Click here to visit the Website
กลับไปหน้า สารบัญ ส า ร ค ดี พิ เ ศ ษ
นักรบชายขอบ
การต่อสู้ของชนกลุ่มน้อยชายแดนไทย-พม่า

เรื่อง : วันดี สันติวุฒิเมธี
ภาพ : เทียรี ฟาลีส์

    ตลอดแนวชายแดนไทย-พม่ากว่า ๒,๐๐๐ กิโลเมตร ตั้งแต่จังหวัดเชียงราย ลงมาถึงระนอง เป็นพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยมากมายหลายเผ่า ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยใหญ่หรือคนไต ชาวว้า ชาวคะยาห์ ชาวกะเหรี่ยง หรือชาวมอญ นับตั้งแต่พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ แผ่นดินของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ เริ่มถูกพม่ายึดครอง ผู้คนถูกเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทารุณ เหล่าชนกลุ่มน้อย จึงจับปืนลุกขึ้นสู้ เพื่อเรียกร้องเอกราช ในการปกครองตนเอง
    แม้ว่าปัจจุบันชนกลุ่มน้อยบางกลุ่ม จะเปลี่ยนวิถีทางการต่อสู้จากการสู้รบ มาเป็นการเจรจาหยุดยิง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า สันติภาพจะบังเกิด และเสียงปืนจะสงบลงตลอดไป เพราะตราบใดที่ยังไม่มีการแก้ไข ปัญหาทางการเมือง และยังไม่มีใครเชื่อใจรัฐบาลพม่า ตราบนั้น เสียงปืนก็จะดังขึ้นได้เสมอ
    ที่ชายแดนไทย-พม่า การต่อสู้ของชนกลุ่มน้อยยังคงดำเนินต่อไป...


(คลิกเพื่อดุภาพใหญ่) นักรบไทยใหญ่

    อดีตเจ้าไทยใหญ่ท่านหนึ่ง วิเคราะห์การต่อสู้เพื่อเอกราช ของคนไทยใหญ่ตลอดเวลากว่า ๕๐ ปีว่า
    "สาเหตุที่คนไทยใหญ่ ยังไม่สามารถกู้ชาติได้ เพราะขาดความเป็นเอกภาพ ตั้งแต่ต่อสู้กันมา คนไทยใหญ่ ไม่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ต่างคนต่างลุกขึ้นมาต่อสู้ แตกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย รวมตัวกันลำบากŽ
    และนี่คงเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ภาพการต่อสู้ของชาวไทยใหญ่ ไม่ชัดเจนในสายตาคนภายนอก ผิดกับกะเหรี่ยง หรือมอญ ซึ่งมีองค์กรทางการเมือง ที่โดดเด่นในการสู้รบ   แม้ว่าช่วงเวลาหนึ่ง ทั่วโลกจะเคยได้ยินชื่อ ขุนส่า และกองทัพเมืองไต หรือ MTA (Mong Tai Army) ในฐานะองค์กรทางการเมือง ชาวไทยใหญ่ที่มีกองกำลังติดอาวุธ ทันสมัยที่สุด และเป็นศัตรูอันดับต้น ๆ ของกองทัพพม่า แต่ชื่อเสียงดังกล่าว ก็โด่งดังเพียงชั่วเวลาไม่นาน เพราะขุนส่าหันไปจับมือ กับรัฐบาลพม่าในภายหลัง ขุนส่าจึงเป็นได้แค่ "ราชาเฮโรอีน"   มิใช่นักรบกู้ชาติชาวไทยใหญ่ อย่างที่เคยประกาศเจตนารมณ์ไว้ หลังจากกองทัพเมืองไตล่มสลาย เรื่องราวของนักรบไทยใหญ่ ก็เงียบหายไปจากความรับรู้ ของคนภายนอกอีกครั้ง แม้ว่าวันนี้ แผ่นดินรัฐฉาน ยังคงมีนักรบไทยใหญ่ ต่อสู้อย่างเข้มแข็งอยู่ในราวป่าก็ตาม
    บนแผ่นดินรัฐฉาน การต่อสู้ของนักรบไทยใหญ่ ดำเนินมายาวนานเกือบ ๕๐ ปี และยังดำเนินต่อไปอีกยาวนาน จนกว่าชาวไทยใหญ่จะได้รับอิสรภาพ
    ประวัติศาสตร์การสู้รบของชาวไทยใหญ่ เปิดฉากในปีแรก ตั้งแต่รัฐฉาน ครบกำหนดแยกตัวเป็นรัฐอิสระ ตามสนธิสัญญาปางหลวงปี ๒๕๐๑ หลังจากรัฐบาลพม่าไม่ทำตามข้อตกลง แถมส่งกองทัพพม่า เข้ามายึดครองแผ่นดินรัฐฉาน ชาวไทยใหญ่ จึงจับอาวุธลุกขึ้นต่อต้าน กลุ่มแรกสุด คือ หนุ่มศึกหาญ (Noom Suk Harn) ภายใต้การนำของเจ้าหยั่นต๊ะ เริ่มทำการสู้รบอยู่แถว ๆ ชายแดนไทย-พม่า ในปีต่อมา โบ หม่อง นายตำรวจชาวว้า และเจ้า ส่าน ทูน เจ้าฟ้าไทยใหญ่ ได้นำกำลังพล เข้าร่วมกับกลุ่มหนุ่มศึกหาญ ช่วยกันรบจนสามารถเอาชนะกองทัพพม่าที่เมืองตั้งยาน ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ของรัฐฉาน การรบครั้งนี้สร้างขวัญ และกำลังใจให้แก่ชาวไทยใหญ่มากขึ้น   แต่น่าเสียดายที่หลังจากร่วมกันรบเพียงหนึ่งปี บรรดาแกนนำ เริ่มมีความคิดไม่ลงรอยกัน จึงแยกออกไปตั้งกลุ่มใหม่อีกหลายกลุ่ม ต่างคนต่างต่อสู้ตามแนวทางของตน
