…

ภาพสนามบินวันนี้ผิดตาไปจากเมื่อสองครั้งก่อนที่ผมมาที่นี่แทบจะหน้ามือเป็นหลังมือ สองคราวก่อนผมเลือกมาอะแลสกาในช่วงฤดูร้อนซึ่งถือเป็นฤดูท่องเที่ยวของที่นี่ จึงได้เห็นผู้คนเบียดเสียดเต็มสนามบิน ทั้งยังมีรถราใหญ่น้อยมาจอดคอยรับผู้โดยสารแน่นขนัด สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่านักท่องเที่ยวที่มาเยือนอะแลสกากว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์จะพร้อมใจกันเข้ามาในฤดูร้อน ซึ่งกินระยะเวลาราวสามเดือนจากมิถุนายน-สิงหาคม ทั้งนี้ก็คงด้วยเหตุผลที่ว่า มีแต่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่อะแลสกาจะไม่หนาวเย็นเกินไปสำหรับคนต่างถิ่นผู้มาเยือน

และก็ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่แปลกใจอะไรนักกับภาพสนามบินร้างที่ได้เห็น เพราะเวลานี้ นอกจากจะไม่ใช่ฤดูร้อนของอะแลสกาแล้ว มันยังเป็นฤดูหนาว–ช่วงเวลาที่ความหนาวเหน็บและความมืดกินเวลายาวนานเกือบ ๒๐ ชั่วโมงในหนึ่งวัน และอุณหภูมิที่เราต้องเผชิญอาจลดต่ำลงได้ตั้งแต่ -๓๐ ไปจนถึง -๖๐ องศาเซลเซียส

ว่ากันว่าอะแลสกาในช่วงเวลาที่หนาวที่สุดในรอบปี อาจทำให้คนที่คิดว่าตัวเองพิศมัยความเย็นกลับใจได้ ผมเองไม่ใช่คนทนหนาวอะไรนัก เพื่อนฝูงจึงถึงกับเอ่ยปากว่า–ก็แล้วจะ (หาเรื่อง) ไปทำไม ?

แต่ผมมีคำตอบให้ตัวเองรออยู่แล้วที่ Fairbanks

yukon quest 02yukon quest 03

๑.

คำตอบของผมอยู่เหนือขึ้นไปจากแองเคอเรจหลายร้อยไมล์ ดังนั้นหลังจากพักผ่อนที่แองเคอเรจได้ไม่นาน ผมก็ต้องรีบออกเดินทาง

Fairbanks จุดหมายปลายทางของผม เป็นเมืองที่อยู่ทางด้านตะวันออกของอะแลสกา ใกล้กับแคนาดา ที่ผมต้องมาที่นี่ และจำเพาะว่าจะต้องมาในหน้าหนาว ก็เนื่องมาจากเหตุสองประการ ประการแรก Fairbanks เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลกสำหรับการชมและศึกษา “แสงเหนือ” (aurora borealis) อันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของแสงสีบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ที่มีความมหัศจรรย์และสวยงามเหนือคำบรรยาย ส่วนอีกประการหนึ่งก็คือ ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันสุนัขลากเลื่อนที่รู้จักกันในชื่อ “Yukon Quest” ซึ่งจัดว่าเป็นการแข่งขันสุนัขลากเลื่อนที่ทรหดที่สุดในโลก (The toughest sled dog race in the world)

การแข่งขันสุนัขลากเลื่อนในอะแลสกาจะจัดขึ้นปีละสองครั้ง คือ Iditarod และ Yukon Quest ทั้งสองการแข่งขันมีระยะทางใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่า Iditarod มีจุดเริ่มต้นที่แองเคอเรจและไปสิ้นสุดที่เมือง Nome ทางทิศตะวันตกของอะแลสกา โดยการแข่งขันจะมีขึ้นในช่วงต้นเดือนมีนาคม ส่วน Yukon Quest นั้นมีจุดเริ่มต้นที่เมือง Fairbanks และไปสิ้นสุดที่เมือง Whitehorse ในประเทศแคนาดา (จุดเริ่มต้นและสิ้นสุดการแข่งขันจะสลับกันไปทุกปี โดยปีหน้าการแข่งจะเริ่มต้นที่ Whitehorse และสิ้นสุดลงที่ Fairbanks) โดยที่ Yukon Quest ขึ้นชื่อเรื่องเส้นทางที่มีความลำบากหรือทุรกันดารกว่า

ผมรู้มาว่าทางคณะผู้จัดการแข่งขัน Yukon Quest เปิดโอกาสให้นักข่าวจากที่ต่าง ๆ เข้าร่วมชมและถ่ายภาพการแข่งขันด้วย ในการเดินทางคราวนี้ผมจึงแบ่งเวลา หันมาสวมวิญญาณนักข่าวและช่างภาพอีกครั้ง เพื่อติดตามการแข่งขันที่น่าตื่นเต้นและหาชมได้ยากนี้

เมื่อไปถึง Fairbanks อากาศกำลังหนาวเย็นได้ที่ หิมะปกคลุมขาวโพลนไปทั่ว ดูคล้ายเมืองทั้งเมืองเป็นภาพถ่ายที่มีเพียงสีขาว-ดำ ตามถนนหนทางมีกองน้ำแข็งแฉะ ๆ ที่ถูกไถไปรวมกันริมถนนเพื่อเปิดทางให้รถราแล่นผ่าน ส่วนอุณหภูมิจะลดต่ำลงเท่าไรนั้นผมไม่อยากจะคิด เพราะชักไม่แน่ใจตัวเองแล้วว่าจะทนกับสภาพอากาศที่ราวกับอยู่ในตู้แช่เนื้อไปได้สักกี่น้ำ…

