Page 181 - Skd 361-2558-03
P. 181

วงปีพ่ าทย์เครื่องห้า 
     ภาพจากต�ำนานเคร่ืองมโหรปี พ่ี าทย์
ของสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ

รสนิยมตกอยู่ในมือของคนส่วนน้อยกลุ่มเล็กๆ ท่ีเป็น “ผู้อุปถัมภ์”                         เมอื่ ปี  ๒๔๗๘ ซึง่ เร่มิ มกี าร “แสดงดนตรไี ทยต่อสาธารณชน” ทวั่ ไป
และ “ผู้จัดการแสดงดนตรี” เท่าน้ัน  และการจะผลักดันศิลปิน                                   แต่การสร้างมาตรฐานดนตรีไทยผ่านการเรียนการสอนของ
หนา้ ใหมส่ กั คนใหม้ ชี อื่ เสยี งกล็ ว้ นแตข่ น้ึ อยกู่ บั สองอ�ำนาจนเี้ ปน็ สำ� คญั
                                                                                       โรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ (ซ่ึงต่อมากลายเป็นโรงเรียนนาฏศิลป์)
    แม้กระท่ังการแสดงผลงานที่อ่อนด้อย ถ้าผู้อุปถัมภ์เห็นชอบ                            เป็นการสร้างมาตรฐานแบบ “ดนตรีราชสาํ นัก” ดังจะเห็นว่าผู้ได้รับ
และผู้จัดการแสดงพร้อมจะสรรเสริญเยินยอ น่ันก็ท�ำให้ “ผู้ฟัง”                            เชิญเป็นอาจารย์สอนดนตรีในโรงเรียนน้ีลว้ นเป็นศิลปินในราชสาํ นัก
ในหอแสดงดนตรีส่วนมากจ�ำต้องคล้อยตามไปด้วยอย่างไม่ยากเย็น                               ทโ่ี อนยา้ ยมาจากกระทรวงวงั
(นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการมีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างผู้จัดการแสดง
ดนตรีกบั นกั วจิ ารณ์ดนตร-ี คอลมั นสิ ต์ดว้ ยซ้�ำ)                                         ดังนั้นความตั้งใจเดิมของคณะราษฎรท่ีจะจัดตั้งโรงเรียนนาฏ-
                                                                                       ดรุ ยิ างคศาสตรเ์ พอ่ื เปน็ แบบแผนสำ� หรบั เผยแพรค่ วามรสู้  ู่ “สามญั ชน”
    รูปแบบการปกครองแบบคณาธิปไตยโดยเผด็จการจึงเป็น                                      จึงกลับตาลปัตรพิลึกพิล่ัน กลายเป็นการ “เผยแพร่ความรู้ของเจ้า 
ภาพแทนของการจัดแสดงดนตรีคลาสสิกได้ดีท่ีสุด และการแสดง                                  ใหแ้ ก่ไพร่”
ดนตรคี ลาสสกิ แตล่ ะครง้ั กห็ าใชอ่ ะไรอน่ื ไม ่ นอกจากการแสดงอ�ำนาจ
เผดจ็ การตอ่ สาธารณชนอย่างเปน็ รูปธรรม                                                     และการเรียนการสอนท่ีเต็มไปด้วยกล่ินอายแบบราชส�ำนัก 
                                                                                       ก็ย่อมหมายถึง “อ�ำนาจ” ของครูอาจารย์เก่าแก่ท่ีกดทับนักเรียน
    และบ่อยคร้ังท่ีอ�ำนาจนี้อิงอยู่กับอ�ำนาจทางการเมืองการ                             นกั ศกึ ษาใหส้ ยบยอมอยา่ งหวาดกลวั
ปกครองโดยตรง
                                                                                           ยงิ่ เม่อื ครูบาอาจารย์ (ซง่ึ เมื่อก่อนเป็นเพยี ง “ขา้ ” ราชสำ� นัก) มี
ดนตรไี ทย                                                                              อิสระจากเจ้านายเดิม ไม่เป็นบริวารของใคร และยังได้สถานะพิเศษ