    จนกระทั่งปี ๒๕๐๗ มหาเทวีเฮือนคำ แห่งแคว้นยองห้วย วีรสตรีเหล็กของชาวไทยใหญ่เห็นว่าองค์กรไทยใหญ่ กำลังขาดเอกภาพในการสู้รบ จึงพยายามรวบรวมองค์กร ที่กระจายอยู่ทั่วรัฐฉาน ให้กลับมาต่อสู้ร่วมกันในนาม SSA (Shan State Army) โดยมีขุน จ่า นุ และเจ้าช้าง ณ ยองห้วย เป็นผู้นำ

 
    แต่การรวมตัวของชาวไทยใหญ่ ก็มีเอกภาพอยู่ได้ไม่นาน เมื่อกองกำลัง SSA ประสบปัญหาขาดแคลนอาวุธ และงบประมาณ แกนนำจึงเริ่มมีความคิดแตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการเข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์พม่า หรือ CPB (Communist Patry of Burma) ซึ่งตั้งกองกำลัง อยู่ในรัฐฉานติดชายแดนจีน อีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการเข้าร่วม เพราะไม่อยากเสียอุดมการณ์
    อดีตเจ้าไทยใหญ่เล่าถึงสถานการณ์ในขณะนั้นว่า
    "ตอนนั้นพรรคคอมมิวนิสต์พม่า เข้ามาชวนไทยใหญ่ให้ร่วมรบกับพวกเขา ผู้นำไทยใหญ่บางคนก็คิดว่า แต่ละปีเรามีเงินซื้ออาวุธ จากเมืองไทยปีละไม่เกินพันกระบอก ถ้าเรารวมกับพรรคคอมมิวนิสต์ เราจะได้อาวุธจากจีนฟรี ๆ ปีละนับหมื่นกระบอกก็ได้   แล้วเราจะกู้ชาติได้เร็วกว่านี้ ได้อาวุธครบเมื่อไร ค่อยแยกตัวออกจากพรรคคอมมิวนิสต์   แต่บางคนคิดว่า ถ้าไปรวมกับเขา เราต้องเสียอุดมการณ์กู้เอกราชของเรา ก็เลยไม่ยอมเข้าร่วมŽ
    หลังจากนั้นกองกำลัง SSA ก็แตกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (CPB) มีผู้นำสองคน คือ สาย จ่าม เมิ้ง และ เสือ แท่น ปฏิบัติการอยู่แถวรัฐฉานตอนบน ติดชายแดนจีน อีกส่วนหนึ่งคือ SSA ที่ยังยึดมั่นอุดมการณ์เดิม แต่เปลี่ยนผู้นำใหม่เป็น สาย ป่าน ปฏิบัติการแถวรัฐฉานตอนล่าง
    ทว่าพรรคคอมมิวนิสต์ ดูจะรู้ทันความคิดของชาวไทยใหญ่ เรื่องการสะสมอาวุธ ชาวไทยใหญ่ จึงได้อาวุธไว้ในครอบครองเพียงหยิบมือเดียว ตลอดเวลาหลายปี ที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ เมื่อเห็นว่า การณ์มิได้เป็นไปตามที่คาดหวัง สาย จ่าม เมิ้ง จึงตัดสินใจนำกำลังพล ๗๐๐ คน แยกตัวออกจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่า มุ่งหน้าสู่ภาคใต้ของรัฐฉาน เพื่อรวมกับกองกำลัง SSA อีกครั้ง แต่ระหว่างการเดินทาง   เขาถูกลอบสังหารเสียชีวิต นายทหารจำนวนมากขวัญเสีย และปฏิเสธที่จะสู้รบต่อไป   นักรบไทยใหญ่จึงขาดกำลังพล และไร้เอกภาพมากยิ่งขึ้น
(คลิกเพื่อดุภาพใหญ่)
    จนกระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์พม่าล่มสลาย เสือ แท่น จึงพากำลังพลชาวไทยใหญ่ ที่เหลืออยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์พม่า กลับมารวมกับกองกำลัง SSA อีกครั้ง โดยในเวลานั้น กองกำลัง SSA นำโดยเจ้า ไซ้ เล็ก ผู้นำชาวไทยใหญ่ ที่ได้ชื่อว่ามีอุดมการณ์มุ่งมั่น ไม่ยอมรับความช่วยเหลือ จากพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่เคยแปดเปื้อน กับการค้ายาเสพย์ติด   และพยายามรวบรวมองค์กรไทยใหญ่ ให้เป็นหนึ่งเดียวตลอดเวลาที่เป็นผู้นำ SSA