การแข่งขัน Yukon Quest จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ ๒ ของเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ ๙ สองวันก่อนการแข่งขัน ผมเข้าร่วมประชุมนักข่าวในงานแถลงข่าวที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตอนสาย ๆ เมื่อไปถึง ทั้งผู้สื่อข่าวและผู้อ่านข่าวโทรทัศน์ท้องถิ่น ต่างยืนอออยู่หน้าห้องประชุมซึ่งยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป ผมชะเง้อมองเข้าไปข้างในก็เห็นคนนั่งกันอยู่เต็มห้อง กำลังเซ็นชื่อลงบนแผ่นโปสเตอร์ ถามไถ่คนที่ยืนออกันอยู่จึงได้รู้ว่าคนในห้องก็คือผู้เข้าแข่งขันนั่นเอง

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้เข้าแข่งขันก็เริ่มทยอยออกนอกห้อง และทักทายกับผู้สื่อข่าวอย่างเป็นมิตร แต่ไม่ทันได้ซักถามอะไร คณะผู้จัดงานก็เรียกบรรดานักข่าวเข้าห้องประชุม ผู้สื่อข่าวต้องกรอกแบบฟอร์มโดยละเอียด ตั้งแต่ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ ตำแหน่งหน้าที่ สำนักข่าวที่สังกัด ชนิดของสื่อ รวมทั้งอีเมลและเว็บไซต์ ผมกาเครื่องหมายลงในช่องตำแหน่งหน้าที่ไว้สองช่อง คือเป็นทั้งผู้สื่อข่าวและช่างภาพ ในนามนิตยสาร สารคดี

การประชุมไม่มีอะไรซับซ้อน เป็นเพียงการให้คำแนะนำและชี้แจงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ผู้สื่อข่าวควรและไม่ควรปฏิบัติต่อทีมผู้เข้าแข่งขัน เช่น ห้ามสัมผัสหรือให้ความช่วยเหลือแก่ทีมแต่อย่างใดทั้งสิ้น, เวลาที่เหมาะสมที่จะสัมภาษณ์ผู้เข้าแข่งขันคือเวลาที่ทีมหยุดพักรับประทานอาหาร, ผู้สื่อข่าวไม่ควรแบกข้าวของหรือสัมภาระมากเกินควร เพราะการติดตามการแข่งขันบางครั้งต้องนั่งเครื่องบินเล็ก ฯลฯ เรื่อยไปจนถึงคำแนะนำเรื่องเสื้อผ้า ที่เขาแนะว่าให้ใส่ตัวละหลาย ๆ วัน นอกจากนี้ทาง Yukon Quest ยังมีเฮลิคอปเตอร์บริการผู้สื่อข่าวในช่วงสองวันแรกของการแข่งขันด้วย โดยใช้กฎว่าใครมาถึงก่อนก็ใช้บริการก่อน น่าแปลกใจว่า เมื่อกรรมการจัดการแข่งขันคนหนึ่งถามขึ้นว่า มีใครต้องการใช้บริการเฮลิคอปเตอร์บ้าง กลับมีนักข่าวเพียงไม่กี่คน (รวมทั้งผมด้วย) ที่ยกมือ

หลังจากคณะกรรมการเปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวซักถามจนพอใจแล้ว และกำลังจะปิดการประชุม ผมก็ถือโอกาสแนะนำตัวว่ามาจากเมืองไทย โดยบอกว่าเดินทางมาคนเดียว และเป็นครั้งแรกที่มาในฤดูหนาว ทั้งนี้เพื่อขอความช่วยเหลือและคำแนะนำในด้านต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องยานพาหนะที่จะติดตามทีม คำร้องของผมได้รับการตอบรับง่าย ๆ จากร็อกกี้ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดงาน เขาเป็นผู้จัดรายการวิทยุท้องถิ่น และในวันแข่งขันก็จะทำหน้าที่เป็นโฆษกด้วย ร็อกกี้บอกผมว่าให้ไปหาเขาในวันแข่งขัน ซึ่งจะหาตัวเขาได้ไม่ยากในวันนั้น

…..

yukon quest 04yukon quest 05

๒.

๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕

กลางเมือง Fairbanks ใต้สะพานถนน Cushman สายน้ำที่เคยไหลรินอยู่เบื้องล่างในฤดูอื่นและบัดนี้กลายเป็นธารน้ำแข็ง คือจุดเริ่มต้นของการแข่งขัน ผู้คนนับพันยืนเกาะรั้วส่งเสียงให้กำลังใจแก่ทีมผู้เข้าแข่งขันที่รวมตัวกันอยู่บริเวณนั้น แม้อุณหภูมิในวันนี้จะติดลบกว่า ๒๐ องศาเซลเซียสก็ตาม

ผมตามตัวร็อกกี้ได้ง่าย ๆ อย่างที่เขาว่าไว้จริง ๆ รอจนเขาเสร็จงานตรงหน้า เราก็ออกเดินสังเกตการณ์บริเวณจุดเริ่มต้นของการแข่งขันด้วยกัน

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นทีมผู้เข้าแข่งขันพร้อมหน้า “ทีม” ที่ผมพูดถึงประกอบไปด้วย ผู้ควบคุมเลื่อน (musher หรือ driver) ๑ คน สุนัขลากเลื่อน ๑๔ ตัว (บางทีม ๑๒ ตัว) และเลื่อน ๑ คัน สุนัขทั้ง ๑๔ ตัวในแต่ละทีมถูกผูกเรียงกันไว้เป็นคู่ ๆ ด้วยเชือกยาวหลายเมตร แต่ละตัวท่าทางคึกคัก พร้อมที่จะกระโจนลงสู่สนาม ร็อกกี้บอกผมว่าพวกมันรู้ดีว่าการแข่งขันกำลังจะเริ่มต้น และพร้อมแล้วสำหรับการเดินทางอันแสนทรหด เพราะแต่ละตัวได้รับการฝึกฝนมาตลอดสามเดือน นับตั้งแต่วันแรกที่หิมะตกเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว

สุนัขที่ใช้ในการแข่งขันเป็นสุนัขพันธุ์ Huskie ซึ่งเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่แม้จะตัวไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีความทรหดอดทนเป็นเลิศ รูปร่างและขนาดใกล้เคียงกับสุนัขบ้านเรา แต่มีขนค่อนข้างหนาและยาวกว่า ส่วนใหญ่จะมีขนสีขาวและดำ แต่บางตัวก็มีสีแปลกออกไป เช่นสีน้ำตาลหรือสีเหลืองอ่อน ตีนทั้งสี่ของสุนัขทุกตัวที่เข้าแข่งจะถูกห่อหุ้มไว้ด้วยถุงเท้าเล็ก ๆ สีสันสดใส เพื่อช่วยให้อบอุ่นและทนต่อการเดินทางอันยาวนานได้

yukon quest 06yukon quest 07

สุนัขคู่แรกซึ่งอยู่หัวขบวน (เรียกกันว่า lead dog) เป็นคู่ที่มีความสำคัญและได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี มันจะทำหน้าที่คอยฟังคำสั่งจาก musher ส่วนสุนัขอีกหกคู่จะถูกผูกเรียงถัดกันลงมา เชือกนี้จะผูกโยงเข้ากับตัวเลื่อน (sled) ซึ่งบรรจุสัมภาระยังชีพ ตัวเลื่อนเป็นอะลูมิเนียมโปร่ง ๆ หัวเชิด รูปร่างคล้ายเรือท้ายเปิด มีแผ่นเหล็กคู่ลักษณะคล้ายสกีรองรับอยู่ด้านล่าง โดยเว้นแผ่นเหล็กส่วนท้ายไว้ราว ๒ ฟุตใช้เป็นที่ยืนของ musher โครงด้านข้างกั้นสูงสำหรับวางสัมภาระและเป็นที่ให้ musher จับยึดเพื่อใช้ในการทรงตัว ท้ายเลื่อนมีอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับชะลอความเร็วหรือหยุดเลื่อน ตั้งแต่แผ่นยางสีดำแข็งที่มีปุ่มนูน ๆ ผูกเชือกไว้ เมื่อต้องการใช้ก็เพียงทิ้งแผ่นยางดังกล่าวลงกับพื้น แล้วใช้เท้ากดเพื่อชะลอความเร็ว, เบรกซึ่งเป็นแผ่นเหล็กหนา มีรอยหยักเหมือนเลื่อย ไว้สำหรับเหยียบเพื่อหยุดเลื่อน โดยแผ่นเหล็กจะจิกลงบนพื้นน้ำแข็ง, เชือกสำหรับผูกกับต้นไม้หรือหลักที่ถาวร รวมถึงสมอหรือตะขอเหล็กอันใหญ่สำหรับปักลงบนพื้นน้ำแข็ง กรณีที่ต้องการหยุดพักทีมแต่ไม่มีต้นไม้หรือหลักอะไรที่พอจะผูกเชือกได้ โดยต้องเหยียบซ้ำแรง ๆ อีกหลายครั้งเพื่อให้เหล็กแหลมยึดแน่นและสามารถต้านแรงกระชากจากสุนัขทั้งทีมได้

Yukon Quest เริ่มขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๙๘๔ มีผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด๒๖ ทีม ด้วยระยะทาง ๑,๐๐๐ ไมล์ มี ๒๐ ทีมที่เข้าเส้นชัย โดยผู้ชนะการแข่งขันใช้เวลาเพียง ๑๒ วัน ส่วนในปีนี้ ผู้เข้าแข่งขันมีทั้งหมด ๔๑ ทีม ๑๑ ทีมเป็นผู้หญิง ซึ่งนับว่าเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา

ในครั้งนี้ ระยะทางทั้งหมดที่ทีมผู้เข้าแข่งขันและสุนัขลากเลื่อนทั้ง ๑๔ ตัวต้องเผชิญคือ ๑,๖๐๐ ไมล์ เลื่อนจะต้องวิ่งผ่านเส้นทางอันทุรกันดารที่ตัดผ่านผืนป่าและธารน้ำแข็ง ท่ามกลางความหนาวเหน็บในช่วงเวลาที่หนาวที่สุดในรอบปี ทั้งจะต้องพิชิตเทือกเขาสูงถึงสามช่วงในระดับความสูง ๓,๘๐๐ ฟุต และหากโชคร้ายทีมก็อาจจะต้องผจญกับพายุหิมะที่จะพัดปกคลุมทุกสิ่งจนขาวโพลน มองไม่เห็นอะไรนอกจากความขาว อย่างที่เรียกกันว่า “white out condition” นอกจากนี้เนื่องจากจุดตรวจ (check point) บางจุดอยู่ห่างกันถึง ๒๐๐ ไมล์ จึงทำให้ทีมต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความโดดเดี่ยวไม่ต่ำกว่าสองสามวัน ระยะทางดังกล่าวทำให้แต่ละทีมต้องบรรทุกสัมภาระ และเครื่องยังชีพเผื่อไว้ให้เพียงพอสำหรับ ๑๕ ชีวิตด้วย

๑๑ โมงตรง ทีมของ Kelly Griffin ก็เตรียมตัวออกจากจุดเริ่มต้นเป็นทีมแรก Kelly เป็นหญิงชาวอะแลสกา อายุ ๔๒ ปี ครั้งนี้เป็นการแข่งขันครั้งแรกของเธอ เมื่อทีมถูกพามายังจุดเริ่มต้น สุนัขทั้ง ๑๔ ตัวก็เห่าเสียงดังและโก่งตัวอย่างคึกคักพร้อมที่จะออกวิ่ง จนต้องใช้เจ้าหน้าที่หลายคนช่วยหยุดทีมเพื่อรอการจับเวลา

