จุดจบของคานธีแม่ลูก

“ถ้าวันนี้ฉันตาย เลือดทุกหยดของฉันจะหล่อเลี้ยงประเทศชาติ”

 อินทิรา คานธี (๒๔๖๐-๒๕๒๗)

เชื่อได้ว่า ทุกคนที่เดินเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์อินทิรา คานธี คงสะดุดกับคำพูดซึ่งปรากฏบนกำแพงในอาคารสีขาวที่เคยเป็นบ้านพักของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศอินเดียในกรุงนิวเดลี และเป็นสถานที่ซึ่งเธอถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๗  ต่อมาทางการได้บูรณะให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และเปิดให้ผู้คนเข้าไปศึกษาเรื่องราวของนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่

เมื่อผมเดินเข้าไปภายใน ห้องแรกที่เห็นผ่านกระจก คือห้องทำงานของท่านที่ยังคงรักษาเครื่องใช้ เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่ดูมีรสนิยมในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่  นอกจากโต๊ะทำงานและเก้าอี้รับแขกศิลปะยุคอาร์ตเดโคแล้ว ยังเต็มไปด้วยหนังสือจำนวนมาก และแขวนภาพถ่ายของท่านในอิริยาบถต่างๆ อาทิภาพถ่ายกับคุณพ่อ ยะวาฮาร์ลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย

นางอินทิรา คานธี เกิดในตระกูลเนห์รูซึ่งเป็นชนชั้นขุนนางเก่าแก่มาตั้งแต่ราชวงศ์โมกุลของอินเดีย ครอบครัวมีการศึกษา มีฐานะร่ำรวย  นางจบการศึกษาจากประเทศอังกฤษ สนใจการเมืองมาตั้งแต่เป็นเด็ก ได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวประท้วงต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชจากการตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ  นางได้สมรสกับนายเฟโรซ คานธี ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวดองกับมหาตมะคานธี  และเมื่อคุณพ่อได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย ลูกสาวคนนี้ทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัว ก่อนจะเข้าสู่สนามการเมือง ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาของพรรคคองเกรส

ผมเดินผ่านไปยังห้องอาหาร ห้องรับแขก เห็นภาพนางกับผู้นำประเทศต่างๆ ที่มาเยือน และที่สะดุดตาคือภาพถ่ายในวันที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี ๒๕๐๙  นางอินทิราเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๓ ของอินเดีย และเป็นนายกรัฐมนตรีผู้หญิงคนแรกของอินเดียด้วย

แม้นักการเมืองผู้ชายในพรรคคองเกรสจะมองว่านางเป็นนักการเมืองไร้เดียงสา คิดใช้นางเป็นหุ่นเชิดสักประเดี๋ยว ทั้งตั้งฉายานางว่า “กูกี กูดิยา”หรือ “ตุ๊กตาหน้าโง่”แต่ภายในเวลาไม่กี่ปี อินทิราก็ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีผู้ทรงอิทธิพลของประเทศค่ายประชาธิปไตยขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศนี้ถึง ๔ สมัย

ในปี ๒๕๑๔ หญิงเหล็กแห่งอินเดียผู้นี้ก็ทำให้โลกสะเทือนด้วยการทำสงครามกับปากีสถานเพื่อช่วยปากีสถานตะวันออกที่ต้องการแยกตัวเป็นเอกราช จนในที่สุดก็ประสบชัยชนะ ปากีสถานตะวันออกเปลี่ยนเป็นประเทศบังกลาเทศ  ต่อมานางอินทิรายังกล้าท้าทายมหาอำนาจอันดับ ๑ ของโลก ด้วยการหันเหนโยบายต่างประเทศไปคบกับสหภาพโซเวียต เพื่อคานอำนาจกับปากีสถานที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา

ปี ๒๕๑๗ อินเดียก็สั่นสะเทือนโลกอีกครั้ง เมื่อนางอินทิราประกาศว่าอินเดียประสบความสำเร็จในการทดลองระเบิดนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกใกล้พรมแดนกับปากีสถาน ภายใต้รหัสลับว่า “พระพุทธเจ้าแย้มพระโอษฐ์”

การดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบดุดันทำให้ทั่วโลกต้องจับตามองบทบาทของหญิงเหล็กผู้นี้ แต่ภายในประเทศเอง นางอินทิราหว่านโปรยนโยบายประชานิยมด้วยโครงการสังคมสงเคราะห์ที่เรียกว่า “ขจัดความยากจน”จนได้รับความนิยมจากคนอินเดียจำนวนมาก ส่งผลให้นางได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรียาวนานถึง ๑๖ ปี

ในด้านเศรษฐกิจ นางริเริ่มการปฏิวัติเขียว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่อินเดีย ด้วยการปรับปรุงคุณภาพพันธุ์พืช และเปลี่ยนอินเดียให้เป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรจากที่เคยเป็นผู้ขอรับความช่วยเหลือด้านอาหาร  รวมทั้งเพิ่มการผลิตน้ำนมให้มีปริมาณเพียงพอแก่การบริโภคของชาวอินเดีย จนเรียกว่าการปฏิวัติสีขาว

แต่อีกด้านหนึ่ง นางอินทิราได้นำยุคมืดของประชาธิปไตยมาสู่ผู้รักเสรีภาพ  ในสมัยของนาง นักการเมืองฝ่ายค้านถูกลอบสังหารอย่างโหดเหี้ยม ผู้ประท้วงถูกจับกุมอย่างไร้เหตุผล ปัญหาชนกลุ่มน้อยถูกจัดการด้วยความรุนแรง และสื่อหนังสือพิมพ์ที่เคยมีเสรีภาพเต็มที่ก็ถูกเซนเซอร์จากเจ้าหน้าที่ของรัฐ

ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองกล่าวว่า นางอินทิรารู้จักความสำคัญของอำนาจ และรู้จักการใช้อำนาจมากกว่านักการเมืองคนอื่นๆ

ความเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดของนางอินทิราขึ้นสู่จุดสูงสุดในเดือนมิถุนายน ๒๕๒๗ เมื่อกลุ่มชาวซิกข์ในรัฐปัญจาบเรียกร้องเอกราชเพื่อจัดตั้งรัฐซิกข์ขึ้นทางตอนเหนือของอินเดีย  นางอินทิราใช้มาตรการรุนแรงด้วยการส่งกองทัพอินเดียเข้าปราบปรามชาวซิกข์ที่ยึดวิหารทองคำในเมืองอมฤตสาร์เป็นฐานที่มั่น ส่งผลให้ชาวซิกข์ถูกฆ่าตายจำนวนมาก และวิหารทองคำอันเปรียบเสมือนเมกกะของชาวซิกข์เสียหายหนัก สร้างความโกรธแค้นในใจชาวซิกข์อย่างเงียบๆ

ผมสังเกตเห็นส่าหรีภายในห้องหนึ่งยังมีรอยเปื้อนเลือด อ่านคำบรรยายได้ความว่าเป็นชุดที่นางอินทิราใส่เป็นวันสุดท้าย และตรงทางเดินก่อนจะออกพ้นประตูใหญ่ ปิดทับไว้ด้วยกระจกกับข้อความว่า ณ ตรงนี้ นางอินทิรา คานธี ถูกองครักษ์ชาวซิกข์ ๒ คนลอบสังหาร เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๗

นางอินทิรา คานธี ถูกองครักษ์ชาวซิกข์ ๒ คนลอบสังหารบริเวณทางเดินหน้าบ้านพัก ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๗

เศษเสื้อผ้าของ ราจีฟ คานธี เมื่อถูกระเิบิดพลีชีพ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๓๔

ราจีฟ คานธี

วันนั้นนางถูกกระสุนปืนถึง ๓๐ กว่านัด และเสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาล อันเป็นผลจากความต้องการแก้แค้นที่นางสั่งให้กองทัพอินเดียบุกวิหารทองคำ  แต่เมื่อคนอินเดียทราบว่านายกรัฐมนตรีหญิงได้จากไป การจลาจลก็เกิดขึ้น มีการไล่เข่นฆ่าชาวซิกข์ตายไปมากกว่า ๔,๐๐๐ คน

ผมเดินต่อไปอีกห้องหนึ่ง เรียกว่าห้องราจีฟ คานธี นักการเมืองหนุ่ม ลูกชายคนโตของนางอินทิรา คานธี อดีตนักบินสายการบินแอร์อินเดีย ผู้ไม่เคยคิดจะเป็นนักการเมือง จนกระทั่งเมื่อนายสัญชัย น้องชายผู้เป็นทายาททางการเมืองของนางอินทิราประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจากเครื่องบินตก ทำให้เขาต้องมารับตำแหน่งทายาททางการเมืองแทน และเมื่อนางอินทิราถูกลอบสังหารอย่างไม่มีใครคาดฝัน ราจีฟ คานธี ก็ได้รับเลือกจากพรรคคองเกรสให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีแทนแม่ ด้วยวัยเพียง ๔๐ ปี

ภายในห้องนี้จัดแสดงภาพนายกรัฐมนตรีหนุ่มที่สุดขณะออกพบปะประชาชน และภาพถ่ายส่วนตัวของเขาซึ่งนับว่าเป็นผู้มีฝีมือในการถ่ายภาพมาก  ตลอดสมัยของราจีฟ ผลงานอาจจะไม่ได้โดดเด่น แต่ด้วยฐานะลูกชายของนางอินทิรา และนโยบายประชานิยมที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาดำรงตำแหน่งจนครบวาระ แต่เมื่อเขาคิดจะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง ความตายก็มาถึงตัวเขาทันที

ในห้องนั้นมีตู้กระจกหนึ่งใบ ภายในแสดงภาพเศษเสื้อผ้า รองเท้าอันขาดวิ่น  และคำบรรยายบอกว่า เสื้อผ้าและรองเท้าที่ราจีฟ คานธี ใส่ในวันสุดท้าย อันเป็นผลจากการลอบวางระเบิด

๒๑ พฤษภาคม ๒๕๓๔ เมื่อ ราจีฟ คานธี มาหาเสียงที่รัฐทมิฬนาฑู ทางภาคใต้ของอินเดีย หญิงสาวชาวทมิฬได้ผูกระเบิดพลีชีพเข้าไปใกล้ตัวเขา และกดระเบิดทันที เป็นการแก้แค้นแทนชาวทมิฬในประเทศศรีลังกาที่ครั้งหนึ่งราจีฟเคยส่งทหารอินเดียเข้าไปเปิดศึกกับชาวทมิฬ เพื่อหวังยุติสงครามกลางเมืองระหว่างชาวสิงหลกับชาวทมิฬ

ทุกวันนี้ พิพิธภัณฑ์อินทิรา คานธี มีผู้เข้าชมวันละร่วมหมื่นคน ส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดียที่ยังให้ความเคารพนางอินทิรา คานธี ในฐานะหญิงเหล็ก นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลก จนสามารถนำอินเดียให้กลายเป็นประเทศมหาอำนาจได้สำเร็จ

ศึกษาตระกูลของนักการเมืองใหญ่ๆ ของโลกค่ายประชาธิปไตย แล้วจะรู้ว่าจุดจบไม่ค่อยต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเคนเนดี หรือตระกูลคานธี

Comments

  1. Pingback: ฉบับที่ ๓๓๔ ธันวาคม ๒๕๕๕

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.