    ขณะที่ SSA กำลังกลับมามีเอกภาพอีกครั้ง นายพลโม เฮง หรือ กอนเจิง นายทหารระดับผู้นำของ SSA กลับแยกตัวออกไปตั้งกลุ่มใหม่   โดยใช้ชื่อว่า SURA (Shan United Revolutionary Army) แต่ภายหลังเข้าร่วมกับกลุ่ม SUA (Shan United Arym) ของขุนส่า ใช้ชื่อองค์กรใหม่ว่า กองทัพเมืองไต หรือ MTA มีขุนส่าเป็นผู้นำสูงสุด นับตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ เป็นต้นมา ชื่อเสียงของกองทัพเมืองไต ก็เป็นที่รู้จักทั้งโลก ในฐานะกองกำลังติดอาวุธชาวไทยใหญ่ ที่ทันสมัยที่สุด เพราะมีรายได้ จากธุรกิจยาเสพย์ติด มาซื้ออาวุธปีละหลายพันล้าน เฉพาะแค่จำนวนภาษีค่าผ่านทาง ที่เก็บได้ในแต่ละปีก็ไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐ ล้านบาท ยังไม่นับธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพย์ติด อีกไม่รู้กี่พันล้าน กองทัพเมืองไต จึงกลายเป็นความหวังสำคัญ ของชาวไทยใหญ่
    ขุนส่าเคยอ้างถึงเหตุผลที่ค้าผงขาวว่า
    "คุณต้องไม่ลืมว่า พวกเราชาวฉานกำลังทำสงครามกู้ชาติ เราต้องการหลุดพ้นจากกองทัพพม่า ที่กดขี่เรามาตั้งแต่ ที่พม่าได้รับเอกราชเมื่อปี ๒๔๙๐ ผงขาวเป็นหนทางหากินอย่างเดียวของพวกเรา และเป็นธุรกิจอย่างเดียว ที่สามารถหาเงินมาสนับสนุนการต่อสู้ของเราได้Ž
    ฐานที่มั่น และเขตอิทธิพลของ MTA อยู่บริเวณรัฐฉานตอนใต้ ขุนส่าเคยประกาศเขตตนเองว่าเป็น "รัฐอิสระ"   มีเมืองหลวงชื่อโฮมอง ตั้งอยู่กลางป่า ห่างจากพรมแดนไทย ในระยะเดินเท้าประมาณ ๑๐ ชั่วโมง บริเวณนี้เรียกกันว่า "สามเหลี่ยมทองคำ Ž-- ดินแดนเชื่อมต่อระหว่างไทย ลาว และพม่า แหล่งผลิตเฮโรอีนใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวกันว่าร้อยละ ๖๐ ของเฮโรอีน ที่คร่าชีวิตผู้เสพทั่วโลก มาจากบริเวณนี้
    โฮมองเป็นเมืองทหาร ในยามปรกติ ทุก ๆ เช้าทหาร MTA นับพันจะฝึกการสู้รบ เป็นเวลาสามชั่วโมง ในยามสงคราม เมื่อทหารพม่าบุกโจมตี ทหารเกือบทั้งหมด จะถูกส่งไปรับมืออยู่แนวหน้า บนลานดิน ในค่ายจะเหลือเพียง "เยาวชนผู้กล้า" วัยไม่เกิน ๑๕ ปี หรือที่ใคร ๆ รู้จักดีในนาม "ทหารเด็กแดนขุนส่า"   ฝึกหลักสูตร "ค่ายเสือ" อยู่
 
    เด็กพวกนี้ส่วนใหญ่ มาจากหมู่บ้าน ซึ่งถูกทหารพม่าบุกเข้าปล้น และฆ่าผู้คนในหมู่บ้าน เด็กหลายคน กลายเป็นเด็กกำพร้า หลายคนตาย เพราะความอดอยาก พ่อแม่ที่มีลูกชาย จึงส่งลูกของตนมาที่นี่ สายใอ เด็กชายวัย ๙ ขวบ ใช้เวลาหนึ่งวันเดิน จากหมู่บ้านพาโอมายังโฮมอง
    "บ้านผมจนมาก บางวันทั้งบ้านได้กินแต่ข้าวชามเดียวเท่านั้น วันหนึ่งพ่อจึงส่งผมมาที่นี่ เพื่อให้ผมเป็นทหาร อยู่ที่นี่สบายกว่าอยู่บ้าน มีข้าวกิน มีหนังสือให้เรียน และมีเพื่อนเล่นเยอะแยะ"
    ที่โฮมองมีเด็ก ๆ วัยใกล้เคียงกับสายใอร่วม ๑,๐๐๐ คน (ตัวเลขในปี ๒๕๓๘) นอกเหนือจากกินอิ่มนอนหลับ สิ่งที่เด็กน้อยทุกคนปรารถนาลึก ๆ ในใจคือ การกู้ชาติไทยใหญ่ จากเงื้อมมือของทหารพม่า หมิ่นออ เด็กชายวัย ๘ ขวบ เล่าประสบการณ์ และความปรารถนาของตนว่า
    "ผมเห็นคนล้มลงตายต่อหน้าต่อตา ผมเอาแต่ร้องไห้ และกลัวจนตัวสั่น แต่ตอนนี้ผมไม่กลัวแล้ว เพราะกำลังจะได้เป็นทหาร ต่อไปผมจะออกไปสู้กับพวกพม่า ทหารพม่าเป็นคนเลว พวกมันมาที่หมู่บ้าน มาฆ่าชาวบ้าน และล้มสัตว์เลี้ยงของเรา"
    น่าเสียดายที่ความฝันของ "เยาวชนผู้กล้า" ต้องวูบดับลงในเดือนมกราคม ๒๕๓๙ เมื่อขุนส่าผู้เคยประกาศตัวว่า จะสู้รบเพื่อชาวไทยใหญ่ กลับมอบตัว และมอบอาวุธทั้งหมดให้รัฐบาลพม่า
    คืนไส ผู้อำนวยการสำนักข่าวสารไต กล่าวถึงรอยร้าวภายในกองทัพเมืองไต ก่อนล่มสลายว่า
