ตลกร้ายเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่น

      

ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบอนุมัติลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement-JTEPA) หรือการเปิดเสรีทางการค้าที่เรียกง่าย ๆว่า เอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมานั้น   นักวิเคราะห์หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ต่างออกมาฟันธงว่า  หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงนามครั้งนี้คือหุ้นในกลุ่มธุรกิจการเกษตร ที่ส่งออกเนื้อไก่ และอาหารทะเล

 พอวันที่ 3 เมษายน เมื่อพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีของไทย และนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นนายชินโซะ อาเบะได้ร่วมลงนาม JTEPA ที่กรุงโตเกียว ปรากฏว่าดัชนีหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก เขียวกันทั้งกระดาน และปิดตลาดเพิ่มขึ้นเกือบเจ็ดจุด มีปริมาณการซื้อขายคึกคักหมื่นกว่าล้านบาท ต่อเนื่องกันอีกหลายวัน หลังจากตลาดซบเซามาหลายเดือน

นักวิเคราะห์หุ้นให้ความเห็นว่า สาเหตุที่หุ้นขึ้นนั้น นอกจากข่าวที่ว่ารัฐบาลจะลดอัตราดอกเบี้ย  การลงนาม JTEPA จะช่วยทำให้เงินทุนจากญี่ปุ่นไหลเข้าสู่เมืองไทย เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศด้วย ล่าสุดกองทุนจากญี่ปุ่นเตรียมขนเงินหลายพันล้านบาทมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้ว

ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ วันนี้รัฐบาลไทยอยู่ในสภาพถังแตก ซึ่งเริ่มออกอาการมาตั้งแต่ปลายรัฐบาลชุดทักษิณ ชินวัตร พอมาถึงรัฐบาลขิงแก่เกียร์ว่างชุดนี้อาการก็เข้าขั้นโคม่า เงินในท้องพระคลังถูกใช้ไปเกือบหมด แถมธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินนโยบายผิดพลาดนำเงินออมของประชาชนไปปกป้องค่าเงินบาท จนขาดทุนไปแล้ว 1 ล้าน ล้านบาท ภาษีก็เก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ล่าสุดรัฐบาลต้องออกพันธบัตรสูงถึง 400,000 ล้านบาท เป็นการเอาเงินในอนาคตมาใช้จ่ายในปัจจุบันก่อน

รัฐบาลญี่ปุ่นส่งสัญญาณเป็นนัยว่า หากไทยรีบลงนามในข้อตกลงนี้ รับรองว่าโครงการรถไฟฟ้ากรุงเทพหลายแสนล้านบาทจะได้รับเงินกู้จากญี่ปุ่น 

ขอนไม้ลอยน้ำมา  ถึงอย่างไรก็ต้องเกาะเอาไว้ก่อนจะจมน้ำ

ด้านสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนฯ ของญี่ปุ่นแจ้งว่า หาก JTEPA สำเร็จก็จะมีแผนลงทุนในไทยเพิ่มอีกประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งจะเอื้อต่อนโยบายของไทยที่ต้องการจะเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาค นอกจากนี้ JTEPA จะช่วยให้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าอิเลคทรอนิกส์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยมีการร่วมลงทุนกับญี่ปุ่นมาก

JTEPA จึงเปรียบเสมือนน้ำทิพย์ที่หลั่งมาจากฟากฟ้า ช่วยต่อลมหายใจรัฐบาลขิงแก่ที่ประสบวิกฤตเศรษฐกิจขนาดหนัก ด้วยเม็ดเงินมหาศาลจากเกาะญี่ปุ่นมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ทางด้านภาคเอกชนไทยก็ออกมาขานรับทันที การลงนาม JTEPA จะทำให้สินค้าเกษตรประเภทกุ้ง ปลาและไก่ได้ประโยชน์เพิ่มถึงร้อยละ 30 และกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์สูงสุดคงจะหนีไม่พ้น บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเกษตรที่สามารถส่งตัวแทนมานั่งอยู่ในรัฐบาลได้ทุกยุคทุกสมัย คอยผลักดัน JTEPA มาโดยตลอด
 
ขณะเดียวกันมีคำถามว่า ชาวนาไทยคนกลุ่มใหญ่ของประเทศได้ประโยชน์อะไรจากการขายข้าวหลังการลงนามครั้งนี้
 
คำตอบคือไม่ได้อะไรเลย

เพราะว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้ยื่นเงื่อนไขต่อรัฐบาลไทยว่า ห้ามนำประเด็นเรื่องการค้าข้าวขึ้นมาเจรจาอย่างเด็ดขาด  เพื่อปกป้องชาวนาญี่ปุ่นที่ผลิตข้าวด้วยต้นทุนที่สูงกว่าชาวนาไทยถึง10 เท่าถ้าขืนปล่อยให้มีการเจรจาการค้าเสรีในเรื่องข้าวกับไทยแล้ว รับรองว่าข้าวไทยเข้ามาตีตลาดข้าวญี่ปุ่นกระจุย ชาวนาญี่ปุ่นเดือดร้อนแน่นอน
 
