Click here to visit the Website
กลับไปหน้า สารบัญ

 

โ ล ก สี ดำ ข อ ง เ ห ยื่ อ อุ ต ส า ห ก ร ร ม
กุลธิดา สามะพุทธิ : รายงาน / ฝ่ายภาพสารคดี : ภาพ

โลกสีดำของเหยื่ออุตสาหกรรม

    ดูเหมือนผู้ที่เดินขึ้นไปบนตึกคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๓ เพื่อร่วมการสัมมนาเรื่อง "กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรม" จะเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าโลกย่อมกลายเป็นสีดำจากสิ่งที่ได้ยินในวันนี้ แต่สำหรับ "วิทยากร" หลายท่านที่ถูกเชิญมาเล่าเรื่อง โลกของเขาและเธอนั้นดำมืด ด้วยความหม่นเศร้ามาเนิ่นนานแล้ว และยังคงต้องอยู่กับมันต่อไปแม้เมื่องานสัมมนาจบลง

      รัศมี ศุภเอม เด็กสาวที่กระโดดลงมาจากชั้น ๓ ของโรงงานเคเดอร์เพื่อหนีตายจากเหตุการณ์ไฟไหม้ (๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๖) ยังจะต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันร่างอันผอมบาง ที่พิการเนื่องจากกระดูกสันหลังหักไปตลอดชีวิต, คนงานที่ท่าเรือคลองเตย ต้องอยู่ในสภาพที่แร้นแค้นและทนทุกข์ กับโรคภัยหลังเกิดเหตุคลังเก็บสารเคมีระเบิด (๒ มีนาคม ๒๕๓๔), การะเกตุ อดีตคนงานบริษัททรงชัยปั่นทอ ต้องทนเหนื่อยแทบขาดใจ แม้จะทำกิจกรรมเบา ๆ อย่างเดินหรือพูด ปอดของเธอถูกทำลายไป ๗๐ เปอร์เซ็นต์ เหลือที่ใช้การได้เพียง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ด้วยโรคปอดอักเสบ บิสซิโนซีส จากฝุ่นฝ้ายในโรงงานที่เธอเคยทำงานอย่างถวายชีวิต เพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงแม่, เอกสิทธิ์ ชูจิต อดีตคนงานโรงงานอุตสาหกรรมกรดมะนาว มีอาการแสบผิวหนังอย่างรุนแรงอยู่เสมอ เนื่องจากได้รับพิษสะสมจากกรดมะนาวในโรงงาน ทุกวันนี้ไม่สามารถออกนอกบ้าน หรือโดนแสงแดดนาน ๆ ได้เลย เขาพูดถึงชีวิตเพียงสั้น ๆ ว่า "จะตายก็ไม่ตาย" และอีกหลายคนต้องกลับไปทำงานในโรงงานที่อับทึบ ชื้นแฉะ ร้อนอ้าว สูดเอาฝุ่นฝ้าย กลิ่นกำมะถันหรือสารเคมีอื่น ๆ เข้าสู่ปอดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
    ทั้งหมดนี้เป็นเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของ "โรคจากการทำงาน" ที่เกิดขึ้นกับแรงงาน ในภาคอุตสาหกรรมจำนวนหลายล้านคน
    งานวิจัยของสำนักกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) บอกว่า แรงงานในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นจากประมาณ ๓ แสนคนในปี ๒๕๑๗ มาเป็นเกือบ ๖ ล้านคนในปี ๒๕๔๐ พร้อมกันนั้นจำนวนคนงานที่ประสบอันตรายจากการทำงานก็เพิ่มขึ้นถึง ๗๒ เท่า
    จุดหมายของการสัมมนากลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรม ซึ่งจัดโดยองค์กรพัฒนาเอกชน และนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องแรงงาน เช่น มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงาน และสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย กลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม นอกจากเพื่อเรียกร้องให้มีการออกพระราชบัญญัติ จัดตั้งสถาบันคุ้มครองสุขภาพ ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการ, เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการต่อสู้ของคนงานและชุมชน ที่ได้รับผลกระทบจากโรงงาน / นิคมอุตสาหกรรมแล้ว ยังเป็นการรำลึกครบรอบเจ็ดปี ของโศกนาฏกรรมไฟไหม้โรงงานเคเดอร์ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีอีกด้วย
    โลกของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม เต็มไปด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย อันเนื่องมาจากปัญหาความปลอดภัยในการทำงาน และโรคที่เกิดจากการทำงาน เช่น อาการเจ็บป่วยของกล้ามเนื้อ, โรคผิวหนัง, โรคปอด, ได้รับพิษจากสารอันตราย เนื่องจากนายจ้างไม่จัดหาวัสดุสำหรับป้องกันให้ และความป่วยไข้ของคนงานย่อมส่งผลร้ายต่อครอบครัวด้วย ลูก ๆ ของพวกเขาต้องออกจากโรงเรียน ไม่มีเงินส่งกลับไปให้พ่อแม่ที่ชนบท ครอบครัวแตกแยกจากความกดดันทางเศรษฐกิจ และสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้าย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ป่วยด้วยโรคจากการทำงาน มักถูกคนใกล้ชิด และนายจ้างกล่าวหาว่าขี้เกียจ ไม่ยอมทำงาน ด้วยโรคที่เกิดกับคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม มักมีผลต่อระบบการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย ซึ่งไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน เหมือนอย่างความพิการภายนอกร่างกาย ที่เกิดจากอุบัติเหตุจากการทำงาน
    แต่เรื่องราวอันร้ายแรงเหล่านี้มักไม่เป็นที่รับรู้มากนัก เหตุผลคงไม่ได้เป็นเพียงเพราะ "คนไทยมีความอดทนสูงกว่าชนชาติอื่น เมื่อเริ่มมีอาการเจ็บป่วย และยังสามารถทำงานได้ก็จะทำงานต่อไปโดยไม่ไปพบแพทย์" ตามที่เจ้าหน้าที่สำนักงานกองทุนทดแทน กระทรวงแรงงาน เคยกล่าวไว้เมื่อหลายปีก่อน แต่นักวิจัยของ สกว. พบว่า นายจ้างมักจะไม่ให้ความร่วมมือ ในการตรวจสอบสภาพแวดล้อมของสถานประกอบการ และมีการกดดันให้ลูกจ้างบอกข้อมูลเท็จกับแพทย์ เพราะกลัวภาพพจน์ของบริษัทเสียหาย รวมทั้งทำให้ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน ให้กองทุนเงินทดแทนเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนคนงานเองก็ไม่กล้าไปพบแพทย์ เพราะกลัวจะรู้ว่าตัวเองป่วย และไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งหมายถึงรายได้จะขาดหายไป ซ้ำร้าย แพทย์ส่วนมากยังไม่ยอมวินิจฉัยให้ชัดเจนว่า อาการของคนงานที่มาตรวจนั้น เป็นโรคที่เกิดจากการทำงาน ผลก็คือ จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคจากการทำงานมีน้อยกว่าความเป็นจริง
    "โรคปอดชนิดหนึ่งมีชื่อว่า 'ซิลิโคซิส' ซึ่งเกิดจากการหายใจเอาฝุ่นซิลิกาเข้าไปเป็นประจำ กระทรวงแรงงานฯ คาดว่ามีคนงานป่วยด้วยโรคนี้มากกว่า ๑ หมื่นราย แต่กองทุนเงินทดแทนรายงานว่าในปี ๒๕๔๐ มีคนงานป่วยด้วยโรคนี้เพียงเจ็ดราย (น้อยกว่าที่ควรจะเป็นถึง ๑,๖๐๐ เท่า)" งานวิจัยของ สกว. ระบุ
    "กองทุนเงินทดแทน" ที่งานวิจัยชิ้นนี้กล่าวถึง เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๑๗ ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสำนักงานกองทุนเงินทดแทน กฎหมายกำหนดให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนทดแทนปีละไม่เกิน ๕ เปอร์เซ็นต์ของค่าจ้างในปีนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพความเสี่ยงภัยของลูกจ้าง สกว. พบว่าล่าสุดจำนวนเงินที่นายจ้างจ่ายจริงคิดเป็น ๐.๒-๑ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
    จากการสัมมนาในครั้งนี้เรายังได้รับรู้อีกด้วยว่า บ่อยครั้งที่ลูกจ้างไปเรียกร้องค่าชดเชยจากกองทุนทดแทน  แต่ถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลสูงเกินไป ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของแพทย์ที่ลูกจ้างไปตรวจรักษา ตัดสินว่าคนงานป่วยไม่หนักจริง เช่น กรณีของการะเกตุซึ่งเหลือปอดอยู่เพียง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ กองทุนเงินทดแทนไม่ยอมอนุมัติเงินค่าชดเชยเป็นเวลาห้าปีตามที่แพทย์ประเมินให้ โดยอ้างว่าการะเกตุยังสามารถดูทีวี ฟังวิทยุ เดินได้ กินได้ เงินชดเชยห้าปีจะจ่ายให้เฉพาะคนที่ตายแล้ว หรือนอนอยู่บนเตียง ทำอะไรไม่ได้เลยเท่านั้น