                                                                                       เปน็ ถงึ  “คร”ู  ในระบอบใหมด่ ว้ ยความรคู้ วามสามารถทตี่ ดิ ตวั มาจาก
    ถ้าเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ดนตรีไทย จะพบว่ารากฐาน                              ราชส�ำนักเดิม ครูอาจารย์เหล่านี้จึงมีสถานะพิเศษท่ีอิงแอบกับ 
ของดนตรไี ทย (แบบราชสำ� นกั หรอื ดนตรไี ทยภาคกลางแบบมาตรฐาน                            “บารมี” ของระบอบเก่า
ท่ีเรารู้จักกันทุกวันนี้) ไม่ต่างจากทางยุโรปนัก นั่นคือเป็นเคร่ืองเล่น
ของชนชนั้ สูง                                                                              การเรียนการสอนดนตรีไทยในลักษณะดังกล่าวจึงเป็นการ 
                                                                                       เผยแพร่ความรู้ระบอบ “ประชาธิปไตย” อันเต็มไปด้วยอุดมการณ์
    มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่า วงดนตรีประเภทปี่พาทย์พัฒนาขึ้น                          แบบ “สมบูรณาญาสิทธิราชย”์
จนกลายเป็นศิลปะความบันเทิงของชนชั้นสูงในช่วงต้นรัตนโกสินทร์
เกดิ วงปพ่ี าทยร์ าชสำ� นกั และวงสำ� คญั วงอนื่ ๆ ทส่ี งั กดั ชนชน้ั พระญาต-ิ              “อ�ำนาจ” ซ่ึงครูดนตรีไทยอ้างอิงถึงจึงเป็นอ�ำนาจอาชญาสิทธิ์ 
ราชวงศ์และขุนนางทั้งส้นิ                                                               ที่ไม่เปิดโอกาสให้แก่การโต้แย้งหรือเปล่ียนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น และ 
                                                                                       เป็นอำ� นาจท่ีผูกขาดความชอบธรรมไวก้ ับตนเพียงผู้เดยี ว
    “อำ� นาจ” ทใ่ี ชก้ ำ� กบั การแสดงดนตรเี หลา่ นจ้ี งึ ชดั เจนวา่ เปน็ ของ
ผู้เปน็ เจา้ ของวงซึ่งอยใู่ นฐานะ “ผู้ฟงั ” ดว้ ยนัน่ เอง                                  “อ�ำนาจ” ชนิดน้ีจึงสถาปนาตัวเองข้ึนครอบง�ำการดนตรีไทย 
                                                                                       ให้มลี กั ษณะอนุรักษนยิ มสุดข้วั
    ยิ่งนักแต่งเพลง-นักดนตรีล้วนสังกัดราชส�ำนักเช่นน้ี ก็เท่ากับ 
กินเงินหลวงและไม่มี “อ�ำนาจ” ควบคุมการแสดงดนตรีแม้แต่น้อย                                  และเมื่อเป็นอนุรักษนิยมสุดข้ัวก็ย่อมไม่สนใจโลกภายนอก 
เว้นแตจ่ ะไดร้ บั ฉนั ทานุมตั ิจากเจ้านายเทา่ นน้ั                                     ไมส่ นใจสงั คมทกี่ ำ� ลงั ปรบั ตวั เปลย่ี นแปลงไปตลอดเวลา และไมส่ นใจ 
                                                                                       “ผูฟ้ งั ”
    ดนตรีไทยพบความเปล่ียนแปลงคร้ังใหญ่ในสมัยเปล่ียนแปลง
การปกครองปี ๒๔๗๕ และมีการก่อต้ังโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์                                 จนสดุ ทา้ ยก็เลยไมม่ ีผฟู้ ังอยา่ งทีเ่ ห็น ๆ กนั ทกุ วนั นี้  

                                                                                       มีนาคม  ๒๕๕๘                                                                 179
   176   177   178   179   180   181   182   183   184   185   186