กรรมการเริ่มนับถอยหลัง ๒๐ วินาที musher สาวใหญ่ใช้เท้าเหยียบเบรกซึ่งเป็นแผ่นเหล็กจิกลงบนพื้นน้ำแข็งเพื่อรอเวลา เมื่อถึงเลขศูนย์ musher ก็ยกเท้าขึ้น เบรกเหล็กดีดกลับโดยสปริงตัวใหญ่ สุนัขทุกตัวกระโจนออกวิ่งพุ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่ต้องรอคำสั่ง ดูเหมือนใครปล่อยลูกศรยักษ์ทะยานไปบนพื้นน้ำแข็ง เสียงเชียร์ เสียงปรบมือและผิวปากดังสนั่น เหมือนจะฝากตามเป็นกำลังใจไปจนถึงเส้นชัยในอีก ๑,๖๐๐ กิโลเมตรข้างหน้า จากนั้นทีมอื่น ๆ ก็ทยอยพุ่งตามไป ภาพสุนัขลากเลื่อนทีมแล้วทีมเล่าที่วิ่งห่างออกไป ดูเหมือนลูกศรสีดำค่อย ๆ เลือนหายไปในความขาวของผืนหิมะเบื้องหน้า…

ตกเย็น ผมและร็อกกี้ก็นั่งรถไปยังจุดพักสุนัข (rest stop) จุดแรกที่ North Pole ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๓๐ ไมล์ บริเวณจุดพักดังกล่าวเป็นโค้งแม่น้ำ (แข็ง) ที่ทีมสุนัขลากเลื่อนต้องวิ่งผ่าน และมีบริเวณโล่งกว้างเหมาะกับการตั้งเต็นท์สังเกตการณ์

กระโจมขนาดใหญ่พร้อมเครื่องทำความร้อนถูกตั้งขึ้นสำหรับเจ้าหน้าที่และผู้สื่อข่าว เมื่อเราไปถึง เฮลิคอปเตอร์กำลังวุ่นอยู่กับการพาผู้สื่อข่าวและช่างภาพขึ้น-ลงตลอดเวลา ตรงโค้งแม่น้ำ ทีมสุนัขลากเลื่อนกำลังตีวงเข้าโค้งมาที่จุดพัก หลายทีมแวะพักเพียงครู่เดียวก็ไปต่อ บางทีม musher ก็จะโยนปลาแซลมอนดิบแช่แข็งที่แข็งราวกับหินให้สุนัขตัวละชิ้น บางตัวก็เคี้ยวกินอย่างหิวโหย แต่บางตัวก็ไม่กินอาจจะเพราะเหนื่อย หลังจากนั้นไม่นานทีมสุนัขลากเลื่อนก็ออกเดินทางต่อ

เมื่ออาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ผู้คนที่มาเฝ้าดูการแข่งขันก็เริ่มทยอยกลับ ร็อกกี้จึงชวนผมกลับไปพักรอเวลาที่บ้านของเขาที่ Fairbanks

บ้านของร็อกกี้เป็นบ้านไม้สีขาวชั้นเดียว มีหิมะปกคลุมขาวโพลนไปทั่ว เมื่อไปถึง ร็อกกี้ก็แนะนำให้รู้จักกับภรรยาและไบรอัน–ลูกชายวัย ๔ ขวบแสนน่ารักของเขา ภรรยาของร็อกกี้ไม่พูดพล่ามทำเพลง รีบขอตัวเข้าครัวเพราะรู้ว่าเราสองคนหิวโซกันมาทั้งวัน ปล่อยให้ผมนั่งดูสองพ่อลูกเล่นมวยปล้ำกันอย่างสนุกสนาน ร็อกกี้บอกว่าเขากับลูกชายต้องเล่นกันรุนแรงอย่างนี้ทุกวัน

ไม่นาน สลัดถ้วยใหญ่ก็ถูกเสิร์ฟบนโต๊ะ เราสองคนกินกันอย่างตะกละ จากนั้นภรรยาของร็อกกี้ก็ออกมาจากครัวอีกครั้ง คราวนี้เธออุ้มชามสปาเกตตีมีตบอลชามใหญ่ควันฉุยออกมาด้วย …ผมอยู่อเมริกามาหลายปี เพิ่งจะเคยกินอาหารที่ได้ชื่อว่าแสนจะธรรมดาจานหนึ่งแต่อร่อยที่สุดก็มื้อนี้ ร็อกกี้กำชับผมให้กินเยอะ ๆ เพราะคืนนี้ยังอีกยาวไกล เราจะต้องเดินทางไปยังจุดตรวจจุดแรกที่ชื่อว่า Angel Creek ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเริ่มต้นของการแข่งขันถึง ๗๕ ไมล์

………………………………………

เมื่อได้เวลา ผมกับร็อกกี้ก็ต้อง “แต่งตัว” กันหนาวกันอีกครั้ง ตกค่ำอย่างนี้อากาศคงยิ่งหนาวเย็น ผมชักไม่อยากจะรู้แล้วว่าอุณหภูมิติดลบอยู่เท่าไหร่ เพราะยิ่งรู้ตัวเลข ความหนาวเหน็บก็ดูจะเสียดแทงเข้ากระดูก ตั้งแต่ยังไม่ก้าวออกนอกบ้าน ร็อกกี้สวมเสื้อผ้าหนาขึ้นกว่าเมื่อเช้า ส่วนผมหนาที่สุดเท่าเมื่อเช้า เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมที่จะออกไปเผชิญกับความหนาวที่น่าจะติดอันดับ “หนาวที่สุด” ในชีวิตการเดินทางของผม

ไบรอันเข้านอนแล้ว ผมได้แต่บอกลาและขอบคุณภรรยาของร็อกกี้สำหรับอาหารที่แสนอร่อย พอเปิดประตูได้ ผมกับร็อกกี้ก็รีบวิ่งขึ้นรถตู้ที่จอดอยู่หน้าบ้าน พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสภาพอากาศ (หนาวเย็น) ภายนอกให้มากที่สุด