ที่ตลกร้ายคือแทนที่คณะเจรจาฝ่ายไทยจะยืนหยัดปกป้องผลประโยชน์ของชาวนาไทย กลับยินยอมอย่างว่านอนสอนง่าย โดยขอแลกกับการให้ญี่ปุ่นยอมเปิดตลาดเสรีให้นำเข้ากุ้ง ไก่ อาหารทะเล ที่เป็นผลประโยชน์ของบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่บริษัท เข้าไปขายได้โดยไม่ต้องเสียภาษี

น่าดีใจแทน รัฐบาลญี่ปุ่นที่ปกป้องเกษตรกรของเขาอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับเมื่อเกิดปัญหาวิกฤตของขยะสารพิษในญี่ปุ่น ประเทศที่มีเตาเผาขยะมากที่สุดในโลก เผาแต่ละครั้งก็ปล่อยสารไดออกซินขึ้นสู่อากาศ ทำให้คนญี่ปุ่นเป็นมะเร็งและโรคทางเดินหายใจมากขึ้น และปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นมีค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะสูงถึงปีละ 2 ล้าน ล้านเยน

ดังนั้นหนทางทำการจะปกป้องคนญี่ปุ่นด้วยกันก็คือหาทางเอาขยะสารพิษไปทิ้งในประเทศกำลังพัฒนาแถบเอเชีย ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศญี่ปุ่นในขณะนี้ โดยใช้ข้อตกลงการค้าเสรีเป็นเครื่องมือสำคัญ

การเจรจาต่อรองทั้งสองฝ่ายจะเจรจาอย่างไรก็ได้ แต่ธงในใจของญี่ปุ่นจะต้องมีเรื่องขยะสารพิษอยู่ด้วยทุกครั้ง

ดังนั้นผลสรุปที่ออกมาก็คือ JTEPA ไทยส่งออกอาหารไปให้ญี่ปุ่น  ขณะที่ญี่ปุ่นตั้งใจส่งขยะสารพิษมาให้คนไทยด้วยวิธีการอันแยบยล

เชื่อหรือไม่ว่า เอกสารรายละเอียดหนา 900 กว่าหน้าของ JTEPA ที่ส่งผลถึงคน 64 ล้านคน มีคนในประเทศได้อ่านกันไม่กี่คน ทุกอย่างเป็นความลับตลอด แม้แต่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจำนวน 221 คน มีโอกาสได้รับเอกสารเพียง 21 คน ก่อนจะเริ่มการประชุมไม่กี่วัน

ไม่เพียงแต่เท่านั้น กรมควบคุมมลพิษที่เป็นผู้รับผิดชอบการนำเข้ากากสารพิษก็เพิ่งได้เห็นเอกสารไม่นานและถึงกับผงะเมื่อเห็นรายชื่อขยะสารพิษ 30 กว่ารายการอยู่ในรายชื่อสินค้าที่ทางไทยเตรียมลดภาษีเหลือ 0 %เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น

ขยะสารพิษที่สำคัญคือ แท่งเชื้อเพลิงที่ใช้แล้ว(แผ่รังสีแล้ว) ของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ของเสียจากโรงพยาบาล ของเสียทางเภสัชกรรม ขยะเทศบาล ฯลฯ โดยไม่มีทางเข้าใจว่า ไทยจะเปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นส่งสินค้าขยะเหล่านี้เข้าประเทศของเราเพื่ออะไร หากไม่ใช่นำมาทิ้ง

ขณะที่ทีมเจรจาฝ่ายไทยได้แก้ตัวแทนว่า เรามีกฎหมายอีกหลายฉบับที่ป้องกันไม่ให้มีการนำสารพิษเข้าเมืองไทยได้

แต่ลืมคิดไปว่าที่ผ่านมาเรามีกฎหมายมากมายเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่ในความเป็นจริงมีการลักลอบเอาขยะสารพิษเข้ามาในรูปแบบต่าง ๆเป็นประจำ ทุกวันนี้ประเทศไทยมีขยะสารพิษมากถึงปีละ 2 ล้านกว่าตัน และ JTEPA จะช่วยทำให้การขนขยะสารพิษเป็นเรื่องถูกกฎหมายมากขึ้น    

