Page 113 - Skd 361-2558-03
P. 113
เรอ่ื ง : สเุ จน กรรพฤทธิ์ / ภาพ : บันสทิ ธ์ิ บณุ ยะรัตเวช
กระดานด�า ท้องนา สมชั ชาคนจน
หอ้ งเรียนชีวิตของ ผศ.ดร.ประภาส ป่นิ ตบแตง่ *
พื้นเพผมเปน็ ชาวนาตา� บลคลองโยง อา� เภอพทุ ธมณฑล จงั หวดั หลังน�้าท่วมใหญ่ปี ๒๕๕๔ ผมตัดสินใจทดลองท�านาอินทรีย ์
ปลูกข้าวหลายพันธุ์ในท่ีนา ๕ ไร่ท่ีคลองโยง เอาข้าวพันธุ์ท้องถ่ิน
นครปฐม สมัยยังเด็กบ้านผมเช่าซื้อท่ีนาตรงนี้แล้วเกิดปัญหา มีการ ท่ีกินอร่อยและหายไปนานแล้วมาปลูก เช่น นครชัยศรี พญาชม
ขึ้นทะเบียนเป็นท่ีดินราชพัสดุ เลยต่อสู้ร่วมกับเกษตรกรคนอ่ืน ๆ ข้าวเพื่อขายก็ปลูก เราเช่ือว่าโครงการจ�าน�าข้าวไม่น่ารอดจึงลงมือ
จนรัฐออกโฉนดชุมชนแห่งแรกของประเทศเมื่อปี ๒๕๕๓ ที่ดินตรง สร้างเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ เร่ิมจาก ๒๕ คน ถึงปี ๒๕๕๗ สี
น้ีถือสิทธิ์ในนามสหกรณ์บ้านคลองโยง โฉนดชุมชนมีเงื่อนไขว่า ข้าวเปลือกได้ ๑๐๐ ตัน ส่งจ้างข้างนอกสีอีก ๒๐ ตัน เราเรียนรู้
กรรมสิทธ์ิเป็นของส่วนรวมคือสหกรณ์ฯ สมาชิกเจ้าของที่ดิน มีสิทธ ิ์ อย่างช้า ๆ การท�านาเองช่วงวันหยุดยังท�าให้ผมขมข่ืนว่าข้าวท่ีเรา
ใช้ประโยชน์แต่ห้ามจ�าหน่าย โอนสิทธ์ิให้ทายาทได้เท่าน้ัน เราจึงมี เคยซอ้ื กนิ เปน็ ขา้ วไมค่ ่อยดีเท่าไร
ทีด่ นิ ท�าเกษตรอยา่ งย่งั ยืนและใชง้ านต่อไปในอนาคต
การลงสนามเองไม่ว่าการประท้วงหรือท�านาน้ันท�าให้มีข้อมูลไป
เม่ือเรียนจบปี ๒๕๒๗ ไปท�างานพัฒนาชุมชนกับมูลนิธิอาสา สอนหนังสือ ท่ีคลองโยงผมเห็นความเปลี่ยนแปลงของชาวนาในแง ่
สมัครเพ่ือสังคม (มอส.) ทั้งหมดเป็นงานแก้ไขปัญหาคนจน ปลาย วิธีคิดและการใช้ชีวิต วันน้ีพวกเขาไม่ใช่ชาวนาที่คิดเหมือนชาวนา
ทศวรรษที่ ๒๕๓๐ เรียนปริญญาเอกท่ีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว เขาเช่ือมต่อโลกภายนอกมากขึ้น ผมยังต้อง
มหาวิทยาลัย เลยท�าประเด็น “สมัชชาคนจน” เครือข่ายประชาชน ท�างานต่อไป
ซึ่งรวมปัญหาท่ีดิน เข่ือน เกษตร ฯลฯ มาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไข
ทศวรรษที่ ๒๕๓๐ - ๒๕๔๐ สมัชชาคนจนเคล่ือนไหวจนเป็นที่รู้จัก ที่เห็นผมไปเดินรณรงค์เรื่องการปฏิรูปที่ดินแล้วโดนจับ ผมคิดว่า
ผมไม่ใช่ “แกนน�า” ของสมัชชาคนจน ผมไปเรียนรู้จากชาวบ้าน เบามากเพราะตัวเองมีต้นทุนมากกว่าเขาเยอะ คนธรรมดาที่ไม่ได ้
ท�างานลักษณะท่ีปรึกษา สมัชชาคนจนท�างานกันเป็นเครือข่าย เรา จบปริญญาเอกต่อสู้มากกว่าไม่รู้เท่าไร และถ้าเราอยู่ในฐานะที่ช่วย
ไม่ได้มีแต่ “เท้า” ส�าหรับเดินประท้วง ยังมีมิติอ่ืน ๆ อีกมาก งาน พวกเขาได้ก็ควรท�า
สองแบบที่เราท�าคือ “งานร้อน” สู้โครงการพัฒนาที่กระทบวิถีชีวิต
ไม่ว่าเขื่อน โครงการชลประทาน ฯลฯ “งานเย็น” คือพัฒนาอาชีพ หลายทศวรรษแล้วเราพูดเรื่องเดิม ปัญหาเดิมหลายอย่างยังคง
ชุมชน สมัชชาคนจนคุยกันว่า นอกจากเคลื่อนไหวเราต้องเล้ียงปาก อยู่ เช่น การปฏิรูปท่ีดิน เกษตรกรจ�านวนมากยังไม่มีท่ีดินท�ากิน
เล้ียงท้องด้วย ก่อนปี ๒๕๕๗ ท่ีดูเงียบ ๆ เพราะแต่ละปัญหามีการ การแก้ไขกย็ งั ซ้�าไปซ้ำมา แกบ้ ้างไมแ่ กบ้ า้ ง คาราคาซงั จนถึงตอนน้ี
เจรจาเป็นรายกรณีไป
* อาจารย์ประจ�าคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย จบปริญญาเอกสาขารัฐศาสตร์
ด้วยหัวข้อวิทยานิพนธ์ “การเมืองของขบวนการ
ชาวบ้านด้านสิ่งแวดล้อมในสังคมไทย” เม่ือป ี
๒๕๔๐ และท�างานภาคประชาสังคมมาตลอด
มนี าคม ๒๕๕๘ 111