รถตู้แล่นไปในความเงียบ บนถนนลาดยางที่กว้างแค่พอให้รถวิ่งสวนกันได้ สองข้างทางมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากหน้ารถของเราเท่านั้น รถแล่นมาได้ราวหนึ่งชั่วโมง เราก็สังเกตเห็นแสงริบหรี่เล็ก ๆ จากริมทาง ร็อกกี้ชี้ให้ดูแล้วบอกว่า นั่นคือทีมสุนัขลากเลื่อนที่เข้าร่วมการแข่งขัน แสงไฟที่เห็นมาจากดวงไฟที่ติดอยู่บนหน้าผากของ musher ซึ่งสว่างพอที่จะนำทีมวิ่งไปได้ในยามค่ำคืน

ทีมสุนัขลากเลื่อนแล่นขนานไปกับรถของเราครู่หนึ่งก็ถึงจุดที่จะต้องแล่นตัดข้ามถนน ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้สัญญาณอยู่ เราต้องหยุดรถเพื่อให้ทีมผู้เข้าแข่งขันข้ามผ่านไปก่อน จากนั้นทั้งทีมก็วิ่งหายเข้าไปในราวป่าอันมืดมิด…

เมื่อมาถึงจุดตรวจจุดแรกที่ Angle Creek เพียงวูบแรกที่ก้าวออกนอกรถก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บที่มาพร้อมกับลมแรง เราพบว่าอุณหภูมิขณะนั้นติดลบประมาณ ๓๐ องศาเซลเซียส

บริเวณลานจอดรถมีรถจอดอยู่เต็มจนผมคิดในใจว่าเรามาถึงช้าไปหรือเปล่า ใกล้ ๆ กันมีร้านอาหารและบาร์เล็ก ๆ เปิดอยู่ริมทาง ร็อกกี้เดินนำเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งมีคนอยู่เต็ม ทั้งนักข่าวทีวีและหนังสือพิมพ์กำลังสัมภาษณ์ผู้เข้าแข่งขัน musher บางคนนั่งซดซุปร้อน ๆ โดยที่หนวดเครายังเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง

ร็อกกี้พาผมเดินฝ่าผู้คนมาออกทางด้านหลังร้านซึ่งเป็นลานกว้าง มีดวงไฟสีเหลืองสาดแสงสว่างไสว ผู้คนนับสิบยืนเกาะกลุ่มคุยกัน รวมทั้งช่างกล้องทีวีและลูกมือที่ถือไมค์อันใหญ่ ทั้งหมดกำลังรอคอยแสงไฟดวงเล็กที่จะนำ ๑๕ ชีวิตวิ่งฝ่าความมืดและสายลมอันหนาวเหน็บเข้ามา
จากจุดเริ่มต้น แต่ละทีมจะออกวิ่งห่างกันทุก ๒ นาที แต่จากจุดพักแรก ๓๐ ไมล์ถัดมา ระยะเวลาที่ทีมทิ้งห่างกันจะอยู่ที่ประมาณ ๑๕ นาที เพราะฉะนั้นในจุดตรวจนี้ซึ่งอยู่ห่างออกมา ๗๕ ไมล์ จึงต้องใช้เวลารอแต่ละทีมกว่าอีกเท่าตัว อากาศที่หนาวเหน็บยิ่งหนาวขึ้นไปอีกเมื่อต้องอยู่กลางลมแรง

ครู่ใหญ่ แสงไฟดวงเล็กที่ทุกคนรอคอยก็ปรากฏขึ้นแต่ไกล สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังทิศทางเดียว ช่างกล้องทีวีก้มลงปรับกล้อง เสียง “Ho Ho Ho” ของ musher ที่ทุ้มกังวานฟังคล้ายเสียงซานตาคลอสดังนำเข้ามาก่อนที่ทีมลากเลื่อนจะปรากฏตัว ร็อกกี้บอกว่าเสียงนั้นเป็นเสียงสั่งให้สุนัขหยุดนั่นเอง

เลื่อนแล่นมาหยุดลงตรงจุดตรวจ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการบันทึก และตรวจดูสัมภาระที่ทุกทีมต้องมี ทั้งถุงนอน, เตา (สำหรับละลายหิมะ), ขวาน, ถ่านไฟฉาย ฯลฯ จากนั้น musher ก็เดินไปเอากองฟางมัดใหญ่และถุงอาหารอีกหนึ่งใบใหญ่ขนาดถุงปุ๋ยที่มีชื่อเขียนติดอยู่ เอาทุกอย่างวางบนเลื่อนแล้วเคลื่อนไปหลบพักผ่อนตรงชายป่า

นี่เป็นการหยุดพักทีม (อย่างจริงจัง) ครั้งแรก musher นำฟางมัดใหญ่ที่ดูคล้ายรังนกออกปูกับพื้นน้ำแข็งให้สุนัขทั้ง ๑๔ ตัวนอนพัก จากนั้นก็จัดการกรอกวิตามินหลายเม็ดใส่ปากสุนัขแต่ละตัว ถอดถุงเท้า (สุนัข) ตรวจดูสภาพ ทายา แล้วลงมือนวดขาให้บรรดาลูกทีมทุกตัวทีละข้าง โดยอาศัยเพียงแสงสว่างจากหลอดไฟที่ติดหน้าผากเพียงดวงเดียว โดยไม่มีผู้ช่วยแต่อย่างใด ตามกฎข้อที่ว่าห้ามบุคคลภายนอก (ยกเว้นแพทย์) กระทำการช่วยเหลือใด ๆ แก่ musher รวมทั้งสุนัข

ผมพูดคุยกับ musher เพียงเล็กน้อยเพราะไม่อยากรบกวนเวลา อีกอย่างก็คือปากของผมมันไม่ค่อยจะยอมขยับเอาเสียเลยด้วยความหนาว musher ที่ผมคุยด้วยชื่อ Dave Dalton อายุ ๔๔ ปี เป็นชาวอะแลสกา ช่วงฤดูร้อนเขามีอาชีพสาธิตการบังคับสุนัขลากเลื่อนให้นักท่องเที่ยวชม เดฟเข้าแข่งขัน Yukon Quest ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๑๔ แล้ว เขาบอกว่าพื้นน้ำแข็งที่ลื่นเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้สุนัขได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด หากสุนัขตัวใดในทีมไม่สามารถวิ่งต่อไปได้ ก็จะต้องเอาออกจากการแข่งขันโดยไม่อนุญาตให้เปลี่ยนสุนัขตัวใหม่เข้าไปแทน ทีมที่เข้าแข่งต้องเดินทางต่อไปด้วยสุนัขจำนวนเท่าที่มี จนกว่าจะถึงเส้นชัยหรือถอนตัวออกจากการแข่งขัน เพราะฉะนั้นหัวใจของการแข่งขันจึงไม่ได้อยู่ที่ความเร็ว แต่ขึ้นอยู่กับการรักษาจำนวนสุนัขให้มากที่สุด