    "คนไทยใหญ่หลายคนเชื่อว่า ขุนส่าจะช่วยกู้เอกราชได้ เลยยกให้ขุนส่าเป็นใหญ่ แต่ขุนส่ากลับปกครอง ในแบบเอกาธิปไตย คนจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ ขึ้นอยู่กับว่า ขุนส่าชอบหน้าหรือไม่ นายทหารระดับผู้ใหญ่ส่วนมาก มักเป็นคนเชื้อสายจีน ส่วนนายทหารไทยใหญ่ ที่มีความสามารถ ขุนส่ามักฆ่าทิ้ง ก่อนขุนส่าวางอาวุธ ขุนส่าฆ่าทหารไทยใหญ่ระดับผู้นำ เกือบ ๓๐ คน นายทหารไทยใหญ่ จึงเริ่มก่อกบฏ แล้วเขื่อนก็พังทลาย ขุนส่ากำลังพลลดลง และหันไปมอบอาวุธให้พม่า ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเคยประกาศว่า ถ้าวางอาวุธจะมอบให้คนไทยใหญ่Ž
    หลังจากขุนส่าวางอาวุธ ทหารไทยใหญ่ ก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง หลายคนตั้งกองกำลังสู้รบ เป็นของตนเอง หลายคนวางมือไม่สู้รบอีกต่อไป
(คลิกเพื่อดุภาพใหญ่)
    วิชัย อดีตนายทหารกองทัพเมืองไต เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้นว่า
    "พอพวกเราได้ข่าวว่าขุนส่า กำลังจะมอบตัวกับทหารพม่า หลายคนก็แอบหนีออกจากค่ายทหาร ถ้าถูกจับได้ก็โดนฆ่า ทหารไทยใหญ่ที่อยู่กับขุนส่า ถ้าเลิกเป็นทหาร จะถูกฆ่าทุกคน ตอนขุนส่าประกาศวางอาวุธ พวกทหารเด็กทหารผู้ใหญ่ วิ่งหนีกระจัดกระจาย บางคนก็ไปเข้าร่วมกับทหารไทยใหญ่   ที่แยกตัวออกไป ส่วนผมไม่ได้เป็นทหารต่อ เพราะไม่อยากให้แม่เป็นห่วง เลยเดินทางมาหางานทำที่เมืองไทยŽ
    ช่วงเวลาเดียวกันกับที่กองทัพเมืองไตล่มสลาย ทางกลุ่ม SSA ซึ่งต่อสู้เพื่อชาวไทยใหญ่มายาวนาน และไม่เคยแปดเปื้อน กับยาเสพย์ติดเหมือนขุนส่า ก็ต้องเผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นกัน เมื่อเจ้า ไซ้ เล็ก ผู้นำคนสำคัญเสียชีวิตลง กองกำลัง SSA แตกกระจายเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ไม่มีผู้นำองค์กร ที่เป็นเสาหลักเหมือนเก่า ต่างคนต่างสู้รบอยู่ในป่า ควบคุมพื้นที่ตามจำนวนกำลังพลที่มีอยู่ แผ่นดินรัฐฉาน จึงตกอยู่ในมือของคนหลายกลุ่ม เฉพาะกลุ่มที่แยกตัวจากกองทัพเมืองไต ก็ไม่กว่าสี่กลุ่ม อาทิ กลุ่มพันตรีกั๊นยอด กลุ่มพันตรีเคมิน กลุ่มพันตรีพุมมา และกลุ่มพันตรีโงะ หาญ เป็นต้น ยังไม่นับกลุ่มที่แยกตัวจาก SSA อีกนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ต้นปี ๒๕๓๙ เป็นต้นมา จึงยากที่จะชี้ชัดลงไปได้ว่า องค์กรใดเป็นตัวแทนกู้ชาติชาวไทยใหญ่ ที่แท้จริง
    หลังจากกองทัพเมืองไต แตกเป็นเสี่ยง ๆ และขุนส่าเข้าไปอยู่ในกรุงย่างกุ้ง กองทัพพม่าก็ส่งกองกำลัง เข้าควบคุมพื้นที่โฮมอง ซึ่งเคยเป็นเขตอิทธิพลของขุนส่า พร้อมกับส่งกองกำลังบุกยึด และโจมตีหมู่บ้าน ในรัฐฉานอย่างหนัก จนในที่สุดกองกำลัง ที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ก็เริ่มอ่อนกำลังลง และยอมเจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลพม่า ทีละกลุ่ม โดยสลอร์กยอมให้กองกำลังไทยใหญ่ มีผลประโยชน์ จากธุรกิจในพื้นที่เล็ก ๆ น้อย ๆ และชาวบ้าน ทำมาหากินได้ตามปรกติ (แต่ต้องเสียภาษีให้สลอร์ก)
    ปัจจุบันกองกำลังไทยใหญ่ที่ยังทำการสู้รบ เหลือเพียงกลุ่มเดียว คือ กลุ่ม SSA South (Shan States Army's Southern Commander) นำโดยเจ้ายอดศึก ปฏิบัติการอยู่แถวตอนกลาง และตอนใต้ของรัฐฉาน ตั้งแต่เมืองเมิงสู้ กุ๋นฮิง จนถึงเมิงปั่น รวม ๑๑ เมือง
(คลิกเพื่อดุภาพใหญ่)
    สลอร์กใช้วิธีจัดการกับกองกำลังไทยใหญ่กลุ่มสุดท้าย แบบ "ถอนรากถอนโคน" ด้วยการย้ายชาวบ้านทั้ง ๑๑ เมือง มากกว่า ๑,๔๐๐ หมู่บ้าน เข้าไปอยู่เมืองอื่น ที่มีกองกำลังพม่าควบคุม ด้วยต้องการตัดเสบียง ที่ชาวบ้านส่งไปสนับสนุนกองกำลัง SSA ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า โดยประกาศให้พื้นที่ทั้งหมด เป็นเขตยิงอิสระหรือ free-fire zones หากพบใครในเขตนี้ ยิงได้ทันที !