    "กองทุนเงินทดแทนปัจจุบันนี้มีไว้สวยหรู มีกระทรวงแรงงานใหญ่โตโอ่อ่า น่าอุ่นใจ มีกองตรวจความปลอดภัยอย่างดี แต่จริง ๆ แล้วช่วยอะไรพวกเราไม่ได้เลย คนงานไปเรียกร้องค่าชดเชยก็ยากเย็นเหลือเกิน สำนักงานกองทุนฯ คิดแต่จะรักษาผลประโยชน์ให้นายจ้าง และทำให้กองทุนฯ ใหญ่โตมาก ๆ จะจ่ายอะไรกับลูกจ้างอย่างเราต้องบวกลบคูณหาร ต้องให้ได้กำไร... " สมบุญ ศรีคำดอกแค ผู้ประสานงานสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงาน อดีตคนงานในโรงงานทอผ้า ซึ่งปัจจุบันป่วยเป็นโรคปอดอักเสบจากฝุ่นฝ่ายอยู่เช่นกัน กล่าวในที่ประชุมด้วยความอัดอั้น
    แต่ความทุกข์ของแรงงานเหล่านี้กลับไม่ค่อยได้รับความสนใจ และช่วยเหลืออย่างจริงจัง บางครั้งก็ถูกรับรู้ ราวกับเป็นเพียงนิยายชีวิตต้องสู้สักเรื่องหนึ่งเท่านั้น
    "เราใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบเส้นทางสายเดียว คือ เดินเข้าไปสู่โรงงาน" รศ. แล ดิลกวิทยรัตน์ ผู้อำนวยการ ศูนย์พัฒนาแรงงานและการจัดการ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชี้ให้เห็นถึงที่มาของพิษภัยจากอุตสาหกรรม "อุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในบ้านเราเป็นอุตสาหกรรมแบบต่อยอด หรือเรียกว่าเป็นอุตสาหกรรมประเภท 'ยกโรงงานมาตั้ง' เราไม่คุ้นเคยกับมันมาตั้งแต่ต้น ไม่เคยลองผิดลองถูก เมื่อเกิดปัญหาจึงไม่รู้วิธีที่จะจัดการกับมัน ขณะที่ประเทศตะวันตกมีประสบการณ์ ๒๐๐ ปีในการลองผิดลองถูกกับมัน นับตั้งแต่เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป
    "คำว่า 'การพัฒนา' แปลว่า 'โรงงาน' เท่านั้น อย่างอื่นไม่สามารถเรียกได้เลยว่าเป็นการพัฒนา โรงงานเท่านั้นคือคำตอบ และในการสร้างโรงงานก็ต้องการทุน ประเทศไทยจึงเกิดอาการที่เรียกว่า 'โรคหิวทุน' เมื่อเกิดโรคนี้อย่างอื่นจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นข้อยกเว้น ไม่มีความสำคัญไปเสียทั้งหมด"
    ผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออุตสาหกรรมหลายคนที่เข้าร่วมแลกเปลี่ยนในวันนั้น ถือว่าเรื่องร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้นเป็นผลมาจาก "เวรกรรม" ความพิการ โรคร้ายและความยากไร้ที่ต้องพบเจอ ก็เป็นเรื่องของการ "ชดใช้กรรม" แต่นักวิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชน ที่ทำงานด้านแรงงานต่างก็ยืนยันตรงกันว่า นี่ไม่ใช่เรื่องของเวรกรรม แต่เป็นเรื่องของการที่ชนชั้นแรงงาน ตกเป็นผู้ถูกกระทำ ทั้งจากนายจ้าง และจากนโยบายของรัฐ ที่ไม่ใส่ใจกับสุขภาพและความปลอดภัยของคนงาน ทั้ง ๆ ที่คนกลุ่มนี้ น่าจะเข้าใจในสิ่งที่ประธานสภาองค์การลูกจ้าง สภาแรงงานแห่งประเทศไทย เคยพูดไว้ว่า "แรงงานจะมีคุณภาพได้ แรงงานจะต้องมีสุขภาพที่ดี การต่อสู้เพื่อให้แรงงานมีสุขภาพแข็งแรง และมีความปลอดภัยในการทำงานย่อมเป็นประโยชน์ต่อนายจ้าง และทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นด้วย" แต่ทั้งนายจ้างและรัฐบาล ก็ยังทำเหมือนไม่เข้าใจในเรื่องง่าย ๆ อย่างนี้ และปล่อยให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นกับคนงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า
 สนับสนุน หรือ คัดค้าน
เงินกู้, ADB และแผนปรับโครงสร้างภาคเกษตรกรรม
โครงการ ขุดคอคอดกระ ฝันดีหรือฝันร้าย ของนักลงทุน
สารบัญ | จากบรรณาธิการ | สิบปีเขื่อนปากมูล การต่อสู้ของกบฏคนจน | คนไม้ขาว เต่ามะเฟือง | ปลาร้าไร้พรมแดน | หลงทางและปากหนัก | เชิญดอกไม้ "ดอกว่านสี่ทิศ" | โลกสีดำของเหยื่ออุตสาหกรรม | "ดอนหวาย" ตลาดโบราณริมแม่น้ำท่าจีน | จับตาธุรกิจการพนันต่างชาติ และการพนันในประเทศไทย | เฮโลสาระพา | ซองคำถาม

Ten Years' Fighting for the Mun River | Leatherback Turtles Return | Sikkim and Years of Change on the Himalayan Ridges
สำนักพิมพ์ สารคดี | สำนักพิมพ์ เมืองโบราณ | วารสาร เมืองโบราณ | นิตยสาร สารคดี
[ วิริยะบุคส์ | มีอะไรใหม่ | เช่าสไลด์ | ๑๐๘ ซองคำถาม | สมาชิก/สั่งซื้อหนังสือ | WallPaper ]
ขึ้นข้างบน (Back to Top) นิตยสาร สารคดี (Latest issue) E-mail