คืนนั้นผมรออยู่ที่ Angle Creek จนเที่ยงคืนกว่า แต่ก็ได้เจอกับทีมสุนัขลากเลื่อนเพียงไม่กี่ทีมเท่านั้น ลมยังคงพัดจัดและอุณหภูมิลดต่ำลงเรื่อย ๆ ผมได้แต่ยืนตัวแข็ง ปล่อยให้น้ำมูกใส ๆ ไหลออกมาอย่างไม่สามารถบังคับมันได้ ใบหูและมือแม้จะถูกปกปิดมิดชิดก็ยังเจ็บปวดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เลยพอจะเข้าใจแล้วว่าความหนาวชนิดที่ฝรั่งเรียกว่า “Frost Bite” นั้นเป็นอย่างไร

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมเผชิญอยู่คงเทียบไม่ได้เลยกับบรรดา musher และลูกทีมทั้ง ๑๔ ที่ต้องวิ่งฝ่าความหนาวอันทารุณนี้เพื่อไปให้ถึงเส้นชัย และเท่าที่รู้มา ในอีกสิบกว่าวันข้างหน้า พวกเขาอาจต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่อาจติดลบถึงกว่า ๖๐ องศาทีเดียว

หลังจากนั้นไม่นานร็อกกี้ก็แวะเข้ามาหาและบอกให้เตรียมตัวกลับ ผมเห็นด้วยทันทีเพราะนานหลายชั่วโมงทีเดียว ที่ยืนอยู่กลางที่โล่ง และลมพัดจัดแห่งนี้ ร็อกกี้พาผมกลับที่พัก ส่วนตัวเขาเองต้องกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว เพราะนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เขาจะต้องออกเดินทางติดตามทีมผู้เข้าแข่งขันไป และจะไม่ได้กลับบ้านอีกถึงสิบกว่าวัน

…..

yukon quest 09yukon quest 10

๓.

เช้าวันใหม่ ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตั้งแต่ตีห้า เพราะวันนี้เป็นอีกวันเดียวที่ผมจะไปติดตามการแข่งขันได้ เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างจำกัด

พอรถตู้สีขาวคันเดิมติดสติกเกอร์ “Yukon Quest” และมีรูปรอยเท้าสุนัขแปะอยู่รอบคันรถแล่นมาจอด ผมก็รีบจัดการสวมเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ซ้อนทับเข้าไปอีกหลายชั้น เพราะถ้าใส่ไว้ก่อนตั้งแต่ตอนที่นั่งรออยู่ในห้องพักก็จะร้อนและเหงื่อออกท่วมตัวทีเดียว และหากมาสัมผัสกับความหนาวด้านนอก ความชื้นจากเหงื่อในร่างกายและเสื้อผ้าก็จะยิ่งดูดซับความหนาวยิ่งขึ้นไปอีก

ร็อกกี้ซึ่งมารอรับอยู่ด้านล่างยิ้มทักทายอย่างอารมณ์ดีเช่นเคย คราวนี้เราต้องไปแวะรับผู้สื่อข่าวอีกสามคนเพื่อร่วมเดินทางไปด้วยกัน เนื่องจากจุดพักจุดต่อ ๆ ไปจะยิ่งห่างไกลและกันดารขึ้นทุกที

จุดพักถัดไปคือ Mile 101 ซึ่งอยู่ไกลออกไปกว่า ๑๐๐ ไมล์ เราขับออกจากเมืองแต่เช้ามืด ถนนหนทางเริ่มคดเคี้ยวมากขึ้น สองข้างทางเป็นหุบเขา ทั้งบางช่วงยังต้องไต่ระดับสูงชันน่ากลัว แต่ที่อันตรายกว่านั้นก็คือ หิมะและน้ำแข็งที่ละลายไหลเลื่อนจากสองข้างทาง ลงมากองอยู่บนพื้นถนนเป็นบริเวณกว้าง ยากที่จะขับรถข้ามไปได้ โชคดีที่วันนี้มีการแข่งขันจึงมีรถคอยเกลี่ยหิมะ และดูแลพื้นถนนเพื่อให้รถแล่นผ่านไปได้ ร็อกกี้บอกว่าปรกติพื้นถนนจะถูกเกลี่ยวันละสองครั้งเช้า-เย็นเท่านั้น คนแถวนี้รู้กันดีว่าหากขับรถมาผิดเวลาอาจไม่สามารถแล่นผ่านไปได้ แต่ละปีทางการต้องเสียงบประมาณไปเป็นจำนวนมากในการนี้

หิมะและน้ำแข็งที่เริ่มละลายไม่ใช่เพียงกีดขวางถนน หากยังเป็นอุปสรรคสำคัญและเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อทีมผู้เข้าแข่งขันด้วย อุณหภูมิที่สูงขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูหนาว ทำให้พื้นน้ำแข็งบนผิวแม่น้ำบางช่วงที่เป็นเส้นทางแข่งขันบางลงและเปราะแตกง่าย เมื่อทีมวิ่งผ่าน แผ่นน้ำแข็งอาจเปราะแตกและยุบตัวลง ทำให้น้ำเย็นจัดใต้ผืนน้ำแข็งไหลทะลักขึ้นมา ถ้าโชคดีวิ่งพ้นไปได้ สุนัขก็อาจจะเพียงเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความเร็วลดลงและต้องใช้พลังงานมากขึ้น แต่หากทีมใดโชคร้ายเกิดพลัดตกลงในน้ำ ก็คงยากแก่การกู้กลับขึ้นมา…