    ทหารพม่าให้เวลาชาวบ้านย้ายข้าวของ ไม่เกินเจ็ดวัน หลังจากนั้นถ้าพบใครอยู่ในหมู่บ้าน จะยิงทิ้งทันที ชาวบ้านส่วนใหญ่ ต้องจากบ้านเดิมของตัวเอง ในช่วงก่อนฤดูเก็บเกี่ยว เสบียงอาหารจากปีที่แล้ว เหลือไม่มากพอให้ประทังชีวิต เมื่อย้ายไปอยู่ในค่ายอพยพ ที่ไม่มีเสบียงอาหาร จากองค์กรพัฒนาเอกชนใด ๆ ส่งไปช่วยเหลือ ชาวบ้านบางส่วน จึงขออนุญาตทหารพม่า กลับไปเก็บเกี่ยวผลผลิตของตนที่บ้านเดิม โดยต้องเสียค่าใบอนุญาตกลับบ้าน ให้ทหารพม่าตามระเบียบ (ของรัฐบาลพม่า) แต่ผลปรากฏว่า ชาวบ้านสองกลุ่มจำนวน ๕๖ คนจากเมืองกุ๋นฮิง ถูกทหารพม่าอีกกลุ่มหนึ่งสังหารหมู่ อย่างโหดเหี้ยม และทารุณ หญิงแม่ลูกอ่อนที่รอดชีวิตมาได้เล่าว่า
    "ระหว่างเดินทางกลับ พวกเราถูกทหารพม่า อีกกลุ่มหนึ่งหยุดขบวนไว้ ทหารพม่าให้ชาวบ้านทั้งหมดยืนเรียงกัน แล้วยิงใส่ทีละคน สามีของฉันก็รวมอยู่ในนั้นด้วย โชคดีที่ฉันมีลูกอ่อน พอทหารยิงปืนนัดหนึ่งแล้วไม่ดัง เขาก็ใจอ่อน บอกให้ฉันวิ่งหนีไป แต่ผู้หญิงแม่ลูกอ่อนอีกคนหนึ่งโชคร้าย แม้ว่าเธอจะพยายาม บีบน้ำนมของตัวเอง เพื่อแสดงให้ทหารเหล่านั้น รู้ว่าเธอมีลูกน้อย แต่พวกทหารพม่าก็ไม่สน กลับขู่ว่าจะฆ่าลูกของเธอด้วย"
    ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทหารพม่าลำเลียงศพชาวบ้าน ที่ตัดหัวแล้วจำนวน ๒๖ ศพมาเรียงไว้ตามถนนสายเก็งลม - กุ๋นฮิง เพื่อ "เตือน" ไม่ให้ชาวบ้าน ออกจากบริเวณที่จัดไว้ให้ และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ศพไร้หัวอีก ๑๒ ศพก็ถูกนำมาเรียงบนถนนอีกสายหนึ่ง ในเมืองเดียวกัน ความโหดร้ายเหล่านี้ ยังไม่นับกรณีเด็กหญิงวัย ๑๒ ขวบ ซึ่งถูกยิงทิ้ง ขณะเธอกำลังนำหญ้าไปเลี้ยงวัว หญิงสาวถูกฆ่าด้วยระเบิด ขณะกำลังหาหน่อไม้ตามท้องนา ชาวบ้านที่กำลังหารวงผึ้งในป่า ถูกยิง ในปี ๒๕๔๐   มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด ๖๖๕ คน (เฉพาะตัวเลขที่ยืนยันได้จากการพบศพ)
    นอกจากถูกสังหารด้วยอาวุธสงคราม ชาวบ้านยังล้มตาย เพราะความอดอยาก ด้วยถูกควบคุมอยู่ในค่ายอพยพ ที่ไม่มีเสบียงอาหารเพียงพอ และไม่มีสิทธิ จะออกไปหาอาหารด้วยตนเอง ดังนั้นจึงไม่อาจประเมินตัวเลขที่แท้จริง ของผู้เสียชีวิตชาวไทยใหญ่ ทั้ง ๑๑ หมู่บ้านได้
    แม้พม่าจะใช้นโยบายอพยพชาวบ้าน ออกจากพื้นที่การสู้รบทั้งหมด กองกำลังเจ้ายอดศึก ก็ยังคงสู้รบอย่างเข้มแข็งเหมือนเช่นเดิม และยังไม่มีทีท่า จะยอมเจรจาหยุดยิงแต่อย่างใด เพราะถึงแม้ว่า การสู้รบจะทำให้ชาวบ้านจำนวนมากเดือดร้อน แต่การยอมเจรจาหยุดยิง ก็ไม่ได้หมายความว่า ชาวบ้านจะมีชีวิตที่ดีไปกว่าเดิม
    องค์กรพัฒนาเอกชน ซึ่งทำงานช่วยเหลือชาวไทยใหญ่ ที่อพยพมาจากรัฐฉาน กล่าวถึงสถานการณ์ในพื้นที่หยุดยิงว่า
    "ชาวบ้านเล่าว่า ตอนนี้สถานการณ์ในหมู่บ้าน เลวร้ายกว่าตอนก่อนหยุดยิงเสียอีก เพราะทหารพม่า เข้านอกออกในหมู่บ้านตามสบาย อยากได้ของชาวบ้าน ก็หยิบไปเฉย ๆ ชาวบ้านถูกเก็บภาษีอย่างหนัก ตำราเรียนของชาวไทยใหญ่ ต้องผ่านการตรวจสอบจากทหารพม่า ถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง จะถูกตัดออก ข้อดีของการหยุดยิง มีอย่างเดียวคือ ชาวบ้านไม่ต้องย้ายเข้าไปอยู่ในพื้นที่ควบคุม ของทหารพม่า ไม่ต้องอดตาย หรือถูกทหารพม่าฆ่าโหด เหมือนในพื้นที่ที่ยังมีการสู้รบเท่านั้นเอง
    "สิ่งที่น่าเป็นห่วง ก็คือ ทุกวันนี้ ผู้นำไทยใหญ่ ที่หยุดยิงไปแล้ว มีธุรกิจในพื้นที่ หลายคนมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น จึงยากที่จะกลับไปสู้รบอีกครั้ง เพราะเขาอยู่สบายแล้ว การหยุดยิงจึงไม่ได้แก้ไขปัญหาทางการเมืองเลย"