มาถึงตอนนี้รัฐบาลของคุณสุรยุทธ์ได้เปิดไฟเขียวให้เต็มที่แล้ว เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แลกกับความคึกคักในตลาดหุ้น แลกกับการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ และผลกำไรของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเกษตรไม่กี่แห่งที่ได้ประโยชน์เต็ม ๆจากการส่งสินค้าไปขายญี่ปุ่นโดยไม่ต้องเสียภาษีเลย

ส่วนปัญหามลพิษที่จะเกิดขึ้นกับคนทั้งประเทศเป็นเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

เป็นเรื่องของขิงอ่อนที่ต้องดูแลกันเองในภายภาคหน้า

ขิงแก่ไม่ขอเกี่ยวข้องด้วย

Comments

  1. somwut

    น่าหนักใจครับว่า ต่อไป คนไทย จะมีสถานะการเงินในประเทศอย่างไร
    ในขณะที่ ตามข่าว บางคนยังสามารถซื้อกระเป๋า หรือ ของเมืองนอก แพง ๆ ได้โดยไม่ยี่หระ
    กับสภาพสังคมของประเทศ เรายังคงใช้สินค้านำเข้า และ พลังงานนำเข้า ทุกวัน
    แต่สถานภาพทางการเงิน การลงทุน ยังง่อนแง่นอย่างนี้ ทั้งยังมาเสียเปรียบเรื่อง ฯลฯ อีก
    น่าเป็นห่วงมากครับ

  2. Benz Krub

    พูดง่าย ๆ แบบภาษาวัยรุ่นก็คือ

    ขี้ไว้ ให้คนอื่นมาเก็บนั่นเอง

    เป็นเรื่องตลกที่ร้ายกาจมากมายกว่าที่คิด
    อาจจะถึงขั้นทำให้เราร้องไห้ได้เลยทีเดียว
    แปลกดีนะครับ สัญญาไทยญี่ปุ่น แทบไม่มีโอกาส
    ให้ชาวไทยได้เห็น จนกระทั้งลงนาม
    แต่กับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่าสุด
    ที่แก้แต่เฉพาะข้อที่จะทำให้ระบอบทักษิณจมดิน
    กลับพิมพ์จำหน่ายจ่ายแจกยิ่งกว่าหนังสือคัดไทยเด็กอนุบาล
    น่าแปลกมากเลยทีเดียวครับ

    คนไทยตาดำ ๆ อย่างผมก็คงได้แต่หวังครับ
    เราเลือก สส. สว. ไปเพื่อนั่งตาแป๋วเห็นด้วยจริง ๆ ใช่หรือไม่
    ถ้าใช่… ผมก็มีเหตุผลดี ๆ ที่จะไม่ไปเลือกตั้งครับ

    แต่วันนี้ผมไปเลือกตั้งแล้ว
    หวังว่าขิงอ่อน อย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
    น่าจะพอช่วยอะไรประเทศชาติได้บ้าง

    ตราบใดที่ไม่มีเบื้องคือพวกขิงแก่ ๆ แก๊งค์เดิม

    เป็นแค่ความคิดเห็นของเด็กมหาลัยคนหนึ่งครับผม

  3. อยากทราบค่ะ

    เรื่องข้าวเสรีน่ะค่ะ ข้าวบ้านเรากับข้าวที่ชาวญี่ปุ่นกินกันอยู่เมื่อเชื่อวันเนี่ย มันคนละสายพันธุ์ไม่ใช่เหรอคะ ถึงรัฐบาลญี่ปุ่นไม่ปกป้องเรื่องข้าวที่ผลิตจากชาวนาญี่ปุ่น ข้าวไทยก็ไม่สามารถตีตลาดได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าเราผลิตข้าวแบบที่ญี่ปุ่นทานเพื่อส่งขายคนญี่ปุ่น อยากทราบค่ะ ใครทราบเรื่องนี้ ช่วยตอบเป็นวิทยาทานที คนญี่ปุ่นไม่มีทางกินข้าวไทยเป็นอาหารประจำวันแน่นอน ตะเกียบมันคีบไม่ติดนี่นะ.. :mrgreen:

  4. พรเทพ ลพบุรี

    เหมือน แฮมเบอร์เกอร์ คนไทยคงไม่กินมั้ง
    เหมือน ชาบูชาบู คนไทยคงไม่กิน
    เหมือน อะไรๆอีกหลายอย่างที่ไม่ใช่ของไทย
    ทุกวันนี้โลกแคบ และคนเปิดกว้าง ยกเว้นคนใจแคบ มองอะไรใกล้ๆ บางทียังมีจิตใจไม่ดี
    การเปิดโอกาสให้ข้าวไทยให้คนต่างชาติได้สัมผัส อาจเป็นสิ่งดี
    ขอให้คนญี่ปุ่นเป็นคนตัดสินเถอะ

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.