ท้องฟ้าวันนี้ไม่เป็นสีฟ้า ดวงอาทิตย์ยังคงถูกเมฆหมอกคลุมไปทั่ว ร็อกกี้จอดรถริมทางชี้ให้ดูทีมที่วิ่งอยู่ข้างล่าง บนธารน้ำแข็งที่เวิ้งว้างเย็นเยียบบริเวณหุบเขาที่ไกลออกไป มีเพียงสีขาวของหิมะตัดกับสีดำของต้นไม้ที่ไร้ใบกับต้นสนที่ขึ้นเลาะริมฝั่งแม่น้ำ โดยมีเทือกเขาขาวโพลนเป็นฉากใหญ่อยู่ด้านหลัง เรานั่งรถผ่านอีกสามสี่ทีมด้านล่างก่อนที่จะถึง Mile 101

Mile 101 เป็นพื้นที่ราบกว้างใหญ่ มีกระต๊อบเล็ก ๆ หนึ่งหลังเป็นที่ทำการชั่วคราว ข้างในมีโต๊ะเล็ก ๆ หนึ่งตัวและชั้นวางของซึ่งมีกระติกน้ำร้อนและชากาแฟตั้งอยู่ สามารถรับรองแขกได้ครั้งละไม่เกินหกคน

แท็งก์น้ำร้อนขนาด ๑,๐๐๐ ลิตรตั้งอยู่กลางที่โล่งพ่นไอกรุ่นสู้กับลมหนาว เมื่อเราไปถึง ทีมผู้เข้าแข่งขันนับสิบทีมที่เดินทางมาถึงก่อน นอนพักเรียงเป็นแถวยาวอย่างเป็นระเบียบ สุนัขนับร้อยนอนนิ่งด้วยความอ่อนเพลียบนกองฟาง musher บางคนกำลังให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว ขณะที่หลายคนยังวุ่นอยู่กับการดูแลสุนัข บ้างก็กำลังเตรียมอาหารสุนัขคลุกกับก้อนไขมันราดด้วยน้ำร้อน อาหารที่อุดมด้วยไขมันจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสุนัขในทีม รวมทั้ง musher ด้วย

เมื่อเฮลิคอปเตอร์ร่อนลง คราวนี้ก็ถึงคิวผมและช่างภาพอีกสามคน ผมถูกเรียกให้ขึ้นไปนั่งด้านหน้าคนเดียว รู้สึกตื่นเต้นเพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ในอะแลสกา

เมื่อเครื่องทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ภาพที่เห็นคือภาพทิวทัศน์ขาว-ดำสุดสายตาของหิมะและต้นไม้ ผมสอดส่ายสายตามองหาสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องล่าง พยายามนึกถึงขนาดและความยาวของทีมที่จะเห็นได้ในช่องมองภาพของกล้อง เพราะตามกฎที่ทางผู้จัดการแข่งขัน Yukon Quest วางไว้ นักบินจะต้องบินห่างจากทีมอย่างน้อย ๑,๐๐๐ ฟุต (๔๐๐เมตร) ไม่ว่าจะทางด้านบนหรือด้านข้าง

ครู่ใหญ่ นักบินก็ชี้ให้ดูเส้นสีดำยาว และเล็กขนาดไม้จิ้มฟันเบื้องล่าง ที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเมื่อเทียบกับพื้นที่อันกว้างใหญ่ เฮลิคอปเตอร์ร่อนต่ำแล้วเอียงลงด้านซ้าย ก่อนจะวนอีกรอบแล้วเอียงขวา เพื่อให้คนที่นั่งอยู่ทั้งสองด้านมีโอกาสได้เก็บภาพเท่า ๆ กัน เรามีโอกาสได้เห็นผู้เข้าแข่งขันสองทีมวิ่งไล่ตามกันมาติด ๆ จนดูไกล ๆ อย่างนี้แทบจะกลายเป็นทีมเดียวกัน บางทีมก็กำลังข้ามบึงน้ำ (แข็ง) สีเขียวมรกต

ฟ้าในยามบ่ายยังคงฝ้ามัว นักบินยังตระเวนหาทีมอื่น ๆ ที่เบื้องล่าง พลาสติกใสแผ่นใหญ่ตรงที่วางเท้าทำให้มองเห็นอีกทีมหนึ่ง เบื้องหน้าไกล ๆ เป็นยอดเขาสูงที่เรียกว่า Eagle Summit ความสูง ๓,๖๕๐ ฟุตจากระดับน้ำทะเล- -นั่นเป็นยอดเขาที่ทุกทีมจะต้องพิชิตหลังจากหยุดพักในคราวนี้

ก่อนที่จะกลับ นักบินก็บินวนให้เราถ่ายภาพเหนือบริเวณ Mile 101 ที่สุนัขหลายร้อยตัวนอนนิ่งอยู่เป็นทิวแถว …เป็นการพักผ่อนให้ร่างกายพร้อมก่อนที่จะต้องเผชิญกับความสูงชันของ Eagle Summit ในค่ำคืนนี้

…………………………………….