(คลิกเพื่อดุภาพใหญ่) นักรบว้าแดง

    บนเทือกเขาระหว่างแม่น้ำสาละวิน กับแม่น้ำโขงบนแผ่นดินรัฐฉานตอนบน มีชนกลุ่มน้อย ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นนักรบที่ดุร้ายที่สุด อาศัยอยู่มานานหลายศตวรรษ ดินแดนแห่งนี้ ไม่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองครองใคร ไม่มีใครอยากสู้รบกับพวกเขา แม้แต่ทหารพม่า ที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมต่อชนกลุ่มน้อยมากที่สุด ก็ยัง "เข่าอ่อน" เมื่อเจอนักรบกลุ่มนี้เดินผ่าน เพราะพวกเขาคือ ว้าแดง -- อดีตนักล่าหัวมนุษย์ แห่งลุ่มน้ำสาละวิน
    ชาวว้ามีขนบธรรมเนียมประจำเผ่า ที่เด่นมากสองอย่าง อย่างแรก คือการปลูก และพึ่งพาฝิ่น ในทางเศรษฐกิจ อย่างที่ ๒ คือธรรมเนียมการล่าหัวมนุษย์ ซึ่งเป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวว้า พวกเขาเชื่อว่าหัวมนุษย์ มีอำนาจ และความพิเศษ หากเกิดภัยแล้ง หรืออาเพศขึ้น บนแผ่นดินว้า ชาวว้าจะออกล่าหัวมนุษย์ เพื่อให้แผ่นดิน กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง (ปัจจุบันประเพณีนี้ยกเลิกไปแล้ว แต่ยังมีกะโหลกมนุษย์ให้เห็นอยู่บนหิ้งผีตามบ้าน)
    "ผลดีŽ ของการล่าหัวมนุษย์ ที่ชาวว้าได้รับ นอกเหนือจากการแก้ปัญหาอาเพศ ตามความเชื่อของชนเผ่า ก็คือ ภาพความดุร้าย กล้าหาญ จนใครอื่นไม่กล้าย่างกราย เข้ามาปกครองดินแดนแห่งนี้ แม้กระทั่งพม่ากับจีน ยังเกี่ยงกันว่า ใครจะรวมดินแดนว้าไว้ ในเขตปกครองของตน ท้ายที่สุด จีนก็ยกดินแดนแห่งนี้ ให้อยู่อังกฤษดูแล (ขณะนั้นพม่า ยังอยู่ภายใต้การปกครอง ของอังกฤษ ปี ๒๔๒๘) แต่อังกฤษดูจะไม่ชอบใจเท่าไร เพราะเคยส่งทหารอังกฤษ ไปสำรวจดินแดน เพื่อเตรียมปกครอง แต่ปรากฏว่าทหารอังกฤษ ถูกนักรบชาวว้า ล่าหัวไปสังเวยอาเพศหลายครั้ง เมื่อถูกล่าหัว หนักเข้า ในที่สุด อังกฤษก็เลือก ที่จะเก็บหัวนายทหารอังกฤษไว้บนบ่า มากกว่าอยากเข้าปกครองดินแดนว้า ชาวว้าจึงมีอิสระ จากการปกครองของทุกฝ่าย มาจนถึงวันนี้
    ในช่วงสงครามระหว่างรัฐบาลพม่า กับพรรคคอมมิวนิสต์พม่า พรรคคอมมิวนิสต์พม่า พ่ายแพ้ต่อพม่า ในการรบแถวภาคกลาง จึงถอยร่นขึ้นไปอยู่ แถวรัฐฉานตอนเหนือ เพราะต้องการหาที่พึ่ง จากพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคคอมมิวนิสต์พม่า เข้าไปสร้างฐานบัญชาการ ในอาณาบริเวณที่ว้าอาศัยอยู่ และเกณฑ์ชาวบ้านมาเป็นทหาร ในเวลานั้นชาวว้า เคยแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเข้าข้างรัฐบาล อีกฝ่ายเข้าข้างคอมมิวนิสต์ ก่อนพรรคคอมมิวนิสต์ล่มสลายไม่นาน ปี ๒๕๓๒ ทหารว้าก่อกบฏ พรรคคอมมิวนิสต์พม่า จนผู้นำอาวุโส ต้องหนีเข้าไปอยู่ในเมืองจีน หลังจากนั้นชาวว้า ก็ตั้งสหพันธรัฐว้า - UWSP (United Wa State Party) ขึ้น เพื่อเรียกร้องอำนาจ ในการปกครองตนเอง เช่นเดียวกับชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ในประเทศพม่า ซึ่งชาวว้าต้องจ่ายค่าภาษีอากร ให้แก่สหพันธรัฐว้า เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับติดอาวุธกองทหารว้า เพื่อภารกิจนี้ด้วย

 
    รัฐบาลพม่าเกรงว่ากองกำลังทหารว้า ๓ หมื่นคนจะขยายอิทธิพล ครอบคลุมพื้นที่รัฐฉาน จนทหารพม่าย่างกรายเข้าไปไม่ได้ จึงรีบติดต่อเจรจาหยุดยิง ตั้งแต่แรกจัดตั้งสหพันธรัฐว้า โดยยื่นข้อเสนอ ที่เอาใจคนว้าเป็นพิเศษ ตั้งแต่ยอมให้ว้าทำธุรกิจค้ายาเสพย์ติด ที่ตนถนัดได้ต่อไปอย่างเสรี และยังสัญญาว่า จะพัฒนาอาณาบริเวณ ในเขตเมืองโกกัง และเนินเขาว้าอย่างเต็มที่ รัฐบาลพม่าพร้อมจะอนุมัติงบประมาณ จำนวน ๗๐ ล้านจั๊ต เพื่อใช้ในการสร้างถนน สะพาน โรงเรียน และโรงพยาบาลในเขตนี้ พร้อมจัดสรรข้าว และน้ำมัน มาบริการประชาชนชาวว้าฟรี ๆ ขออย่างเดียวว่า ให้หันกระบอกปืน ไปทางชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ นั่นหมายความว่า ทหารพม่าไม่ต้องออกแรงรบให้เปลืองแรง เปลืองกระสุน เปลืองชีวิต ปล่อยให้นักรบว้าผู้ดุร้าย ปราบชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ แทน
    ในปี ๒๕๓๕ ทหารว้าเกือบหันกระบอกปืน มาทางทหารพม่า เมื่ออูซอลลู ผู้นำชาวว้าคนสำคัญ ถูกหัวหน้าสืบราชการลับ ของทหารสลอร์ก จับกุมตัวในข้อหายาเสพย์ติด และถูกทหารสลอร์กทรมานอย่างทารุณ ต้าไหล ขุนพลว้าผู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ มากับอูซอลลู ได้ยื่นคำขาดต่อสลอร์กว่า ตนจะละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ระหว่างทหารว้ากับทหารสลอร์ก หากทหารสลอร์กไม่ยอมปล่อยตัวอูซอลลู "คำขาด"   ของต้าไหลทำให้สลอร์ก รีบปล่อยตัวอูซอลลูทันที
    สำหรับอูซอลลู แม้ว่าเขาจะเป็นลูกหลานชาวว้า ซึ่งเห็นฝิ่นมาแต่อ้อนแต่ออก   แต่เขากลับไม่เคยค้าฝิ่น ซ้ำยังมองว่า ฝิ่นทำลายทั้งชีวิต และภาพพจน์ของชาวว้า เขาจึงไม่ข้องเกี่ยวกับธุรกิจนี้ ทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มความคิด ให้ชาวว้าเลิกปลูกฝิ่นด้วย ขุนพลผู้นี้ จึงได้ฉายาว่า "เจ้าฝิ่นขาวชาวว้า"   ขุนพลผู้ที่มือไม่เคยแปดเปื้อน เงินสกปรกจากยาเสพย์ติด
    แต่การจะให้ชาวว้าเลิกปลูกฝิ่น ไม่ใช่ของง่าย อาจจะเป็นเรื่องยากกว่า การเลิกประเพณีล่าหัวมนุษย์ ซึ่งใช้เวลากว่าสองทศวรรษเสียอีก เพราะชาวว้าปลูกฝิ่น กันมาหลายชั่วอายุคน   และที่ยิ่งยากกว่านั้นก็คือ รายได้ที่รัฐว้าต้องหามาทดแทนรายได้ จากภาษีที่เก็บจากการปลูก และค้าฝิ่นกว่าปีละ ๒,๐๐๐ ตัน ทั้งอูซอลลู และต้าไหล เคยกล่าวแถลงนโยบายของรัฐบาลว้า เรื่องการปลูกฝิ่นว่า
(คลิกเพื่อดุภาพใหญ่)
    "เราต้องการพัฒนาราษฎรของเรา เราต้องการให้ว้า เป็นรัฐอิสระอยู่ในเขตของพม่า โดยที่เราต้องเริ่มต้น ด้วยการเลิกปลูกฝิ่นเสียก่อน เพราะฝิ่นนั้นทำลายทั้งภาพพจน์ และชีวิตราษฎรของเรา การเลิกปลูกฝิ่น เป็นความรับผิดชอบในส่วนของเรา แต่ขณะเดียวกัน เราก็ต้องการความช่วยเหลือ จากต่างประเทศด้วย"
    และสิ่งที่เขาต้องการจากต่างประเทศคือ
    "เราไม่ต้องการเงิน เรามีเงินมากพอแล้ว ที่เราต้องการก็คือ ความช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยี จากองค์กรเอกชนนานาชาติ จากรัฐบาลประเทศต่าง ๆ และจากสหประชาชาติ เราต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร วิศวกรรม และภูมิศาสตร์ เพื่อช่วยให้เราสามารถปลูกพืชทดแทนฝิ่น และหาทางช่วยเราใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ และเรารู้ดีว่า คงอีกนานทีเดียว กว่าชาวว้าจะเลิกปลูกฝิ่นได้สำเร็จ"
    ๑๗ มกราคม ๒๕๔๓ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ระบุว่า รัฐบาลทหารพม่า อำนวยความสะดวกให้ชาวว้าจำนวน ๕ หมื่นคน อพยพจากทางตอนเหนือของรัฐฉาน ติดชายแดนจีน มาสู่ชายแดนไทย รัฐบาลพม่าชี้แจงเหตุผลว่า การเคลื่อนย้ายว้าลงใต้ ก็เพื่อหาแหล่งปลูกพืชอื่น ที่ไม่ใช่ฝิ่น และทำการเลี้ยงสัตว์ โดยมีเป้าหมายไว้ว่า จะเปลี่ยนอาชีพชาวว้า จากการปลูกฝิ่นเป็นพืชทดแทน เพื่อจะทำให้เขตเดิม ซึ่งขึ้นชื่อลือชาว่า เป็นแหล่งยาเสพย์ติด กลายเป็นเขตปลอดยาเสพย์ติดให้ได้ในปี ๒๕๔๘ หรืออีกห้าปีข้างหน้า และภายในเวลา ๑๕ ปี ประเทศพม่าจะต้องเป็นเขตปลอดฝิ่น และยาเสพย์ติด