พอลงจากเฮลิคอปเตอร์ เราก็สวนทางกับเด็ก ๆ กลุ่มใหญ่ที่เดินถือโปสเตอร์ Yukon Quest มาเป็นปึก และกำลังพยายามไล่ล่าลายเซ็นของ musher ให้ครบทุกคน–นี่คงเป็นกิจกรรมยอดฮิตของเด็กที่นี่

ร็อกกี้ชวนผมไปเยี่ยมเยียนพูดคุยกับผู้คนแถวนั้น ซึ่งหลายคนเมื่อเห็นชุดกันหนาวเต็มยศ (เท่าที่มี) ของผม ก็ถึงกับส่ายหน้า เดินไปคว้าเสื้อกันหนาวหนาหนักของเขาออกมาให้ผมยืมใส่ แม้มันจะดูเทอะทะเพราะใหญ่กว่าที่ผมใส่อยู่หลายเท่า แต่ทุกคนก็บอกว่ากำลังดีแล้ว เพราะถ้าหากยังขืนใส่ตัวเดิมต่อไป เห็นทีจะไปไม่รอดแน่ นอกจากเสื้อแล้วก็ยังมีถุงมืออย่างหนา และที่สำคัญที่สุดคือ bunny boot สีขาวที่ทั้งใหญ่ทั้งหนัก รองเท้าดังกล่าวถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ สำหรับกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องใช้เวลานานในฤดูหนาว ผมเคยเห็นภาพตัดขวางของรองเท้าชนิดนี้ในร้านรองเท้าแห่งหนึ่ง พื้นรองเท้ามีแผ่นโลหะกั้นอยู่ ภายในบุด้วยเส้นใยหนาอีกสองชั้น แม้มันจะหนักและไม่กระชับเท้า (ใหญ่ไปหนึ่งเบอร์) แต่เมื่อเทียบกับรองเท้ากันหนาวที่ผมใส่อยู่ มันก็คงดีกว่ามาก เพราะเท่าที่ผ่านมา เพียงอยู่กลางแจ้งไม่ถึงชั่วโมง เท้ายังเย็นและปวดสุดจนจะทน

วันทั้งวันจากเช้าจรดเย็นที่ผมเดินตระเวนถ่ายภาพ musher และบรรดาสุนัข แทบไม่น่าเชื่อว่าผมจะสามารถอยู่กลางที่โล่งและหนาวเหน็บ เป็นเวลาไม่ต่ำกว่าแปดชั่วโมงได้โดยไม่แข็งตายไปเสียก่อน ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องยกความดีให้แก่ชาวบ้านผู้มีน้ำใจ หากไม่โดนบังคับให้ใส่เครื่องกันหนาวเหล่านี้ด้วยความเมตตา ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าสภาพของตัวเองตอนนี้จะเป็นเช่นไร…

musher หลายคนที่มาถึงก่อนและพักผ่อนเพียงพอแล้วเริ่มเตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้ง โดยทั่วไป หากทีมวิ่งมาเป็นระยะเวลา ๕ ชั่วโมง เมื่อหยุดพัก ก็ต้องพักเป็นเวลา ๕ ชั่วโมงเช่นกัน จนเมื่อไปได้ครึ่งทาง แต่ละทีมจึงจะใช้เวลาหยุดพักนาน ๓๖ ชั่วโมง บรรดาลูกทีมนั้น หลังจากกินอิ่มนอนหลับพักผ่อนเต็มที่ก็ดูคึกคักมีกำลังวังชาขึ้นมาทันที บ้างก็เห่าหอน ทะเลาะกันเองบ้าง หรือไม่ก็ไปหาเรื่องเอากับทีมข้าง ๆ จน musher ต้องเข้ามาห้ามปราม

ดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ผมต้องแยกทางกับร็อกกี้และคนอื่น ๆ ที่จะติดตามทีมต่อไป วันพรุ่งนี้อีกหนึ่งวันเท่านั้นที่ทีมงานยังมีโอกาสใช้รถ เพราะถนนจะไปสุดที่ Circle City ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ ๑๕๐ ไมล์ จากนั้นทีมงานทั้งหมดจะต้องเดินทางด้วยเครื่องบินเล็กและหรือติดตามทีมผู้เข้าแข่งขันด้วย snow mobile

ผมบอกลาร็อกกี้และขอบคุณเขาด้วยใจจริง สำหรับความช่วยเหลือมากมายตลอดหลายวันที่ผ่านมา ร็อกกี้แนะนำให้ผมรู้จักกับ Brian Patrick O” Donoghue เพราะผมต้องติดรถเขากลับ Fairbanks ไบรอันเคยเข้าแข่งขัน Yukon Quest เมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนการเขียนอยู่ที่University of Alaska at Fairbanks (UAF)

เราออกจาก Mile 101 เมื่อหลายทีมทยอยกันออกเดินทาง อีกร่วม ๑๐๐ ไมล์กว่าจะถึงที่พัก ฟ้าเริ่มครึ้ม บนถนนสายเล็ก ๆ ไม่มีอะไรให้ดูนอกจากความมืดมิด ขับมาได้ครึ่งทาง หิมะก็เริ่มโปรยปรายและดูจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ –ค่ำคืนอย่างนี้ กับการเดินทางที่มีเพียงดวงไฟเล็กส่องนำทาง หิมะที่ตกหนักจะสะท้อนแสงไฟตัดกับความมืดมิด จนทำให้ทัศนวิสัยที่แย่อยู่แล้วยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก ไบรอันถอนใจและเปรยว่าทีมสุนัขต้องเผชิญกับอุปสรรคถึงสองสิ่งพร้อมกัน

 

…………………………………………………………….

คืนนั้นเมื่อกลับเข้าที่พัก หิมะยังคงตกหนักอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง นึกเห็นภาพทีมสุนัขแต่ละทีมกำลังต่อสู้และฟันฝ่าความชันของ Eagle Summit ท่ามกลางความมืดมิดและหิมะที่โปรยปราย นึกถึงดวงไฟเล็ก ๆ เพียงหนึ่งดวงที่จะต้องฉายแสงนำทาง ๑๕ ชีวิตไปกว่าจะถึงจุดหมาย…

บางที ระยะทาง ความยากลำบาก และแม้แต่ชัยชนะ อาจไม่ได้พิสูจน์อะไรมากไปกว่าความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่าง musher กับลูกทีมทั้ง ๑๔ ของเขา

Many Thanks To: :

  • Asta Spurgis & Family
  • Robert & Carole Chambers
  • Leroy Zimmerman
  • Ulricke Haug
  • Rocky Barnette & Family
  • Brian Patrick O” Donoghue