    พรพิมล ตรีโชติ นักวิชาการด้านชนกลุ่มน้อย จากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า
    "เป็นการยากที่เราจะบอกได้ว่า สาเหตุที่แท้จริง ของการเคลื่อนกำลังคนครั้งใหญ่นี้ มีนัยสำคัญทางการเมืองอย่างไร แต่ที่พอจะประมวลได้คร่าว ๆ ในเบื้องต้นก็คือ รัฐบาลพม่า ต้องการยันกำลังกับกลุ่มของอดีต MTA หรือกองทัพเมืองไตของขุนส่า ซึ่งได้ข่าวว่า จะกลับมาเคลื่อนไหวในวงการยาเสพย์ติดอีกครั้ง เพราะพื้นที่นี้ เป็นพื้นที่เดิมของ MTA รัฐบาลเพียงแต่ใช้โจรสู้กับโจร ก็เพียงพอแล้ว
(คลิกเพื่อดุภาพใหญ่)
    "สาเหตุที่ ๒ อาจเป็นเพราะว่า รัฐบาลจีนโดยเฉพาะที่ยูนนานนั้น เอาจริงกับเรื่องยาเสพย์ติดมากขึ้น บรรยากาศบริเวณชายแดนจีน จึงไม่เหมาะกับการผลิต และค้ายาเสพย์ติดอีกต่อไป ไม่เหมือนเมืองไทย ซึ่งกลายเป็นตลาดใหญ่เข้าไปทุกที
    "สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ชาวว้าคงไม่หันมาปลูกสตรอเบอรี และบร็อกเคอรีได้ ในระยะสองสามปีนี้แน่ ๆ เพราะถ้าปลูกจะไปหาตลาดที่ไหน ถนนหนทางก็กันดาร ผักผลไม้ก็คงจะช้ำ ตั้งแต่ตอนลงจากดอย จะให้ชาวว้าปลูกอะไรถ้าไม่ใช่ฝิ่น เพราะเป็นทั้งอาชีพที่ชาวว้าคุ้นเคย ไม่ต้องหาตลาดรองรับ และภูมิศาสตร์ที่ย้ายมาอยู่ใหม่ ก็เหมาะสมสำหรับปลูกฝิ่น ดังนั้นโอกาสที่ยาบ้า จะทะลักเข้าไทยย่อมมีมากขึ้นอย่างแน่นอน และการแก้ไขปัญหา ก็คงจะยากมากขึ้น เพราะชุมชนใหม่ ที่ย้ายมาประชิดบ้านเรา เป็นชุมชนที่คนไทยไม่คุ้น คนไทยคุ้นกับชาวไทยใหญ่มากกว่า การเจรจากันก็คงจะลำบากมากขึ้น และถ้ามีปัญหาทะเลาะกัน จะเป็นอย่างไร คนไทยจะสู้คนว้าได้หรือ รัฐไทยมองเห็นปัญหาเหล่านี้หรือเปล่า สรุปแล้วอีกห้าปีข้างหน้า เขตปลอดฝิ่นที่ว่า คงจะอยู่แถวชายแดนจีน แต่มาชุมเอาแถว ๆ ชายแดนไทยแทนŽ
    อย่างไรก็ตาม แม้พม่า จะแสดงเจตนาดีต่อว้า แต่ใช่ว่าว้าจะไว้วางใจพม่าเสียทีเดียว ขุนพลว้า -- อูซอลลู เคยพูดถึงรัฐบาลพม่าไว้ว่า
    "เราไว้ใจรัฐบาลพม่าไม่ได้หรอก เท่าที่ผ่านมา เราไม่เคยเห็นเงินช่วยเหลือชนกลุ่มน้อย ที่สหประชาชาติส่งมาให้ สำหรับชาวว้าเลย เงินเหล่านั้น ปรากฏอยู่ก็แต่ในหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น"
    นอกจากเรื่องนี้แล้ว ชาวว้ายังไม่ไว้ใจรัฐบาลพม่าอีกหลายเรื่อง ล่าสุด เมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีเสียงปืนใหญ่ยิงเข้าไปในเขตว้า งานนี้ฝ่ายที่น่าสงสัยที่สุดคือ รัฐบาลพม่า เพราะบริเวณนั้น อยู่ห่างจากชายแดนไทย อีกทั้งอยู่ห่างจากกองกำลังไทยใหญ่ กองกำลังที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ ทหารพม่า แม้จะยังจับมือใครดมไม่ได้ แต่ความไม่ไว้วางใจ "ศัตรู"   รอบข้างย่อมเกิดขึ้นในใจคนว้า
    และนั่นอาจทำให้เสียงปืนของนักรบว้าดังขึ้น แถวชายแดนไทย - พม่าอีกครั้ง

อ่านต่อคลิกที่นี่  Click Here to Continue

 สนับสนุน หรือ คัดค้าน
นักศึกษากับ การประกวดนางงาม โอกาสที่ยั่งยืน หรือเย้ายวน

สิทธิคนไทย กับการดูหนังเรื่อง Anna and the King
สารบัญ | จากบรรณาธิการ | ย้อนรอย ๑๕ ปี สารคดี | อาชญากรเด็ก ? เหยื่อความรุนแรงในครอบครัว | กินอย่างคนภูเก็ต | ลาก่อน "พีนัตส์" | นักรบชายขอบ การต่อสู้ของชนกลุ่มน้อย ชายแดนไทย-พม่า | ซองคำถาม | เฮโลสาระพา
Soldiers at the Margins | Tracing Back 15 Years of Sarakadee

สำนักพิมพ์ สารคดี | สำนักพิมพ์ เมืองโบราณ | วารสาร เมืองโบราณ | นิตยสาร สารคดี
[ วิริยะบุคส์ | มีอะไรใหม่ | เช่าสไลด์ | ๑๐๘ ซองคำถาม | สมาชิก/สั่งซื้อหนังสือ | WallPaper ]

ขึ้นข้างบน (Back to Top) นิตยสาร สารคดี (Latest issue) E-mail